พระมหากัจจายนะกับการออกแบบชีวิตให้มีผิวพรรณวรรณะงดงาม


[ 14 เม.ย. 2555 ] - [ 18284 ] LINE it!

ทองคำ
 
กับเส้นทางการสร้างบารมี
ของผู้มีบุญในพระไตรปิฎก
 
พระมหากัจจายนะ 
 
        การเหยียดสีผิว (racism) เป็นสิ่งที่เคียงคู่กับประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติตลอดมา แม้ในพระไตรปิฎกก็มีหลักฐานว่า มนุษย์มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะมาตั้งแต่ยุคต้นกัป โดยมีจุดเริ่มต้นจากมนุษย์ที่มีผิวพรรณงามเหยียดหยามมนุษย์ที่มีผิวพรรณทราม การเหยียดสีผิวและการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะเป็นสาเหตุแห่งความรุนแรงและก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ตั้งแต่ระดับเล็กน้อย ปานกลาง ไปจนกระทั่งหนักหนาสาหัส ดังเช่น โศกนาฏกรรมของชนผิวสีที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา แอฟริกา รวมทั้งผู้คนที่มีผิวพรรณคล้ำ(ชนเผ่ามิลักขะ) ที่อยู่ในวรรณะศูทรของอินเดีย เป็นต้น
 
        การมีผิวพรรณงามจึงมิใช่แค่สิ่งที่ดึงดูดตาดึงดูดใจผู้คนเท่านั้น แต่ยังมีส่วนในการกำหนดชีวิตความเป็นอยู่ ไปจนถึงความเป็นความตายของมนุษย์เลยทีเดียว เรื่องราวการสร้างบารมีของพระมหากัจจายนะเป็นอีกหนึ่งเรื่อง ที่เราสามารถนำไปเป็นแบบอย่างในการออกแบบชีวิตของเราให้มีผิวพรรณวรรณะที่งดงาม จะได้ไม่ต้องเกิดมาเผชิญกับปัญหาเรื่องการเหยียดผิว หรือการแบ่งชนชั้นวรรณะที่เป็นปัญหาคู่โลก
 
        ในครั้งพุทธกาล พระมหากัจจายนะเกิดในตระกูลพรามณ์ที่อาศัยอยู่ในกรุงอุชเชนี แคว้นอวันตี บิดาของท่านคือ ปุโรหิตปิติวัจฉพราหมณ์ มารดาคือ นางจันทนปทุมาพราหมณี แห่งตระกูลกัจจายนะ พระมหากัจจายนะเกิดมาพร้อมกับลักษณะที่โดดเด่นคือ มีผิวพรรณผุดผ่องเหมือนทองคำ บิดามารดาจึงตั้งชื่อให้ท่านว่า “กาญจนะ” ซึ่งแปลว่า “ทอง” เมื่อเติบโตขึ้น หนุ่มน้อยกาญจนะได้ศึกษาไตรเพท ซึ่งเป็นวิชาความรู้ของพราหมณ์ตามธรรมเนียมพราหมณ์จนจบการศึกษา ต่อมาเมื่อบิดาถึงแก่กรรม หนุ่มน้อยกาญจนะก็ได้รับตำแหน่งปุโรหิตแทนบิดา และผู้คนพากันเรียกขานท่านว่า “ปุโรหิตกัจจายนะ” ตามนามของตระกูล
 
        วันหนึ่ง เมื่อพระเจ้าจัณฑปัชโชต กษัตริย์แห่งกรุงอุชเชนี ทรงทราบข่าวว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้ว ทรงอยากฟังพระธรรมเทศนา จึงทรงแต่งตั้งให้ปุโรหิตกัจจายนะไปกราบทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปยังกรุงอุชเชนี ปุโรหิตกัจจายนะรับราชโองการแล้วเดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดาพร้อมด้วยผู้ติดตามอีก 7 คน เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนา ปุโรหิตกัจจายนะและผู้ติดตาม 7 คน ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ จากนั้น พระบรมศาสดาประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้ การบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทานั้น ไม่ได้มีลำดับขั้นตอนเหมือนการบวชในปัจจุบัน แค่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระดำรัสว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด” เท่านั้น เมื่อสิ้นพระดำรัส ผม หนวด และเครื่องนุ่งห่มของผู้บวชก็อันตรธานไป มีเครื่องอัฐบริขาร ได้แก่ บาตร สบง จีวร เป็นต้น บังเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์และบุญญาธิการที่ผู้บวชสร้างสมมาแต่อดีตชาติ ทำให้ผู้บวชเป็นประดุจดังพระเถระที่มีพรรษาถึง 100 พรรษา
 
        เมื่ออุปสมบทแล้ว พระเถระทั้ง 8 ได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาเสด็จสู่กรุงอุชเชนี ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากพระราชา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระดำรัสให้พระมหากัจจายนะไปแทน เนื่องจากพระมหากัจจายนะเป็นพระภิกษุที่มีความรู้ความสามารถมาก ท่านจึงสามารถอธิบายธรรมะที่พระบรมศาสดากล่าวเพียงย่อๆ ให้ละเอียดได้ และสรุปเนื้อหาพระธรรมเทศนาที่ยาวๆ ออกมาเป็นหัวข้อย่อยๆ ได้ ทำให้ผู้ฟังเข้าใจธรรมะที่ลึกซึ้งได้โดยง่าย ดังนั้น เมื่อท่านไปถึงกรุงอุชเชนีแล้ว ท่านจึงสามารถแสดงธรรมให้พระราชาทรงเลื่อมใสได้โดยง่าย และสามารถประดิษฐานพระศาสนาในแคว้นอัวันตีได้สำเร็จ ทำให้ทั่วทั้งพระนครรุ่งเรืองไปด้วยผ้ากาสาวพัสตร์
 
        ด้วยความสามารถนี้ ต่อมาพระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านว่าเป็นเอตทัคคะ คือ เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านผู้อธิบายเนื้อความโดยย่อให้พิสดาร นอกจากมีคุณสมบัติอันเลิศข้างต้นแล้ว พระมหากัจจายนะยังมีคุณธรรมสูงส่ง มีศีลาจารวัตรที่งดงาม เป็นที่เคารพรักของมนุษย์และเทวดา ดังจะเห็นได้ว่า เวลาที่ท้าวสักกเทวราช(พระอินทร์) ได้พบพระมหากัจจายนะ ก็จะทรงเข้าไปอุปัฏฐากรับใช้และนวดเท้าทั้งสองของท่าน แม้แต่พระบรมศาสดายังทรงกล่าวยกย่องพระมหากัจจายนะท่ามกลางหมู่สงฆ์ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีทวารอันตนคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย เช่นเดียวกับมหากัจจายนะบุตรของเรา ย่อมเป็นที่รักของเหล่าเทวดา”
 
        พระมหากัจจายนะมิเพียงเปี่ยมด้วยคุณสมบัติและทรัพย์สมบัติ แต่ท่านยังเป็นเลิศด้วยรูปสมบัติ คือมีผิวพรรณละเอียดอ่อนผุดผ่องดุจทองคำ และมีรูปร่างสง่างามคล้ายคลึงกับพระบรมศาสดา จนทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิดว่าท่านเป็นพระบรมศาสดา หลักฐานประการหนึ่งในพระไตรปิฎกที่แสดงว่าท่านมีความสง่างาม และผิวพรรณวรรณะผ่องใสอย่างยิ่ง ก็คือเรื่องราวเหลือเชื่อแต่เป็นความจริงดังต่อไปนี้
 
ด้วยบาปหนักที่จาบจ้วงพระอรหันต์ ทำให้นายโสไรยะกลายร่างเป็นผู้หญิงในทันที
ด้วยบาปหนักที่จาบจ้วงพระอรหันต์ ทำให้นายโสไรยะกลายร่างเป็นผู้หญิงในทันที
 
        วันหนึ่ง ขณะที่พระมหากัจจายนะกำลังห่มจีวรจะเข้าไปบิณฑบาตในเมือง บุตรชายของเศรษฐีแห่งเมืองโสไรยะคนหนึ่งชื่อ โสไรยะ นั่งยานพาหนะผ่านมากับบรรดาสหาย ครั้นนายโสไรยะเห็นวรรณะอันงดงามผ่องใส ดึงดูดตาดึงดูดใจของพระเถระ ก็เกิดความคิดอกุศลเข้ามาว่า “พระเถระรูปนี้สวยจริงหนอ ควรจะเป็นภรรยาของเรา หรือมิฉะนั้น ภรรยาของเราก็ควรจะมีผิวพรรณงดงามเหมือนพระรูปนี้” ด้วยบาปหนักที่จาบจ้วงพระอรหันต์ ทำให้นายโสไรยะกลายร่างเป็นผู้หญิงในทันที นายโสไรยะซึ่งขณะนี้กลายเป็นนางโสไรยะไปแล้ว รู้สึกตกใจและอับอายมาก จึงรีบลงจากยานพาหนะแล้วเดินไปยังกรุงตักสิลา บรรดาเพื่อนฝูงของนายโสไรยะพากันออกตามหาเขาแต่ไม่พบ ส่วนบิดามารดาของเขาก็พากันร้องไห้ด้วยความเศร้าโสกเสียใจ เพราะคิดว่าบุตรคงเสียชีวิตไปแล้ว ฝ่ายนางโสไรยะได้ติดตามกองเกวียนของพ่อค้าไปจนถึงกรุงตักศิลา เมืองหลวงของแคว้นคันธาระ บุตรชายของเศรษฐีแห่งกรุงตักสิลาเห็นนางมีรูปงาม จึงเกิดความรักและรับนางเป็นภรรยา ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 2 คน
 
        ก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งเป็นผู้ชาย โสไรยะมีบุตรอยู่แล้ว 2 คน ดังนั้นจึงเท่ากับว่าเขาเป็นทั้งพ่อและแม่ เป็นทั้งสามีและภรรยาในชาติเดียวกัน ต่อมา เขามีโอกาสกราบขอขมาพระมหากัจจายนะ เมื่อท่านอโหสิกรรมให้ เขาจึงคืนร่างเป็นชาย แล้วขอบวชในสำนักของท่าน และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ส่วนสาเหตุที่ทำให้พระมหากัจจายนะมีผิวพรรณวรรณะที่งดงามผ่องใสนั้น เกิดจากการทำบุญด้วยทองคำในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งนั้นพระมหากัจจายนะเคยถวายแผ่นอิฐทองคำมีค่าแสนหนึ่ง ทำเป็นฐานของพระสุวรรณเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และตั้งความปรารถนาว่า “ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่บังเกิดขึ้นจากการถวายแผ่นอิฐทองคำนี้ ขอให่สรีระของข้าพเจ้าจงมีวรรณะเหมือนทองคำทุกภพทุกชาติ” ด้วยอานิสงส์แห่งบุญพิเศษนี้ ทำให้ความปรารถนาของท่านบังเกิดเป็นความจริง คือ ได้เกิดมามีผิวพรรณวรรณะงดงามเป็นพิเศษ โดดเด่นยิ่งกว่าคนทั่วไป
 
        ย้อนไปในสมัยพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ท่านก็เคยถวายอาสนะทำด้วยแก้วผลึกที่ฉาบทาด้วยทองชมพูนุท ซึ่งเป็นทองคำบริสุทธิ์ มีฉัตรทำด้วยรัตนะทั้ง 7 ประการ กางกั้นไว้บนยอด และถวายพัดวาลวีชนี พัดบวรจามรี แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งการบูชาในครั้งนี้ ทำให้ท่านได้เสวยทิพยสุขในเทวโลก ได้บังเกิดเป็นเทพราชาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์เป็นเวลายาวนานถึง 10 กัป มีรัศมีแผ่ไปโดยรอบร้อยโยชน์อยู่เป็นนิจ และได้บังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีฤทธานุภาพมาก มีรัตนชาติบังเกิดขึ้นมากมายเหลือคณานับ ล้วนส่องสว่างโชติช่วงดังอาทิตย์อุทัย ตลอดทั้งกลางวันกลางคืน พระมหากัจจายนะระลึกชาติไปดูประวัติการสร้างบารมีของท่านในชาตินั้นก็พบว่า เมื่อท่านถวายอาสนะแก้วผลึกที่ฉาบทาด้วยทองชมพูนุทอันเป็นทองคำบริสุทธิ์ เพื่อเป็นที่ประทับนั่งของพระพระปทุมุตตรพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดได้ถวายอาสนะที่ทำด้วยทองและแก้วนี้ เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักเป็นจอมแห่งเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติอยู่ 30 กัป จักมีรัศมีแผ่ไปโดยรอบตลอด 100 โยชน์ ครั้นมาสู่มนุษยโลกแล้ว จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมรพระนามว่า ปภัสสระ จักเป็นผู้มีเดชอันรุ่งเรือง จักได้เป็นกษัตริย์มีรัตนะ 8 ประการ โชติช่วงอยู่โดยรอบทั้งกลางคืนกลางวัน ดังพระอาทิตย์อุทัยฉะนั้น” เมื่อระลึกชาติเห็นความดีที่ทำไว้แล้ว พระมหากัจจายนะก็บังเกิดความปลื้มปีติเป็นยิ่งนัก
 
พระมหากัจจายนะเคยถวายแผ่นอิฐทองคำมีค่าแสนหนึ่ง ทำเป็นฐานของพระสุวรรณเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
พระมหากัจจายนะเคยถวายแผ่นอิฐทองคำมีค่าแสนหนึ่ง ทำเป็นฐานของพระสุวรรณเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
 
        อานิสงส์จากการ ถวายอาสนะแก้งผลึกฉาบทาด้วยทองชมพูนุทแด่พระปทุมุตตรพุทธเจ้า ส่งผลให้พระมหากัจจายนะได้บังเกิดเป็นเทพราชาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ ได้บังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เวียนว่ายตายเกิดเสวยสุขอยู่แต่ในสุคติภูมิเท่านั้น และด้วยบุญที่ ถวายแผ่นอิฐทองคำสร้างเจดีย์ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ในชาติสุดท้ายม่านได้มาเกิดในตระกูลพราหมณ์ ซึ่งเป็นวรรณะที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดของอินเดียในสมัยนั้น และมีผิวพรรณงดงามดุจทองคำ แถมยังพรั่งพร้อมด้วยสมบัติทั้งปวงที่มนุษย์พึงปรารถนา คือ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ และบริวารสมบัติ ซึ่งทุกประการล้วนจัดอยู่ในแนวหน้า
 
        เมื่อบวชแล้ว ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ได้เป็น 1 ใน 41 พระภิกษุสาวกที่ได้รับตำแหน่งเอตทัคคะ ได้เป็น 1 ใน 80 อสีติมหาสาวก และพรั่งพร้อมด้วยคุณสมบัติ คือ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ประกอบด้วยปฏิสัมภิทาญาณ 4 คือ มีความรู้แตกฉานในอรรถ ธรรม นิรุกติ และปฏิภาณ จะเห็นได้ว่า อานิสงส์จากการสร้างบารมีด้วยทองคำของพระมหากัจจายนะ สามารถสร้างความสุขความเจริญอย่างสูงสุดให้แก่ชีวิตของท่านได้ ตัวเราเองหากได้สร้างบารมีตามอย่างท่านบ้าง ความสุขความเจริญก็จะเกิดขึ้นกับเราเช่นกัน
 
        ในช่วงนี้ จะมีการหล่อรูปเหมือนพระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร) ด้วยทองคำ ซึ่งการหล่อรูปเหมือยด้วยทองคำองค์ใหญ่ขนาดนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมากๆ ถึงมากที่สุด บางคนทั้งชาติอาจจะได้ทำบุญนี้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว เราจึงควรตักตวงบุญไปให้มากที่สุด เพราะชีวิตของเราในอนาคตจะสมบูรณ์พูนสุขเพียงใด ล้วนเกิดจากบุญที่สั่งสมมาในอดีต และที่กระทำเพิ่มเติมในปัจจุบันเป็นหลัก ที่สำคัญบุญนี้จะเป็นบุญใหญ่ที่สุดอีกบุญหนึ่ง ที่จะกำหนดชะตาชีวิตของเราต่อไปในอนาคต ที่กล่าวเช่นนี้เพราะการทำบุญด้วยวัตถุอันเลิศ คือทองคำ ถวายแด่มหาปูชะนียาจารย์ผู้เลิศ คือพระเดชพระคุณหลวงปู่ เป็นวิธีลัดที่จะสั่งสมรูปสมบัติอันเลิศ ทรัพย์สมบัติอันเลิศ และคุณสมบัติอันเลิศ ให้ติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ นอกจากนี้ บุญนี้ยังเป็นบุญพิเศษที่มีอานิสงส์ให้เรามีผิวพรรณวรรณะที่งดงาม ซึ่งผู้มีผิวพรรณงามนั้น จัดว่าเป็นผู้ที่มีรูปสมบัติ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติทั้งสาม  และรูปสมบัตินี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของคนเรา เพราะรูปสมบัติเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ง่าย แค่พบเห็นเพียงครั้งแรกก็สร้างความรู้สึกที่ดีให้เกิดขึ้นได้แล้ว รูปสมบัติจึงเป็นใบเบิกทางในการทำความดีหรือทำกิจการงานต่างๆ ได้อย่างสะดวกง่ายดาย นอกจากนี้ การมีรูปสมบัติที่งดงาม มีผิวพรรณงาม ยังช่วยให้เราไม่ต้องประสบกับความทุกข์จากปัญหาการเหยียดผิว ที่เป็นปัญหาคู่โลกมาตั้งแต่ยุคต้นกัปได้อีกด้วย
 
(จากมหากัจจายนะ อรรกถาสูตรที่ 10)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
กล้าสู้อุปสรรคกล้าสู้อุปสรรค

แหล่งกำเนิดกำลังใจแหล่งกำเนิดกำลังใจ

ผู้ชนะที่แท้จริงผู้ชนะที่แท้จริง



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก