วันเข้าพรรษา เรื่องเล่าเข้าพรรษา ตอนที่ 2


[ 25 มิ.ย. 2556 ] - [ 18271 ] LINE it!

 
วันเข้าพรรษา เรื่องเล่าเข้าพรรษา ตอนที่ 2

พระธรรมเทศนา โดย พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
 
 
วันเข้าพรรษา เรื่องเล่าเข้าพรรษา
ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย ต้องบวชให้ได้อย่างน้อย 1 พรรษา

      พระภาวนาวิริยคุณ : สำหรับท่านที่อยากจะเพิ่ม เพิ่มให้ได้บุญบารมีเต็มๆ ให้สมกับเข้าพรรษานี่ล่ะ อยากจะอธิษฐานอะไรเพิ่มเติมก็ทำไป เอาให้เต็มกำลัง เหมือนใคร ก็เหมือนอย่างกับท่านที่เข้ามา บรรพชาอุปสมบทในรายการบรรพชาอุปสมบท 1 แสน ทั่วประเทศไทยครั้งนี้นี่แหละ ท่านเหล่านั้นตั้งใจมาสร้างบุญสร้างบารมีของท่าน เพื่อตัวของท่านด้วย เพื่อจะได้มีบุญนี้ตอบแทนพระคุณคุณพ่อคุณแม่ของท่านด้วย โยมพ่อโยมแม่ของท่าน ไม่ว่าโยมพ่อโยมแม่จะละโลก หรือว่ามีชีวิตอยู่ก็ตาม นี้ก็เป็นบุญใหญ่ของท่าน ขอขยายความสักนิดนึงก็แล้วกัน บางท่านถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อ ในการที่จะนึกถึงพระคุณพ่อพระคุณแม่ให้ได้ลึกซึ้งมากๆ ยิ่งขึ้น หลวงพ่อพอจะมีคำแนะนำอะไรบ้างไหม นี่เขาก็ถามมา เพราะว่าเอาล่ะ ก็รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่ให้กำเนิดมาอันนี้รู้ คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูเรามาตรงนี้รู้ ก็เพราะรู้อย่างนี้จึงได้บวช เพราะรู้อย่างนี้จึงได้กราบ ได้ไหว้ คุณพ่อคุณแม่ แต่ว่าอยากจะนึกถึงพระคุณพ่อพระคุณแม่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จะมีแนวทางอย่างไงบ้างไหม ในฐานะที่เข้าพรรษามีเวลาได้ใกล้ชิดกับคุณพ่อคุณแม่ บางท่านก็บอกว่า ที่มาบวชก็มีเวลามาบวชแล้วจะได้รำลึกถึงพระคุณโยมพ่อโยมแม่ ให้ลึกซึ้งขึ้นจะมีข้อแนะนำอย่างไงบ้าง หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำไปแล้ว แต่ว่าเอาล่ะก็อยากจะฝากไว้กับพวกเราทุกคนด้วย ลูกพระธัมฯ หลานคุณยายที่รับฟังอยู่ที่บ้านด้วยนะ มีข้อคิดอยู่อย่างนี้ ในการที่จะรำลึกถึงพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป คือ วันที่วิกฤตที่สุดในชีวิตของเราคือวันไหน ลองถามตัวเอง เคยได้คิดบ้างไหมว่ามีวันไหนบ้าง ถ้าไม่เคยคิดก็ลองคิดดูถึงวันนี้ดูนะ คือวันเกิดของเรานั่นเอง วันเกิดเป็นวันวิกฤตที่สุดในชีวิตของมนุษย์วันหนึ่งทีเดียว และวันนี้แหละถ้าคิดให้ดีล่ะก็จะรักคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมาอีกเยอะเลย เป็นไง ในวันเกิดเมื่อวันเกิดของเรานะ วันเกิดของเรานะ

       1.วันนั้นเป็นวันที่อ่อนแอที่สุดในชีวิต
ทำไมล่ะ จะลืมตามองหน้าแม่ ยังลืมไม่ค่อยจะขึ้นเลย เป็นช่วงที่อ่อนแอที่สุด ในชีวิตของมนุษย์ ไม่มีช่วงไหนจะอ่อนแอกว่านี้แล้ว ช่วยตัวเองน่ะไม่ต้องพูดกัน เพราะเราไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง

      2. แล้ววันนั้นอีกเหมือนกันโง่ที่สุดในชีวิตเลย เพราะอะไร เพราะไม่รู้อะไรเลย มนุษย์เวลาเกิดมา เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ช่วยจำเอาไว้ด้วย ไม่มีใครรู้อะไร เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้อะไรเลย ทุกอย่างต้องมาเรียนรู้ในภายหลังทั้งสิ้น แล้วที่ต้องมาเรียนรู้ในภายหลังน่ะนะ ยังมีข้อแม้อีก ที่ว่ารู้ๆ น่ะ ปรากฏว่าผ่านไปไม่นานที่ว่ารู้แล้ว ความจริงรู้ผิดๆ อีกแหละ อย่างนี้โง่ซ้ำสองๆ แล้วบางคนก็ซ้ำสาม ซ้ำสิบ ก็ยังมีอีก อย่าว่าแต่คนทั่วไปแม้แต่นักวิชาการที่เขาว่าเก่งๆ นะ ปีนี้ค้นพบแล้วตั้งทฤษฎีนี้ขึ้นมาว่า เป็นอย่างนั้นๆ ยังไม่ทันข้ามปีเลย ทฤษฎีเปลี่ยนซะอีกแล้ว ก็แสดงว่าความรู้ที่แสนจะภูมิใจน่ะ โง่ซ้ำอีกแล้ว อันนี้คือความจริงของชีวิต แต่เอาล่ะที่โง่ที่สุดก็วันที่เกิด วันเกิดของเราเพราะไม่มีความรู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นช่วยตัวเองไม่ได้อีก กำลังกายจะช่วยตัวเองก็ไม่มี กำลังสติปัญญาจะช่วยตัวเองก็ไม่มี จะไปมีอย่างไง มันโง่ที่สุด หนักข้อไปกว่านั้นอีก

       3. วันเกิด จนที่สุดเลย ไม่อยากจะพูดคำนี้นะ ไม่มีอะไรติดตัวมาเลยพ่อเจ้าประคุณเอ้ย สมบัติสักชิ้นไม่มีเลย จนที่สุดในโลกเลย ขณะนี้หากว่ามีเหตุร้ายจะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตามเถอะ แน่นอนน่ะก่อนอื่นก็ต้องใช้กำลังกายสู้กันก่อน เราก็พอมีกำลังกายพอจะสู้ทีเดียว สู้ไม่ไหววิ่งหนีก็ยังดีน่ะ แต่เมื่อวันเกิดน่ะไม่รู้จะเอากำลังมาจากไหน วันนี้มีอะไรขึ้นถ้าป่วยถ้าไข้แม้ไม่มีกำลังกาย กำลังสติปัญญาก็ยังพอมีทีเดียว แต่วันเกิดโง่ที่สุดเลย มันไม่มีจริงๆ ปัญญาของเรา แล้วก็ถ้าปัญญาไม่มี เรี่ยวแรงไม่มี ก็พอมีเงินมีทองก็พอจ้างพอวานให้ใครไปจัดการให้พอไหว แต่วันเกิดจะเอาสมบัติอะไรไปจ้างไปวานใครล่ะเนี่ย ไม่มี จนที่สุดในชีวิตเลยก็วันเกิดนี่แหละดูไว้ อ่อนแอที่สุด โง่ที่สุด จนที่สุด วันเกิดนี่เอง

       ถ้าคุณพ่อคุณแม่ของเราบอกว่าไม่เอา ขี้เกียจเลี้ยงมัน แค่นี้เท่านั้นน่ะ ที่นั่งอยู่นี่เป็นแค่ขยะก้อนเดียวนะนั่นๆ ทำเป็นเล่นไป แต่ปรากฎว่าคุณพ่อคุณแม่เราไม่ได้ว่าอย่างงั้นหรอก ใครจะมาบอกว่า เฮ้อ อย่าไปเลี้ยงมันเลยไอ้นี่ เลี้ยงลูกคนจนไป 7 ปี นะ แกว่าไวจนก็จะเลี้ยง เอ่อเอากับท่านสิ จนก็จะเลี้ยง เหนื่อยก็เหนื่อย อดตาหลับขับตานอนแทบตายนะจะเลี้ยงลูกแต่ละคนให้รอดมาเนี่ย เหนื่อยอย่างไงก็จะเลี้ยง ท่านยืนยันของท่าน แล้วพอมันโตขึ้นมาอีกหน่อย ดื้อก็ดื้อ ซนก็ซนนะเนี่ยไอ้นี่ ดื้อก็จะเลี้ยง ซนก็จะเลี้ยง ท่านก็ยืนยันของท่านอย่างนี้แหละ ทั้งดื้อทั้งซนยังไม่พอนะ เถียงก็เก่งอีกนะ เถียงบ้างไหมล่ะ นั่งอยู่แถวนี่ เออๆ นั่นแหละๆ เถียงก็เก่งอีก เถียงเก่งก็จะเลี้ยง เอ่ออ้าวก็ท่านจะเลี้ยงของท่าน แล้วเนี่ยมันไม่เคยสัญญาสัญญิงอะไรกับเราเลยนะ พอโตขึ้นมาแล้ว เหนื่อยแทบตายก็พอเราแก่ อะไรจะเป็นหลักประกันว่ามันจะมาเลี้ยงเราอีตอนแก่ เราทุ่มเทชีวิตให้มันแทบตายเนี่ย อะไรน่ะ จะเป็นหลักประกันว่าไอ้เจ้านี่มันจะมาดูเราอีตอนแก่ ไม่ทิ้งขว้างเราอีตอนแก่ อะไรเนี่ย มันจะทิ้งไม่ทิ้งก็จะเลี้ยง เออ นั่นแหละหัวอกหัวใจของคุณพ่อคุณแม่เรา เพราะฉะนั้นถ้าใครยังนึกพระคุณพ่อพระคุณแม่ยังไม่สมใจล่ะก็นะ ลองนึกถึงวันเกิด อีวันที่อ่อนแอที่สุดในชีวิต โง่ที่สุดในชีวิต จนที่สุดในชีวิตแล้วท่านก็ไม่ทิ้งเรา ทุกอย่าง ทุกทุ่มเทให้กับเรา
       แม้วันแรกของชีวิตจะเต็มไปด้วยความอ่อนแอ แต่พ่อกับแม่ก็ยังเต็มใจเลี้ยงดูเรามาเป็นอย่างดี ความกตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณ มีอานุภาพมากมายที่เดียวค่ะ อย่างเรื่องราวของพระสารีบุตรที่เราจะได้รับฟังดังต่อไปนี้

       พระภาวนาวิริยคุณ : เรื่องของความกตัญญูกตเวที ที่มีต่อพ่อแม่นี่ล่ะ ถามว่ามีฤทธาอานุภาพมากไหม มากนะ อย่าล้อเล่นนะ เอาว่าอย่างนี้ เมื่อหลวงพ่อบวชใหม่ๆ จำได้ วันหนึ่งมีโอกาสได้นั่งสมาธิกับคุณยาย วันนั้นนั่งตั้งแต่ฉันเช้า จนกระทั่งถึงเพล ตอนบ่ายก็นั่งต่ออีกจนกระทั่งถึงประมาณสัก 3-4 โมงเย็น คงประมาณนั้น มีโอกาสก็เลยถามคุณยายอาจารย์ของเรา คุณยายอยากจะทราบจังเลยว่า ทำไม พระสารีบุตร ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทำไมจึงได้มีปัญญาเป็นเลิศในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย พระสารีบุตรมีปัญญาเป็นเลิศเลย ไม่มีพระอรหันต์องค์ใดน่ะ สู้ได้เลย ท่านเป็นรองก็แต่เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ คุณยายท่านก็เมตตา แล้วก็รัดกุม ถามธรรมะคุณยายแต่ละครั้ง คุณยายรัดกุมมากๆ เลย ท่านเคารพธรรมท่านจะไม่ยอมให้ มีอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียว ท่านหลับตาทันทีเลยนั่งนิ่งทำภาวนาของท่านไป ตรวจสอบของท่านไป คงใช้ประมาณอย่างน้อยก็ 5 นาที ถึง 7 นาที ได้ประมาณนั้นท่านนิ่งลงไปเลย ทั้งๆ ที่นั่งมาแล้วตั้งครึ่งวันค่อนวัน แต่พอถามปัญหานี้กับท่าน ท่านนั่งนิ่งตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกของท่าน แล้วท่านก็ตอบ ลืมตาก็ตอบเลย ท่านก็ตอบหลวงพ่อมา บอกว่า พระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวาที่ ทรงปัญญาเป็นเลิศ มีปัญญาเป็นเลิศ พระอรหันต์องค์ไหนก็เทียบไม่ได้ เพราะมีความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศเลย คุณยายบอก ยายถอยหลังระลึกชาติไปดูเห็นอย่างนี้ กี่ชาติๆ อันนี้ก็ต้องพูดกันก่อนนะว่า คุณยายของเรา อย่าว่าแต่ต้องนั่งหลับตานิ่งๆ ไปตั้ง 5 นาที 7 นาที แล้วระลึกชาติ หลวงพ่อ มีประสบการณ์กับคุณยาย วันหนึ่งประมาณสัก 4-5 โมงเย็นได้ ตอนคุณยายยังแข็งแรงอยู่ คุณยายพรวนดินต้นไม้ที่อยู่รอบๆ กุฏิของท่านเป็นการออกกำลังกาย เห็นคุณยายพรวนต้นไม้ไปแล้วก็ท่าน ก็หน้าท่านอิ่มดีจังเลย เห็นเฉียงๆ ทางด้านหลัง ก็เลยไม่อยากจะรบกวนยาย ก็เดินเข้าไปใกล้หน่อยแล้วก็ไม่ส่งเสียงดูคุณยายพรวนต้นไม้ไป ไม่อยากรบกวนท่าน เห็นท่าท่านสบายๆ แล้วไม่อยากรบกวนท่าน ยืนอยู่สักครู่คุณยายรู้ตัว ท่านก็เลยเหลียวมาเห็นหลวงพ่อเข้า ท่านก็ถามว่า เอ้ามายืนนานแล้วเหรอ ก็สักครู่ได้ยาย ยายก็บอกเอ่อ ยายก็ต้องออกกำลังกายบ้าง เส้นสายมันจะได้ยืด หลวงพ่อก็เลยถือโอกาสถามคุณยาย คุณยายพรวนดินไปคุณยายนึกอะไรไปเหรอ ถึงรู้สึกพรวนแบบสบายๆ รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจังเลย คุณยายก็ตอบมาง่าย ยายก็ไม่ได้นึกอะไรหรอก ท่านก็ตอบภาษาท่านนะ ยายก็ไม่นึกอะไรหรอก พรวนดินๆ ไปก็ระลึกชาติไป เอ้า โอ่ ทำไมง่ายอย่างนั้นน่ะ พรวนดินไปก็ระลึกชาติไปดูว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์น่ะ
 
วันเข้าพรรษา เรื่องเล่าเข้าพรรษา 
ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย ต้องบวชให้ได้อย่างน้อย 1 พรรษา
 
      ก่อนจะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่น่ะ ท่านสร้างบุญสร้างบารมีมาอย่างไง มีความเข้มงวดกวดขันพระองค์เองอย่างไง ยายจะได้เอามาเป็นตัวอย่างแล้วก็มาสร้างบารมีตามท่านจะได้ สั่งสมบารมีได้เร็วขึ้น อ่อ พรวนต้นไม้ไป พรวนดินไป ก็ระลึกชาติไป ไอ้พวกเรานั่งแทบตาย ยังเสกคาถาแม้มืดตื้อมืดมิดอยู่ เอ้อ  ทำไมมันไกลกันฟ้ากับดินอย่างนี้ เมื่อคุณยายท่านว่าอย่างนี้สาธุกับคุณยายท่านด้วย แล้วก็ภูมิใจเอ่อ เรานะก็คงมีบุญไม่น้อยเหมือนกันถึงได้ครูบาอาจารย์อย่างนี้น่ะ มันยืนปลื้มใจอยู่เหมือนกันนะ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังทำไม่ได้หรอก แค่นึกว่าได้เป็นลูกศิษย์ของท่านก็ยังปลื้มใจเลย ว่า อ่อ คุณยายระลึกชาติไปก็พรวนต้นไม้ไป แต่ว่าพอถามว่า พระสารีบุตรน่ะ ทำไมปัญญาเป็นเลิศเลย สร้างบุญสร้างบารมีมาอย่างไง คุณยายซึ่งปกติพรวนต้นไม้ไปก็ระลึกชาติได้ แต่พอถามปัญหาธรรมตรงนี้เข้าเท่านั้น คุณยายนั่งตัวตรงเลย กายตั้งตรง เหมือนอย่างกับ แหมเหมือนอย่างกับไม้ฉากนั่นแน่ะ ตั้งตรงเหมือนอย่างกับฉากตั้งตรงเหมือนเสาธง หลับตานิ่งลงไปเลย ท่านเคารพในธรรม ท่านไม่ประมาทในธรรม เพราะเรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเป็นเรื่องตายกันทีเดียว ตอบพลาดนิดเดียวเสียหายหมด จะกระทบถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระทบถึงพระสารีบุตร กระทบถึงหลักธรรมทีเดียว คุณยายตั้งใจ แล้วท่านก็ตอบชัดมาว่า อ่อ ยายระลึกชาติทบทวนไปแล้วกี่ชาติๆ พระสารีบุตรมากด้วยความกตัญญูกตเวที ใครมีพระคุณกับท่าน แม้เล็กน้อยก็ไม่ละเว้นที่จะตามไปตอบแทนพระคุณเขา เพราะเหตุนี้เองท่านจึงถูกบังคับ จริงๆ คือบังคับตัวเองให้ต้องเค้นสติเค้นปัญญา เค้นศักยภาพที่มีอยู่ทั้งหมด เอาไปตอบแทนพระคุณเขา ใครทำดีกับท่านมาหนึ่งต้องตอบแทนกลับไปเป็นสิบเป็นร้อยอย่างนั้นน่ะ ไม่มีละเว้นกันเลย ซึ่งในเรื่องเล่านี้ก็มีพยานหลักฐานปรากฏอยู่ไม่เฉพาะชาติที่แล้วๆ อย่างที่คุณยายว่า ชาตินี้ก็มีปรากฏหลักฐาน ทำไม ปรากฏหลักฐานอย่างไง ก็คือ 
 
         มีครั้งหนึ่งมีพราหมณ์เฒ่าคนหนึ่ง ยกสมบัติให้ลูกไปหมด เพราะเห็นว่าตัวเองแก่แล้ว แล้วก็อาศัยอยู่กินกับลูก ก็คงไม่เดือดร้อนอะไรเพราะเรายกสมบัติให้เขา เขาคงนึกคุณของ นึกถึงพระคุณของพ่อแม่ นึกถึงพระคุณตัวเอง เขาก็คงจะดูแลตัวเองอีตอนแก่ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ปรากฏว่าพอพ่อยกสมบัติให้เท่านั้นน่ะ ตั้งแต่นั้นมาก็ตั้งข้อรังเกียจพ่อเลย หาทางไล่ออกจากบ้าน พ่อช้ำใจ ก็เลยไป เนื่องจากตัวเองก็เคยไปวัดบ้าง บางครั้งบางคราว แล้วเคยตักบาตรทำบุญบ้าง คุ้นๆ กับพระอยู่บ้าง ก็เลยไปที่ ไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วัด ไปขอบวชดีกว่า เอาล่ะลูกมันไม่เต็มใจให้เราอยู่ ไปโกรธไปแค้นมันก็เท่านั้น ไปทวงสมบัติมันก็อายเขา อายชาวบ้านเขา ว่าเลี้ยงลูกไม่เป็น หรืออะไรทำนองนั้น ให้แล้วก็ยังเอาคืน มันเสียทั้งนั้นล่ะ เสียทั้งตัวเอง เสียทั้งลูก คิดอย่างนี้แล้ว เอาเถอะบวชดีกว่าจะได้สร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเองด้วย แต่เนื่องจากแก่แล้ว ก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ ทั่วไปในวงการพระ ตั้งแต่ยุคนั้นแล้วว่า คงแก่เวลามาบวชเป็นไง มักจะดื้อ  ๆ ๆ ๆ เอาอีกแล้ว ไอ้โรคดื้อ คนแก่มักจะดื้อ ไอ้ที่ดื้อไม่ใช่อะไร มันติดซะแล้วอย่างนั้นน่ะ มันฝังใจมันคุ้นมันเคยมันเป็นนิสัยซะแล้วมาตลอดชีวิต แล้วจะให้มาแก้กันอีตอนแก่ โห้ มันยากนะดัดไม้อีตอนแก้ ไม่ยากจะดื้อหรอก แต่เดี๋ยวมันก็ดื้อจนได้น่ะ ไปขอบวชกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๆ ก็อ้าวไป ให้ไปบวชก็ไปบวชกับองค์ไหนก็ได้พระผู้ใหญ่ไปเถอะ แต่ปรากฏว่าเขาไม่มีใครเขาอยากจะรับบวชหรอก
 
       ทำไมล่ะ รู้น่ะ บวชเมื่อแก่ดื้อ แก้นิสัยเดิมยากอย่าว่าดื้อเลยเสียหายหมด แก้นิสัยเดิมยาก ก็เลยไม่ค่อยจะมีใครเต็มใจจะรับบวช รับเป็นอุปัชฌาย์ให้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงประกาสว่า เอ้อ ใครจะรับเป็นอุปัชฌาย์บวชให้พราหมณ์เฒ่านี้ล่ะ ปรากฏว่าพอประกาศอย่างนี้นี่ พระสารีบุตรรับเลยรับเลย รีบรับ ขอรับเป็นอุปัชฌาย์ให้เอง ก็ต้องถามว่าพระสารีบุตร ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าคนแก่น่ะบวชเมื่อแก่นี่ แก้ไขยาก ฝึกยากรู้ไหม รู้ แล้วไง แล้วทำไมล่ะจึงได้เต็มใจรับ รีบรับเลยว่า จะบวชให้ผู้เฒ่าท่านนี้ อ้อ เป็นเพราะท่านมีปัญญาเป็นเลิศใช่ไหม อย่างไงก็ไม่กลัว ดื้อเท่าดื้อฝึกได้  เปล่า ท่านไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก ท่านบอกให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทราบ บอกว่าที่รับไม่ใช่อะไร ที่รับก็เพราะว่า เคยมีวันหนึ่งไปบิณฑบาตซึ่งการบิณฑบาตของพระสารีบุตรนะว่าเถอะ เวลาพระสารีบุตรซึ่งเป็นอัครสาวก ไปบิณฑบาตที่ไหน คนเข้าแถวยาวเหยียดเป็นร้อยเป็นพัน เพราะฉะนั้นยากที่จะจำได้ว่ามีใครบ้างเคยมาตักบาตรให้ท่าน แต่ปรากฏว่าพระสารีบุตร เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสถามว่า เออ เพราะอะไรถึงรับบวชให้พราหมณ์ ท่านตอบว่าเคยจำได้ ว่า ครั้งหนึ่งพราหมณ์เคยตักบาตรให้ท่านทัพพีหนึ่ง โอ่ ทัพพีเดียวจำได้ด้วย บิณฑบาตมาตลอดชีวิตแห่งความเป็นพระ ไม่รู้มีใครเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนซะก็ไม่รู้ที่ตักบาตรให้ท่าน แต่ว่ามีคนมาตักบาตรให้ท่านน่ะ ไม่ใช่คนสำคัญอะไรเลย อย่างผู้เฒ่าคนหนึ่ง ตักบาตรให้ท่านทัพพีหนึ่ง จำได้ ก็แสดงว่า อ้อ ใจของพระสารีบุตร ท่านอย่างนี่นี้เอง มีความกตัญญูรู้คุณ ไม่ว่าใครจะมีคุณกับท่าน แม้เล็กน้อยเป็นข้าวทัพพีเดียวนี่ ท่านจำเลยนะเนี่ย ก็แสดงว่า นี้เป็นนิสัยข้ามชาติของท่าน

วันเข้าพรรษา เรื่องเล่าเข้าพรรษา
บวชพระเข้าพรรษา โทร 02-831-1234
        พระสารีบุตรได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เลิศด้วยปัญญา ตลอดชีวิตของพระสีบุตรท่านมีแต่ความกตัญญูกตเวที แต่ว่าความกตัญญูกตเวทีนั้น จะทำให้เป็นผู้มีปัญญาได้อย่างไร

       พระภาวนาวิริยคุณ : เพราะฉะนั้น ที่คุณยายตอบว่าความกตัญญูกตเวทีของท่านเป็นเลิศ อันนี้จริงแน่นอนแต่ว่าความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ แล้วทำไม ให้ปัญญาเป็นเลิศนะ ก็ต้องสารภาพกับพวกเรา หลวงพ่อโยงไม่ติดจริงๆ ความความกตัญญูเป็นเลิศ แล้วทำให้ได้ปัญญาเป็นเลิศ หลวงพ่อไม่มีปัญญาโยงติดต่อกันได้ เชื่อมเหตุการณ์ตรงนี้เชื่อมไม่ได้  ก็ยังถามคุณยายซ้ำ คุณยายความกตัญญูนี้นะ ทำให้เกิดปัญญา เป็นเลิศขึ้นมาได้ ใช่ เรื่องนี้สำคัญนะท่าน ก็ยังต่อไม่ติดอยู่ดี จนกระทั่งหลายปีต่อมา เมื่อพบเหตุการณ์ต่างๆ แล้วจึงได้เข้าใจว่า อ้อ การที่จะตอบแทนพระคุณใครสักคนหนึ่ง ให้ได้เต็มที่จริงๆ ล่ะก็มันจะต้องใช้สติปัญญา ใช้เรี่ยวแรง ใช้กำลังใจสูงมากๆ เลยนะ เอาง่ายๆ ก่อน พ่อแม่ตายแล้ว จะทำอย่างไงจะตอบแทนพระคุณท่าน นี่ถ้าไม่พบพระพุทธศาสนานี่ตอบแทนไม่ได้นะ ตอบแทนไม่ได้ กษัตริย์บางพระองค์นึกถึงคุณความดี ของมเหสีตัวเองว่าเคยช่วยเหลือตัวเองมาอย่างงั้นอย่างนี้ พอมเหสีตายแล้วก็ยังนึกไม่ออกว่าจะตอบแทนคุณมเหสีอย่างไง ได้แต่สร้างสุสานชั้นเยี่ยมงามที่สุดของโลกเอาไว้ให้ ไปดูได้อยู่แถวอินเดีย มีอยู่ ก็ทำได้เท่านั้น นั่นก็เป็นแค่ความระลึกถึง แต่จะให้เป็นบุญเป็นกุศลให้ไปถึงมเหสีตัวเองจริงๆ ก็ยังทำไม่ได้ มีอำนาจขนาดนั้น ร่ำรายขนาดนั้น ปัญญาก็ขนาดเป็นมหาอำนาจเลย ยังทำไม่ได้ แต่ว่า เอ่อ เมื่อพบพระพุทธศาสนาแล้วจึงทำได้ ก็แสดงว่าการที่จะตอบแทนพระคุณของใครสักคนมันยากๆ ๆ นะ ถ้าให้ตอบแทนให้เต็มที่น่ะ มันต้องเค้นศักยภาพจริงๆ เพราะฉะนั้นตลอดภพชาติอันยาวนาน พระสารีบุตรเป็นประเภทที่ใครมีพระคุณ แม้แค่ข้าวทัพพีเดียว ข้าวสักคำ น้ำสักอึกหนึ่ง ข้ามชาติมาคงออกมาลักษณะนี้แล้ว ข้าวสักคำ น้ำสักอึก ไม่ลืมพระคุณ ต้องหาทางตอบแทนพระคุณให้ได้ ไปอาศัยร่มไม้ชายคาบ้านใคร อย่างไงต้องหาทางตอบแทนให้ได้ ท่านคงเป็นประเภทนี้มานับภพนับชาติไม่ถ้วน จึงถูกบังคับให้เค้นเรี่ยวแรง เค้นทั้งสติปัญญา มาหาทางตอบแทนคุณเขา
 
       ตรงนี้นี่เอง ก็เลยทำให้ท่านมีปัญญาเป็นเลิศ จากตรงนี้ก็อยากจะฝากพวกเราว่าเอาล่ะ ในเรื่องของความกตัญญูนี่แหละเป็นที่มาแห่งปัญญา เพราะฉะนั้นก็พรรษานี้ใครคิดว่าจะตอบแทนพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ตัวเองในรูปแบบไหนก็รีบเค้นออกซะให้เต็มที่นะ พรรษานี้ตอบแทนให้เยี่ยมเลย เป็นพระก็ตอบแทนรูปพระก็แล้วกัน ยังไม่ได้บวชเป็นพระยังอยู่บ้านก็ตอบแทนในรูปของลูกที่ดีที่อยู่ที่บ้าน ถ้าท่านมีชีวิตอยู่อยากจะไปตอบแทนพระคุณอะไรของท่านก็ไป ไปคิดนั่งสมาธิใจใสๆ คิดแล้วก็ไปทำ ถ้าท่านละโลก ก็นั่งให้ใจใสๆ พบแล้วก็ไปทำ นั่นก็เป็นการตอบแทนพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งต้องไปคิดไปค้นเอาล่ะนะ ของใครก็ไปดูทำเอา แต่ว่าอีกเหมือนกันที่ต้องฝากพวกเราไว้ในครั้งนี้
       มีอยู่วันหนึ่งบวชได้สัก 2-3 พรรษา ก็วันนั้นนั่งสมาธิไปก็ใจใสดี มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจว่า เออ ระหว่างพระคุณของพ่อแม่ กับพระคุณของครูบาอาจารย์ ไหนจะมากกว่ากัน ก่อนหน้านั้นก็เคยคิด พระคุณพ่อพระคุณแม่ไหนจะมากกว่ากัน ไม่รู้ไปคิดทำไมก็ไม่รู้ แต่พอใจใสๆ แล้วมันก็เป็นอย่างนี้ทุกที ก็พอได้คำตอบว่า อ้อ พระคุณของทั้งสองท่านนี้คงไม่ได้ตัดสินกันตรงที่ว่า ใครอุ้มท้องหรือไม่ได้อุ้มท้องหรอกนะ เพราะเคยได้ยินคนเขาบอก อย่างไงๆ แม่ต้องมีพระคุณต่อลูกมากกว่าพ่อ ถามว่าทำไม ก็เป็นคนอุ้มท้อง เออ เออ ก็เอ้ จริง ไม่จริง ก็ค้างใจ แต่ในที่สุด ก็เมื่อนั่งไปมากเข้าๆ ก็พบจนได้นะ อ้อ พระคุณของคุณพ่อคุณแม่มากน้อยกว่ากันนั้นน่ะ ไม่ใช่อยู่ที่ตรงอุ้มท้องซะแล้ว แต่ว่าจะไปหนักแน่นอยู่ตรงที่ใครทุ่มเทอบรมบ่มนิสัยให้ลูกเป็นคนดีมีศีลมีธรรมมากกว่ากันเพียงไหน ตรงนั้นกลับเป็นตัวตัดสิน ทุ่มเทอบรมบ่มนิสัย ให้รู้บุญรู้บาปให้เห็นช่องทางสร้างบุญกำจัดบาปได้มากเท่าไหร่ เอ่อๆ นั่นนะ นั่นก็เป็นพระคุณที่ยังเยี่ยมของท่าน ก็แล้วแต่ว่าใครทุ่มเทให้ในสิ่งเหล่านี้มากก็จะมีพระคุณมาก แต่เสร็จเรียบร้อยแล้ววันนั้นเกิดนั่งไปๆ ผุดขึ้นมายังไงก็ไมรู้ เออ พระคุณพ่อแม่กับครูบาอาจารย์ไหนจะมากกว่ากัน ก็วันนั้นก็ต้องยอมรับตอบตัวเองไม่ชัด ก็ต้องมานั่งอยู่อีกหลายเวลาเหมือนกัน ตั้งใจต้องมานั่งสมาธิอยู่อีกหลายวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็ผุดขึ้นมาจนได้ ผุดขึ้นมาทีแรก เอ่อพ่อแม่พระคุณอย่างไงเสียก็เนื่องจากให้กำเนิดแล้วก็ปลูกฝังศีลธรรมให้กับเราก็ให้มาเยอะ อย่างไงก็พระคุณก็ต้องมากกว่าครูบาอาจารย์ นี่ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกตินะ แต่ว่าเมื่อนั่งไปๆ เนี่ยนะตามประสา ตอนนั้นก็เพิ่งไม่กี่พรรษา ก็นั่งไป มืดบ้างสว่างบ้างก็ว่ากันไป ก็อย่างที่คล้ายๆ พวกเราท่องนั่นแหละ แม้มืดตื้อมืดมิด ก็ว่ากันไป แต่ก็มีข้อคิดมันก็ผุดขึ้นมาจนได้ ก็อยากจะฝากพวกเรา ก็เป็นข้อคิดเมื่อพรรษาต้นๆ ว่า เอ่อ โดยทั่วไปคุณพ่อคุณแม่ก็น่าจะมีพระคุณมากกว่าครูบาอาจารย์ แต่ว่าแล้วถ้าครูบาอาจารย์ประเภทที่ปิดนรกเปิดสวรรค์ให้เราได้ล่ะ เอ้ พระคุณนี่ ไหนจะมากกว่ากัน พอมาถึงตรงนี้เข้า ความคิดก็เริ่มเปลี่ยน เออใช่สินะ 
 
วันเข้าพรรษา เรื่องเล่าเข้าพรรษา
บุญกุศลจากการบวชสามารถปิดอบายและเปิดทางไปสวรรค์แก่ผู้บวช
ส่งผลโดยตรงกับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ผู้ร่วมอนุโมทนา และผู้ที่เราอุทิศให้
 
       ถ้าครูบาอาจารย์ท่านนั้นสามารถสอนให้เราปิดนรก เปิดสวรรค์ได้ ในขณะที่โยมพ่อโยมแม่เราก็ยงไม่สามารถสอนให้เราปิดนรกเปิดสวรรค์ได้ ตรงนี้พระคุณของท่านเหนือกว่าซะแล้วล่ะนะ ก็นั่งต่อไปอีก ตามประสา ก็แว๊บมาถึงคุณยาย คราวนี้หมดสงสัยหมดความคลางแคลง เรานี่แม้บวชแล้วนี่ยังไม่มีปัญญาไปเทศน์ให้โยมพ่อโยมแม่ปิดนรกเปิดสวรรค์ให้ตัวเองเองได้เลย แต่ว่าคุณยาย แต่ว่าได้อาศัยคุณยาย คุณยายสอนให้เราปิดนรกเปิดสวรรค์ แล้วก็อาศัยความรู้คุณยายไปถ่ายทอดให้คุณพ่อโยมพ่อโยมแม่อีกทีหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นพระคุณของครูบาอาจารย์อย่างคุณยายนี่ก็ไม่ธรรมดาแล้วแหละนะ มันไม่ใช่แต่เราที่เป็นหนี้พระคุณของคุณยายอาจารย์ซะแล้ว แม้แต่โยมพ่อโยมแม่ หมดวงญาติหมดโคตรของเราเลยนี่เป็นหนี้ คุณยาย อืม นั้นพระคุณของครูบาอาจารย์อย่างคุณยายผู้ซึ่งทั้งสร้างวัดให้เราอยู่ ทั้งอบรมสั่งสอนพวกเรามาให้ปิดนรกเปิดสวรรค์ ถากทางไปพระนิพพานให้ตัวเองได้ พระคุณของท่านเหลือล้นจะพรรณนาซะแล้ว พระคุณของพ่อของแม่เรา ก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เออ เอาน้ำเอาข้อความไปจารึกกันให้เต็มท้องฟ้าเทอดทูนพระคุณท่านก็จารึกยังไม่หมด แต่ว่าพระคุณของคุณยายอาจารย์ซึ่งช่วยโยมพ่อโยมแม่ช่วยเรา ให้พ้นนรกเปิดสวรรค์ให้ได้ ชี้ทางพระนิพพานให้อีกด้วย ทั้งลากทั้งจูงเรามาถึงวันนี้ด้วย พระคุณของท่านจะขนาดไหนกันเนี่ย นึกมาถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ ชาตินี้ได้แต่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตัว ให้สมกับที่ยายนำมาบวช ที่ยายอบรมให้ ที่ยายปั้นแล้วปั้นอีกให้นั่นแหละ ก็มาถึงตรงนี้ก็คงจะต้องฝากพวกเราด้วยล่ะนะ นั่งกันอยู่นี่น่ะ ปิดนรกเปิดสวรรค์ได้ เพราะบารมีของคุณยายด้วยกันทั้งนั้นล่ะเนี่ย นอกจากนั้นแล้วแม้แต่ว่าพ่อแม่พี่น้องเราที่พลอยปิดนรกเปิดสวรรค์ได้ ก็บารมียายอีกนั้นแหละ แล้วก็แม้แต่ลูกหลานของพวกเราด้วย เห็นหิ้วเห็นจูงกันมาวัดก็ได้อาศัยบุญบารมียายน่ะ จึงปิดนรกเปิดสวรรค์ได้นะ ตรงนี้พระคุณอันท่วมท้นน่ะ ของคุณยายอาจารย์น่ะ ทบทวนกันเยอะๆ ด้วยนะ แล้วเมื่อทบทวนเยอะๆ แล้วนี่ ออกพรรษานี้ควรจะต้องทำอะไรให้กับยายเป็นพิเศษก็ยิ่งต้องทบทวนนะ

      ความกตัญญูทำให้เป็นผู้มีปัญญา คนที่มีความกตัญญูกตเวทีนั้น ทุกลมหายใจเข้าออก เป็นเรื่องของการหาช่องทางทุ่มเทสติปัญญาความรู้ความสามารถ เพื่อการตอบแทนคุณจึงเป็นการเพิ่มพูนสติปัญญาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
 
รับชมวิดีโอ
 

รับชมคลิปวิดีโอเรื่องเล่าเข้าพรรษา ตอนที่ 2
ชมวิดีโอเรื่องเล่าเข้าพรรษา ตอนที่ 2  MP3 ธรรมะเรื่องเล่าเข้าพรรษา ตอนที่ 2   Download ธรรมะเรื่องเล่าเข้าพรรษา ตอนที่ 2

บทความที่เกี่ยวข้องกับวันเข้าพรรษา

วันเข้าพรรษา เรื่องเล่าเข้าพรรษา ตอนที่ 2
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
วันวิสาขบูชา Vesak Day ตอน วันปรินิพพานวันวิสาขบูชา Vesak Day ตอน วันปรินิพพาน

วันวิสาขบูชา  ตอน วันตรัสรู้วันวิสาขบูชา ตอน วันตรัสรู้

วันวิสาขบูชา ตอน วันประสูติวันวิสาขบูชา ตอน วันประสูติ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

พุทธประวัติ - วันสำคัญในพระพุทธศาสนา