กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์


[ 10 ก.ย. 2553 ] - [ 18288 ] LINE it!

ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 10 กัยนายน พ.ศ.2553
ตอน กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์
 
 
 
กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์
พระธรรมเทศนา โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
 
        วันนี้ ขณะที่พระสงฆ์สวดชยันโตให้พวกเราที่เป็นเจ้าภาพมาวางแผ่นทองกันอยู่นั้น หลวงพ่อได้เห็นภาพของคุณยายอาจารย์ที่ติดเอาไว้ที่ศูนย์กลางพิธี...งามเหลือเกิน ทำให้หลวงพ่ออดที่จะนึกถึงความหลังไม่ได้ รวมทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา (วันที่ 9-กันยายน พ.ศ.2553)_ได้ฟังคุณจ้อ (กัลยาณมิตรสุกัญญา ศุทธวัตไชยพงศ์)_ได้เล่าว่า “หนีคุณยาย เพราะกลัวคุณยายจะชวนทำบุญ”_หลวงพ่อเสียดายจริงๆ ไม่อยากให้เรื่องของคุณจ้อผ่านเลยไปโดยที่ยังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไม่เต็มที่ หลวงพ่อจึงอยากจะถือโอกาสให้ภาพรวมในความเป็นกัลยาณมิตรของคุณยายอาจารย์ เพื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่พวกเราจะต้องไปบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรให้กับชาวโลก ตามที่คุณยายอาจารย์ได้ทำเป็นต้นแบบแล้ว จะได้ไม่ตกไม่หล่น
 
        เวลาที่พวกเราไปบอกบุญกับใคร ชวนให้เขามาทำบุญเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางท่านที่บารมีของเขาแก่กล้า เมื่อบอกบุญเขา...เขาก็ร่วมบุญทันที นั่นเป็นบุญวาสนาของเขา แต่บางท่านเมื่อบอกบุญเขา...เขาก็แทบจะไล่เราออกจากบ้านทันที หรือแม้ไม่ไล่เรา หรือไม่หนีไปไหน แต่ว่าทำเฉยๆบ้าง หรือรู้ว่าวันหลังเราจะมาอีก ก็หลบหน้าเราบ้าง นี้แสดงว่า...การบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตร จะต้องใช้ทั้งสติปัญญา และจะต้องใช้ทั้งความอดทนด้วย
 
        หลายๆท่านในที่นี้ ที่มาทันในสมัยคุณยายยังมีชีวิตอยู่ คงพอจะนึกภาพออกว่า คุณยายนั้น เมื่อถึงเวลาบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรให้กับชาวโลก ให้กับลูกๆหลานๆ หรือให้กับผู้ที่มาวัด ซึ่งมีหลายเพศหลายวัย คุณยายวางตัวอย่างไร ท่านมีวิธีของท่าน ดูแล้วน่ารักน่าเคารพ และน่าที่จะนำมาเป็นตัวอย่างอยู่ทุกขั้นตอน เพื่อว่าเมื่อถึงคราวที่พวกเราต้องไปทำหน้าที่ จะได้วางตัวถูก ให้พอเหมาะพอสม
 
        ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น จะมีแสงเงินแสงทองปรากฏให้เห็นขึ้นมาก่อน แสงเงินแสงทองนี้เป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่าอีกไม่นาน พระอาทิตย์ก็จะโผล่พ้นขอบฟ้า...ความมืดที่ห่อหุ้มโลกมาทั้งคืน ก็จะถูกแสงจากดวงอาทิตย์กำจัดทำลายไป แล้วโลกก็จะสว่างเป็นปกติ จากตรงนี้เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงหยิบยกขึ้นมาเป็นอุปมาว่า ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะพ้นขอบฟ้า จะต้องมีแสงเงินแสงทองจับขอบฟ้าขึ้นมาก่อนฉันใด คนเราจะเอาดีได้ จะต้องมีสัมมาทิฐิเกิดขึ้นก่อนฉันนั้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่า “สัมมาทิฐิ คือ แสงเงินแสงทองของชีวิต”
 
        สัมมาทิฐิ คือ ความเข้าใจถูก แต่เป็นความเข้าใจถูกในระดับลึก หมายถึง ความเข้าใจถูกในเรื่องของโลกและชีวิต ตรงตามความเป็นจริง ถ้ายังเข้าใจถูกในเรื่องของโลกและชีวิตไม่ได้ ต่อให้เป็นโปรเฟสเซอร์ไม่ว่าทางด้านไหนก็ตาม เป็นการยากที่จะเอาดีได้ ตรงนี้ไม่ได้ดูหมิ่นดูแคลนใคร แต่ว่าความจริงเป็นอย่างนั้น ใครจะมีความรู้เป็นด็อกเตอร์ เป็นโปรเฟสเซอร์ ไม่ว่าทางด้านใดๆของโลกก็ตาม เช่น มีความรู้อย่างดีเยี่ยมใน...เรื่องการตลาด เรื่องคอมพิวเตอร์ เรื่องการเมือง เรื่องเศรษฐศาสตร์ เรื่องบัญชี แต่ถ้าเขายังไม่รู้เรื่องของโลกและชีวิต ตรงตามความเป็นจริง เขาจะเอาดีไม่ได้ เพราะเขาจะไม่รู้ว่าชีวิตมีการเวียนว่ายตายเกิด เขาจะไม่รู้จักบุญไม่รู้จักบาปซึ่งเป็นกลไกของความเจริญและความเสื่อมของมนุษย์ เป็นต้น
 
 
คุณจ้อ (กัลยาณมิตรสุกัญญา ศุทธวัตไชยพงศ์)
อ่านเรื่องราวของคุณจ้อ คลิกที่นี่
 
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สัมมาทิฐิจะเกิดได้ต้องมีกัลยาณมิตรมาชี้แนะให้ มาถึงตรงนี้เริ่มยากแล้ว ขอยกตัวอย่างกรณีของคุณจ้อ คุณยายอุตส่าห์มาเป็นกัลยาณมิตรให้ ท่านมองเข้าไปในศูนย์กลางกายของคุณจ้อ ท่านเห็นว่า คนนี้บุญเก่ามีไม่น้อยแต่ไม่รู้ตัว เมื่อไม่รู้ตัวจึงเอาบุญเก่ามาใช้ไม่ได้ ถ้าทำบุญใหม่สักหน่อย ทำบุญใหม่ให้บรรจบบุญเก่า เมื่อบุญเก่าบุญใหม่บรรจบกัน ก็เหมือนกับกาลักน้ำ จะรวยเท่าไหร่ก็ได้ดังใจ เพราะฉะนั้นคุณยายจึงมาเป็นกัลยาณมิตรให้ เจอหน้าทีไรก็รู้อยู่ว่าถึงอย่างไรคุณจ้อก็อยากรวย เมื่อคุณจ้อไม่รู้อย่างที่คุณยายรู้ ท่านก็ต้องหาทางบอก แต่อยู่ดีๆจะให้บอกว่า “คุณรีบทำบุญใหม่นะ ให้บุญเก่าบุญใหม่บรรจบกันแล้วรวยแน่”_คุณจ้อก็คงจะไม่เข้าใจ เพราะความรู้ยังไม่ถึง หรือมารยังบังใจอยู่
 
        เมื่อเป็นอย่างนี้ อย่าว่าแต่คุณยายพูดคนเดียวเลย ต่อให้เพื่อนๆเป็นร้อยช่วยกันบอก คุณจ้อก็คงรับไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ คุณยายจึงต้องค่อยๆบอก ด้วยการชวนให้ทำบุญ เปรียบเหมือนกับต้นไม้ ถ้ายังไม่โตถึงจะเร่งปุ๋ยอย่างไร มันก็ยังไม่ออกดอกออกผล ต้องค่อยๆประคองกันไป ตรงนี้พิจารณากันให้ดี คุณยายเป็นกัลยาณมิตรชวนให้คุณจ้อทำบุญตั้งแต่คุณจ้อยังเป็นนิสิตนักศึกษา ผ่านมากว่าสามสิบปีคุณจ้อจึงเข้าใจ อย่าลืมว่า คุณจ้อนั้นสติปัญญาระดับนิติศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยม แต่ขนาดนั้น แม้คุณจ้ออยากเข้าใกล้คุณยาย เพราะท่านน่ารักน่าเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่ แต่บางวันก็นึกกลัว...กลัวคุณยายชวนทำบุญ จึงกลัวๆกล้าๆ บางครั้งก็อยากไปหาคุณยาย บางครั้งก็หลบๆ คุณจ้อเป็นคนมีปัญญา แต่ยังมีอาการอย่างนี้ ธาตุปิดธาตุบังมันยังมีอยู่ในใจ
 
        อย่าว่าแต่คุณจ้อ ถ้าเราอ่านในพระไตรปิฎกก็มีอยู่หลายๆท่านเหมือนกันที่เป็นอย่างนี้ ตัวอย่างเช่น ทุคตบุรุษ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์เรื่องทานให้ตอนหัวค่ำ ก็ยังตัดใจทำทานไม่ได้ เพราะมีผ้าห่มอยู่ผืนเดียว ปฐมยาม1 ก็ยังไม่ได้ มัชฌิมยามก็ยังไม่ได้ ต้องรอจนกระทั่ง ปัจฉิมยามจึงตัดใจทำทานได้ นี่ขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นกัลยาณมิตรให้ ทรงเทศน์ถึงแปดชั่วโมงใจยังไม่เปิดเลย พูดง่ายๆต้องเทศน์กันทั้งคืนถึงจะเปิดใจได้...ถูกมารปิดรู้ปิดญาณ มันปิดสนิทเลยก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น การที่ใครคนใดคนหนึ่ง ธาตุปิดธาตุบังยังมีอยู่ในใจ หรือถูกมารปิดรู้ปิดญาณ เป็นเรื่องที่น่ากลัว จำเป็นที่จะต้องได้กัลยาณมิตรซึ่งมีภูมิปัญญาอย่างยิ่ง และมีมหากรุณา มาช่วยชี้แนะ
 
1ในบาลีแบ่งคืนออกเป็น 3 ยาม กำหนดยามละ 4 ชั่วโมง เรียกว่า ปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม
ปฐมยาม (ยามต้น) กำหนดเวลาตั้งแต่ย่ำค่ำ หรือ หกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม
มัชฌิมยาม (ยามกลาง) กำหนดเวลาตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีสอง
ปัจฉิมยาม (ยามหลัง, ยามสุดท้าย) กำหนดเวลาตั้งแต่ตีสองถึงย่ำรุ่ง หรือ หกโมงเช้า
 
        แม้คุณจ้อจะได้คุณยายอาจารย์ ซึ่งสามารถที่จะมองเข้าไปเห็นดวงบุญของคุณจ้อได้ เมตตามาเป็นกัลยาณมิตรให้ด้วยการชวนให้ทำบุญ คุณจ้อก็ยังหนี กว่าจะได้คิดต้องมารอกัลยาณมิตรท่านที่สอง คือ คุณสอง วัชรศรีโรจน์ มาช่วยชี้แนะด้วยคำพูดที่ว่า “ถ้าคุณกล้าทำสิ่งมหัศจรรย์ สิ่งมหัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้นกับคุณ”_นี้แสดงให้เห็นว่า แม้การได้กัลยาณมิตร แต่สำหรับบางท่าน ไม่ใช่คนเดียว ยังต้องส่งต่อเป็นทอดๆ เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีอยู่ ก็ต้องมีกัลยาณมิตรมาให้กำลังใจกันเป็นทอดๆเหมือนกัน คือ ได้รับพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากพระองค์หนึ่งไปอีกพระองค์หนึ่ง เช่นนี้...อยู่หลายพระองค์ กว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
        เมื่อธาตุปิดธาตุบังยังมีอยู่ในใจมนุษย์แล้ว มันอันตราย ต้องมีกัลยาณมิตรมาช่วย และกัลยาณมิตรยิ่งมากยิ่งดี จะได้ส่งต่อกันเป็นทอดๆ ส่งต่อกันเป็นทอดๆในชาตินั้นก็มี ส่งต่อกันเป็นทอดๆข้ามชาติก็มี เพราะฉะนั้นจะเห็นว่ากัลยาณมิตรนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงกับทรงตรัสเอาไว้กับพระอานนท์ว่า “กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์”_หรือถ้าจะพูดภาษาชาวบ้าน กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของการสร้างบารมี”_ใครจะสร้างบารมีได้ถูกต้องร่อยรอยก็ต้องอาศัยกัลยาณมิตร แม้ถูกต้องร่อยรอยแล้ว จะให้ต่อเนื่องไม่ขาดตกบกพร่อง ก็ยังต้องอาศัยกัลยาณมิตรส่งต่อกันเป็นทอดๆ อย่างนี้ถึงจะเอาตัวรอด
 
        กัลยาณมิตร เปรียบเหมือนหัวรถจักร ถ้ามีกำลังไม่แรงพอก็ไม่สามารถดึงรถไฟทั้งขบวนได้ เพื่อนที่มีภูมิรู้ภูมิธรรมใกล้เคียงกันนั้น ยากที่จะมาดึงกันมาเตือนกัน ต้องได้ครูบาอาจารย์ หรือได้ผู้ที่น่าเชื่อถือ แม้ไม่ใช่ครูบาอาจารย์แต่มีประสบการณ์หรือประสบความสำเร็จในธุรกิจการงานเป็นที่ยอมรับของมหาชน
 
        หลวงพ่อมีเรื่องของตัวเองที่จะเล่าเป็นอุทาหรณ์ให้แก่พวกเรา จะได้เป็นข้อเตือนใจให้อีกหลายๆคน เพื่อว่าจะได้ไม่พลาด และจะได้เป็นการให้กำลังใจกับผู้ที่กำลังบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรให้กับชาวโลกอีกด้วย คือ การเป็นกัลยาณมิตรให้กับใครนั้นไม่ใช่ครั้งเดียวสำเร็จ เรื่องมีอยู่ว่า...หลวงพ่อได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ เมื่อคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ปี พ.ศ.2509_พอ ปี พ.ศ.2510_ในช่วงประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคม พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่จึงได้พาหลวงพ่อไปกราบพบคุณยายอาจารย์
 
        สาเหตุที่ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่จะได้ไปกราบพบคุณยายอาจารย์ ทั้งนี้เป็นเพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ต้องการให้หลวงพ่อปรับปรุงตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน เนื่องจากคุณยายอาจารย์ ท่านชอบเงียบๆสงบๆ ถ้าใครจะถามปัญหาธรรมะอะไร ท่านยินดีตอบ แต่ท่านจะตอบเฉพาะปัญหาที่น่าตอบ ท่านอายุหกสิบแล้ว ท่านไม่อยากเสียเวลากับคำถามที่ไร้สาระ เพราะนอกจากท่านจะนั่งสมาธิที่บ้านธรรมประสิทธิ์เป็นการส่วนตัวแล้ว ท่านก็ยังต้องไปนั่งสมาธิร่วมทำวิชชากับหมู่คณะตามที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯได้สั่งเอาไว้อีกด้วย ท่านก็ไม่อยากเสียเวลาในการทำภาวนาของท่าน ท่านไม่อยากเสียบุญไปโดยใช่เหตุ เพราะมาเสียเวลากับผู้ที่ถามปัญหาที่ไม่เข้าเรื่องเข้าราว
 
        พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ยังได้ให้เหตุผลอีกข้อหนึ่งว่า เนื่องจากบ้านธรรมประสิทธิ์อยู่ในวัดปากน้ำฯ มีทั้งญาติโยมที่อายุมาก และนิสิตนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ มานั่งสมาธิกับคุณยาย และในบางครั้งยังมีผู้หลักผู้ใหญ่มากราบถามปัญหาธรรมะกับคุณยายอีกด้วย  เพราะฉะนั้นถ้าวางตัวไม่เรียบร้อย มารยาทไม่งาม พวกที่อยู่มาก่อน เขาจะไม่ต้อนรับ
 
        ด้วยความที่อยากพบคุณยาย อยากเป็นลูกศิษย์ของท่าน หลวงพ่อจึงเตรียมตัวอย่างดี ฝึกกราบฝึกไหว้ อีกทั้งเรื่องที่ค้างใจเกี่ยวกับการฝึกสมาธิมีเท่าไหร่ หลวงพ่อเขียนเป็นข้อๆเตรียมเอาไว้ แม้เตรียมตัวมาอย่างดี แต่หลวงพ่อได้มาทราบเมื่อเกือบสิบปีต่อมา ในตอนที่หลวงพ่อบวชแล้ว โดยพี่คนหนึ่งได้มาบอกหลวงพ่อว่า “โยมพี่ต้องขอโทษท่านด้วยนะ เมื่อท่านมาหาคุณยายครั้งแรกนั้น พอท่านกลับไปแล้ว โยมพี่ได้เข้าไปหาคุณยาย ไปบอกคุณยายว่า ยายอย่ารับคนนี้ไว้เป็นลูกศิษย์เลยนะ”
 
        ตรงนี้ขอขยายความเพื่อให้เข้าใจว่า บ้านธรรมประสิทธิ์ที่คุณยายอยู่นั้น เป็นบ้านสองชั้นหลังเล็กๆ เวลาเขาเดินกันบนบ้าน เขาก็เดินกันเบามาก แต่เพราะเราอยู่กลางทุ่งจนเคย พอก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก มันสะเทือนไปทั้งหลัง เราก็ไม่รู้ เราว่าเราเดินเบาแล้ว แต่ปรากฏว่า พอขึ้นไปแล้ว เขานั่งสมาธิกันอยู่ ใครต่อใครพากันลืมตาขึ้นมาดูเราหมดเลย นี้ก็เป็นข้อคิดว่า เวลาเราเข้าไปในหมู่ไหนก็ควรจะต้องศึกษาขนบธรรมเนียมของที่นั่นให้ชัดเจนด้วย และขนาดหลวงพ่อศึกษามาชัดเจนแล้วก็ยังไม่วาย เนื่องจากบางอย่างเราไม่คุ้น
 
        หลังจากที่หลวงพ่อได้ไปกราบคุณยาย และท่านเมตตารับเป็นลูกศิษย์แล้ว สิ่งที่ทำเป็นประจำก็คือตอนเย็นๆหลังเลิกงาน จะไปกราบคุณยายที่วัดปากน้ำฯ ไปถึงประมาณห้าโมงครึ่งหกโมง แล้วก็จะนั่งสมาธิกันไปถึงเวลาประมาณสักทุ่มครึ่งสองทุ่ม ผู้ที่มาก็มีทั้งนิสิตนักศึกษา มีทั้งท่านที่ทำงานแล้ว หลังจากนั้น คุณยายก็จะให้ปกิณกธรรมประมาณสักสิบนาทีสิบห้านาที ซึ่งตรงนี้มีผลมากกับการให้กำลังใจ และมีผลมากต่อการให้ความรู้ เพราะความรู้ในภาคปฏิบัตินั้น ถ้าให้ทีละมากๆแล้วตามไม่ทัน ก็ต้องค่อยๆให้
 
คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง
 
        เมื่อจบปกิณกธรรมแล้ว คุณยายจะมีประโยคสุดท้าย ท่านก็พูดยิ้มๆของท่านไปว่า “พวกคุณจำไว้นะ ถ้าเราอยู่คนเดียว มีเงินร้อยบาทก็ทำบุญได้ถึงห้าสิบบาท แต่ว่าถ้าแต่งงานไป มีเงินร้อยบาท ทำบุญได้อย่างมากก็ห้าบาทเท่านั้น แล้วถ้ามีลูกสักคนหนึ่ง มีเงินร้อยบาท ทำบุญได้สักบาท มันก็จะยาก”_คุณยายก็พูดแค่นี้ หลวงพ่อเพิ่งไปใหม่ๆ ฟังแล้วก็คิดว่า คุณยายคงพูดให้พี่ๆเหล่านั้นฟัง เรานั้นไม่เกี่ยว เพราะเราเป็นคนใหม่ และมีพี่ๆที่เขายังไม่ได้แต่งงานกันอยู่หลายคนด้วย จึงได้ทึกทักเอาเองว่า คุณยายคงได้ให้โอวาททำนองนี้เป็นประจำนี้มาก่อนแล้ว จึงไม่ได้ผ่านเข้ามาในใจ กอปรกับหลวงพ่อก็ลืมไป ไม่ได้ไปถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ว่า คุณยายให้โอวาทอย่างนี้เป็นประจำมาก่อนหรือเปล่า ก็คงทำนองเดียวกับคุณจ้อที่ได้ยินคุณยายชวนให้มาทำบุญ คุณจ้อก็คงจะมีความรู้สึกว่า คงจะเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ลืมไปว่าก็มาด้วยกัน คุณยายไม่ได้ชวนใครมาก ชวนแต่คุณจ้อ ถึงจะฉลาดแต่บางครั้งก็ไม่เฉลียว หลวงพ่อเองก็ทำนองเดียวกัน ไม่ได้เฉลียวใจ แม้ทุกครั้งที่ไปนั่งสมาธิกับคุณยาย ถ้าอยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายเมื่อไหร่ ก็จะได้ยินคุณยายให้โอวาทอย่างนี้เสมอ
 
        เหตุการณ์ทำนองนี้ ไม่ใช่วันสองวัน ไม่ใช่เดือนสองเดือน แต่ประมาณสองปีเศษ หมดเวลาไปสองปีเศษ หลวงพ่อจึงได้คิด ที่มาได้คิดเพราะพี่ๆพวกนั้น ต่างก็แต่งงานกันไปหมด อีกทั้งวันนั้นเหลืออยู่กันสิบกว่าคน คุณยายก็ยังพูดประโยคเดิมนั้นอีก หลวงพ่อก็เหลียวซ้ายแลขวา “อ้าว...เรานี่อายุมากที่สุดในกลุ่ม”_จึงถามคุณยายว่า “คุณยาย...ที่คุณยายพูดมาเป็นปีๆนี่ คุณยายต้องการจะพูดให้ผมฟังหรือครับ” คุณยายก็ยิ้มๆไม่ตอบ
 
        เมื่อหลวงพ่อได้ยินเรื่องของคุณจ้อ ก็นึกถึงตัวเอง จึงอยากจะฝากไว้ว่า เวลามีกัลยาณมิตรมาให้สติ หรือเวลาจะต้องไปบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรให้ใคร ขอให้มองว่างานกัลยาณมิตรนั้น ไม่ใช่งานเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครที่มีเรื่องฝังใจอะไรอยู่แล้ว มันยากที่จะเปลี่ยนใจ อย่างคุณจ้อ เนื่องจากฐานะเดิมก็ไม่ได้ดีอะไรนัก เพราะฉะนั้นที่จะคิดว่าวันหนึ่งจะรวยเป็นมหาเศรษฐีกับเขาบ้าง ก็ไม่ได้คิด เมื่อไม่ได้คิดจึงมีอาการเดียวกันกับหลวงพ่อ
 
        เมื่อคุณยายมาเป็นกัลยาณมิตรให้ จึงต้องใช้เวลาที่จะเอาธาตุปิดธาตุบังที่มันหุ้มใจออกไป ต้องใช้ความพยายาม ต้องใช้ความอุตสาหะ เพราะฉะนั้น หลวงพ่อรู้ว่าคุณยายรักมาก ใช้เวลาเตือนตั้งสองปีกว่า หลวงพ่อจึงได้มาบวชจนทุกวันนี้
 
        อย่าว่าแต่พวกเรา เวลาธาตุปิดธาตุบังมันเกิดขึ้นกับใครนั้น มันเปิดออกยาก แม้แต่เป็นพระโสดาบันแล้วก็ยังยาก พวกเราคงจำได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้นัย2กับพระอานนท์หลายครั้ง เพื่อจะให้พระอานนท์อาราธนาให้พระองค์อยู่ได้เป็นกัป เพื่อพระองค์จะได้สั่งสอนชาวโลก จะได้รื้อจะได้ขนสัตว์โลกออกจากวัฏสงสารได้มากๆ แต่แม้จะให้นัยครั้งแล้วครั้งเล่า พระอานนท์ก็ถูกมารปิดรู้ปิดญาณเอาไว้ จึงทำให้รับนัยนั้นไม่ได้ พอไปรับได้ในวาระสุดท้าย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงปลงสังขารไปแล้ว ช้าไปแล้ว นี้เป็นข้อคิดข้อเตือนใจ
 
2อ่านว่า ไน-ยะ ที่ถูกต้องเขียนว่า นัย อ่านว่า ไน หรือ ไน-ยะ ก็ได้ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2525)
 
        ดังนั้น ใครที่เคยพบคุณยายมาก่อน ให้ไปทบทวนดูว่า ท่านได้เตือนเราในเรื่องอะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านเตือนบ่อยๆ หรือได้เชื้อเชิญชักชวนให้เราทำอะไร แล้วเรายังไม่ได้ทำบ้าง จะเป็นคุณกับเรา
 
        เรื่องของคุณจ้อที่ได้ยินตอนกลางคืน มาบรรจบกับเรื่องที่หลวงพ่อได้ยินตอนเวลาฉันเช้าพอดี กล่าวคือ เมื่ออุบาสกที่ทำหน้าที่นำกราบนำถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ได้อ่านโอวาทของคุณยายว่า...ทุกครั้งที่ยายทำบุญทำทาน หลังจากที่อธิษฐานเรื่องต่างๆแล้ว ยายจะอธิษฐานแล้วอธิษฐานอีกว่า อย่าให้มารได้ช่องมาปิดรู้ปิดญาณข้าพเจ้าได้เลย เมื่อได้รู้ได้เห็นอะไร ก็ขอให้รู้แจ้งแทงตลอด
 
        ตรงนี้ ฝากเอาไว้ด้วยว่า การที่ใครคนใดคนหนึ่ง มารปิดรู้ปิดญาณไม่ได้ เขาควรจะต้องเตรียมตัวอย่างไร เพราะแม้แต่พระอานนท์พุทธอนุชา เมื่อครั้งยังเป็นพระโสดาบันอยู่ มารก็ปิดรู้ปิดญาณท่าน เมื่อเรารู้อย่างนี้ เราก็อธิษฐานล้อมคอกให้หนาแน่นเข้าไว้ ทำบุญแต่ละครั้ง ให้ อธิษฐานเอาไว้ว่า ด้วยอำนาจกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ กี่ภพกี่ชาติเบื้องหน้า จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม มารอย่าได้มาปิดรู้ปิดญาณข้าพเจ้าได้เลย
 
        อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะฝากพวกเราไว้ คือ โอวาทของคุณยายที่ท่านได้กล่าวเอาไว้เสมอๆว่า “ยายเป็นคนที่รักความสะอาด”_ในเรื่องของการรักความสะอาดของคุณยายนี้ เวลาพวกเราไปเล่าให้ใครฟัง ขอให้เล่าด้วยความระมัดระวัง ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดี บางทีอาจจะมีผลลบได้ กล่าวคือ เมื่อเราพูดถึงว่า คุณยายรักความสะอาด ความสะอาดที่คุณยายหมายถึงนั้น ไม่ได้หมายถึงแค่ความสะอาดภายนอก แต่คุณยายหมายถึงความสะอาดทั้งภายนอกและภายใน ถ้าเราพูดไม่ชัดหรือพูดไม่หมด เมื่อเราพูดว่า คุณยายรักความสะอาด ผู้ที่มีอาชีพเป็นแพทย์เป็นพยาบาลฟังแล้ว อาจจะคิดว่า “ฉันก็รักความสะอาด เพราะฉันเป็นแพทย์ฉันเป็นพยาบาล เพราะอาชีพของฉันมันต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่าเข็มฉีดยาแต่ละเข็ม ถ้าไม่ได้ต้มไม่นึ่งให้ดี คนไข้มีสิทธิ์ติดเชื้อตายได้” แต่ความสะอาดที่ว่านี้เป็นความสะอาดภายนอกเท่านั้น
 
        ตรงนี้ต้องระวังด้วย เพราะถ้าผู้ที่เป็นแพทย์ผู้ที่เป็นพยาบาลได้ยินอย่างนั้น เขาอาจมีความรู้สึกว่า ผู้พูดนั้น เห็นแต่เพียงแม่ชีทำความสะอาดนิดๆหน่อยๆที่กุฏิก็เอามาคุย ก็เลยจะกลายเป็นว่า ดูถูกผู้พูด แล้วเดี๋ยวจะดูถูกไปถึงคุณยายด้วย เขาจะแบกบาปไป เพราะเราพูดไม่หมด ต้องพูดให้หมดต้องพูดให้ดีว่า “คุณยายเป็นคนรักความสะอาดทั้งความสะอาดภายนอกทั้งความสะอาดภายใน”_ถ้าเขามีปัญญาเขาจะต้องสะดุด เขาจะต้องเฉลียวใจอะไรขึ้นมาบ้าง
 
        หลวงพ่อเคยได้ยินมา ผู้ที่เป็นพยาบาลผู้ที่เป็นแพทย์มากันที่วัด แพทย์คนหนึ่งได้อธิบายให้เพื่อนแพทย์ที่เขาพามาฟังว่า “คุณยายอาจารย์รักความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง คือ รักทั้งความสะอาดภายนอก รวมทั้งรักความสะอาดภายในด้วย”_เพื่อนแพทย์ที่พามาด้วยก็ถามว่า “รักความสะอาดภายในเป็นอย่างไร พวกเราก็ผ่าตัดกันมาก็ตั้งเยอะแล้ว...”_เขานึกในเชิงผ่าตัด เขาอาจจะหมายถึงพวกที่เผอเรอลืมกรรไกรเอาไว้ในท้องคนไข้
 
        แพทย์ที่พาเพื่อนมาก็อธิบายได้ดีว่า “ที่พวกเราพูดกันว่าคุณยายของเรารักความสะอาดทั้งภายนอกภายในนั้น ภายนอกก็เหมือนกับพวกแพทย์พวกพยาบาลทั้งหลาย แต่ว่าแน่นอนคุณยายไม่ได้เป็นแพทย์ไม่ได้เป็นพยาบาล เพราะฉะนั้นการที่จะมานึ่งเครื่องไม้เครื่องมืออะไรขนาดนั้น ท่านก็ไม่ได้ทำ รักษาความสะอาดภายนอกของคุณยายอาจารย์ คงไม่ได้มุ่งถึงการฆ่าเชื้อโรคอย่างที่หมอหรือพยาบาลหมายถึง แต่คุณยายหมายถึงว่า อะไรที่สกปรกรกรุงรัง นั่นต้องจัดการเสีย แต่ว่าในการจัดการกับความสกปรกรกรุงรัง ผลไม่ได้มุ่งไปที่การแพทย์ แต่มุ่งประเด็นไปที่จะให้เกิดความสบายตา เกิดความสบายกาย เกิดความสบายใจ”
 
        พี่ๆน้องของคุณยายเคยถามท่านว่า “ทำไมเวลาเช็ดบันไดถูกบันได เช็ดที่ลูกบันไดข้างบนก็พอแล้ว ทำไมต้องไปเช็ดใต้บันไดด้วย”_คุณยายก็ตอบว่า “ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อยากให้มันสะอาดไปทุกจุด”_นั่นเป็นคำตอบของคุณยาย เมื่อตอนที่คุณยายยังมาไม่ถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ 
 
        แต่เมื่อหลวงพ่อมาเจอคุณยาย วันหนึ่งได้ยินคุณยายพูดกับพวกเด็กๆชั้นประถมชั้นมัธยมที่มาวัด คุณยายเห็นพวกเขามาช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูที่อาคารดาวดึงส์ พวกเด็กๆก็เช็ดกระจกทางด้านนอก ส่วนทางด้านในนั้นบางคนก็เช็ด บางคนก็ไม่เช็ด หรือเวลาเช็ดโต๊ะ บางคนก็เช็ดแค่บนโต๊ะ แต่ใต้โต๊ะไม่ได้เช็ด ขาโต๊ะก็ไม่ค่อยได้เช็ด คุณยายอธิบายกับเด็กๆได้ดีเหลือเกิน ท่านบอกว่า “ลูกเอ๋ย...เช็ดทั้งข้างนอกเช็ดทั้งข้างในนะ ข้างล่างข้างบนเช็ดให้หมด ถ้าเช็ดเพียงด้านใดด้านหนึ่ง อย่างนี้วิมานของเจ้าจะไม่ผ่องหรอก”
 
เด็กๆถามว่า “พวกหนูก็มีวิมานหรือ”
 
คุณยายตอบว่า “มี...ลูก”_คุณยายมองทะลุไปถึงจุดโน้นเลย “เช็ดทั้งข้างนอกข้างในแล้ว ใจของเรามันผ่อง แม้แต่วิมานของเราที่รอท่าพวกเรา มันก็ผ่องนะ มันมีรัศมีสว่างขึ้นมาเลยนะลูก”
 
        อีกวันหนึ่ง คุณยายก็พูดทำนองนี้แต่กับอีกคนหนึ่ง คุณยายพูดว่า “ถ้าเราไม่ปัดกวาดเช็ดถูทั้งข้างนอกข้างในให้มันสะอาดเอี่ยมไปล่ะก็ แม้แต่บริวารที่รอท่าเราอยู่ที่วิมาน ก็จะติดนิสัยนี้ของเราไปด้วย แล้วชาติต่อไปเวลามาเกิดใหม่ มันก็ยังจะติดนิสัยนี้ไปอีก เราก็จะได้ของที่มัวๆไม่ผ่องไม่ใส ติดตัวข้ามชาติเชียวนะ หลานนะ” ความสะอาดที่คุณยายหมายถึงเป็นอย่างนี้
 
        มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นว่า คุณยายของเราไม่เคยเว้นเลยแม้แต่จะเป็นกัลยาณมิตรให้เจ้าตัวเปี๊ยกๆ และท่านก็จะหาเรื่องที่พอเหมาะกับเด็กเหล่านั้นด้วย ตรงนี้เป็นสิ่งที่อยากจะฝากพวกเราเอาไว้ว่า งานการเป็นกัลยาณมิตรเป็นเรื่องใหญ่ อย่าดูเบา เพราะกัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของการสร้างบารมี
 
        อย่างที่เรารู้กันดีว่า พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯฝากเอาไว้ว่า ให้เอาวิชชาธรรมกายไปให้ทั่วโลกให้ได้ เพราะท่านสงสารสัตว์โลก...เมื่อสมัยพุทธกาล เรื่องกฎแห่งกรรมเพียงเรื่องเดียวก็ยังไปไม่ทั่วโลก ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไปไม่ทั่วโลก อย่าว่าแต่วิชชาที่ลึกซึ้งอะไรอีกมากมาย จนกระทั่งวันนี้ แม้การสื่อสารจะกว้างไกลขนาดไหน แค่กฎแห่งกรรมก็ยังไปไม่ทั่วโลก แล้ววิชชาธรรมกายจะให้ไปให้ทั่วโลก จะทำอย่างไร ก็คงจะต้องทุ่มเทสรรพกำลังกันอย่างหนัก และในการทุ่มเทสรรพกำลังอย่างหนักนั้น พระทั้งโลกที่มีอยู่ในตอนนี้ก็ไม่พอที่จะไปช่วยนำวิชชาธรรมกายให้ขยายไปทั่วโลก ต่อให้ปีนี้ปีหน้าบวชพระเพิ่มได้อีกปีละล้านรูป ก็ไม่ได้หมายความว่าจะนำวิชชาธรรมกายไปทั่วโลกได้
 
        ขนาดคุณจ้อ คุณยายเป็นกัลยาณมิตรให้ พูดให้ได้ยิน แต่ผ่านมาตั้งสามสิบกว่าปีจึงจะได้คิด เพราะฉะนั้นการนำวิชชาธรรมกายไปให้ทั่วโลก แม้เราจะมีพระอีกเป็นล้านรูป ก็อย่าหวังว่าจะไปทั่วโลกได้ง่ายๆ แล้วเราจะทำอย่างไร ก็ต้องบอกว่า นอกจากส่วนที่เป็นพระแล้ว ลูกหลานทั้งหลาย ไม่อยากจะได้บุญใหญ่ๆเป็นมหากัลยาณมิตรกับเขาบ้างหรือ เพราะฉะนั้น ดูการบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรของคุณยายให้ละเอียดลออ ไปตามอ่านเรื่องของคุณยายให้ดี จากหนังสือคุณยาย In My Heart เพราะเรื่องเหล่านั้น คือ วิธีการบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรต่อชาวโลกที่คุณยายทำมากับมือของท่าน ถ้าอ่านแล้วเข้าใจดีแล้ว นำเอาไปใช้ด้วย เราต้องตามรอยเท้าคุณยาย แม้วันนี้เรายังไม่สามารถที่จะมองทะลุไปถึงใจคนอื่นได้ แต่ถึงขนาดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหมดสิทธิ์ในการเป็นกัลยาณมิตร ทุกคนมีสิทธิ์ ไปอ่านชาดกดู พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ บางครั้งแม้เกิดเป็นนกกระทา ก็ยังเป็นกัลยาณมิตรให้ลิงกับช้างได้ เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าดูถูกตัวเองว่า จะบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรไม่ได้ นกกระทายังเป็นได้ แล้วเรา...ลูกหลานคุณยาย จะทำไม่ได้ ได้อย่างไรกัน
 
        หลวงพ่อขออนุโมทนาบุญกับคุณจ้อ ที่นำพระคุณของคุณยายมาเล่าให้หมู่คณะฟัง และเป็นกรณีศึกษาที่ดีว่า การเป็นกัลยาณมิตรนั้น ต้องใช้ทั้งปัญญาต้องใช้ทั้งความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ในเวลาเดียวกัน ใครที่ได้รับคำเตือนจากใครก็ตาม ได้รับคำแนะนำจากผู้มีศีลผู้มีธรรมก็ตาม อย่าปล่อยปละละเลย นำมาคิดให้ดี ทบทวนให้ดีด้วย
 
        อย่างที่หลวงพ่อได้เคยพูดไว้หลายๆครั้งว่า...
 
1.กว่าคนใดคนหนึ่งจะรู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่องเรื่องอะไรก็ตาม มีนิสัยที่ไม่ดีอะไรก็ตาม...มันยากมากๆ
 
2.เมื่อตัวเองมองตัวเองไม่ออก ก็ต้องไปหาคนอื่นให้เขาเป็นกัลยาณมิตร แนะนำให้ การจะหากัลยาณมิตรมาชี้ให้เรารู้ตัวว่า เรามีนิสัยอะไรที่ไม่ดีหรือมีข้อบกพร่องอะไร...มันก็ยากมากๆ
 
3.แม้เจอกัลยาณมิตรแล้ว ท่านได้แนะท่านได้ชี้ว่า เรานั้นมีข้อบกพร่องอย่างนั้นอย่างนี้...มันก็ยากมากๆที่เราจะยอมรับ อะไรเป็นตัวบอกว่ายาก ถามตัวเองว่า เคยเถียงแม่กันบ้างหรือไม่ ขนาดคุณยายมาเป็นกัลยาณมิตรให้ คุณจ้อยังหลบหน้ายังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แม้หลวงพ่อเองยังหมดเวลาไปสองปีกว่า กว่าจะรู้ว่าคุณยายชี้ทางให้ เพราะฉะนั้นให้หมั่นทบทวนตัวเองให้ดี
 
        คุณยายมักจะเตือนลูกๆหลานๆที่คุ้นเคยกันว่า “ยายอธิษฐานอยู่เป็นประจำว่าให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ”_และบางครั้ง คุณยายก็ยังเสริมให้อีกว่า “ยายอธิษฐานซ้ำไปอีกว่า ถ้าใครมาถึงยายแล้ว ก็ขอให้มีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ตามยายไปด้วย”_นี้คือมหากรุณาของคุณยาย และบางครั้งเมื่อคุณยายเตือนบางคนหลายเที่ยว แล้วเขาไม่ค่อยจะทำตาม คุณยายก็จะเสริมให้ว่า “แล้วบางทียากก็อธิษฐานซ้ำไว้ด้วยว่า ใครที่บริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ไม่พอ ถ้าเตือนแล้วเตือนอีก ก็ยังไม่เชื่อ ขออย่ามาเจอะมาเจอกับยายเลย”
 
        สิ่งเหล่านี้ อย่าปล่อยผ่าน ความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ที่เรามี และทำให้มันเป็นนิสัย เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ถ้าใครเมตตามาเป็นกัลยาณมิตรให้เรา เราจะไวเหมือนจอเรดาร์ รับได้ทันที และสามารถรีบไปทำตามคำแนะนำของกัลยาณมิตรท่านนั้นได้รวดเร็ว ไม่ต้องไปรอเป็นหลายๆปี
 
        คืนนี้ นึกถึงบุญที่มาร่วมพิธีวางแผ่นทอง อาคาร 100-ปี คุณยายอาจารย์ แล้วแผ่เมตตากรวดน้ำให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายให้ถ้วนหน้า เพราะว่าบุญนี้เป็นบุญใหญ่ นึกให้บุญเหล่านี้ถึงแก่คุณพ่อคุณแม่ของเราด้วย บรรพบุรุษของเราด้วย ครูบาอาจารย์ของเราด้วย ผู้มีพระคุณแก่เราไม่ว่ามากไม่ว่าน้อยด้วย ให้ทุกท่านได้บุญมากๆ และโดยเฉพาะอุบาสกอุบาสิกา พระ เณร ก็ให้นึกให้บุญนี้ไปถึงแก่ญาติโยมทั้งหลาย และท่านที่เป็นเจ้าภาพตั้งใจอุปถัมภ์ค้ำจุนทั้งวัดพระธรรมกาย ทั้งพระพุทธศาสนา ตลอดมา ไม่ว่าอยู่ตรงไหนในมุมโลกนี้ ทั้งที่มีชีวิตอยู่ก็ดี ละโลกแล้วก็ดี ให้ได้บุญกันมากๆ ตามมาทุกคนทุกชีวิต เทอญ
 
******************
    
ชม Video กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์
 
 
 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
DMC ที่โซโลมอนDMC ที่โซโลมอน

Solomon Islands หมู่เกาะมนุษย์กินคนSolomon Islands หมู่เกาะมนุษย์กินคน

เกาะที่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด ที่มนุษย์อยู่ได้เกาะที่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด ที่มนุษย์อยู่ได้



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ช่วงเด่นฝันในฝัน