ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2554
Case Study กรณีศึกษากฎแห่งกรรม
มหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนที่ 12
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
ฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที
แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะ
บริเวณที่จัดประเพณีชิงช่อดอกไม้นี้ยังเนืองแน่นและเต็มขนัดไปด้วย
ผู้คนที่ต่างก็มาเฝ้ารอดูประเพณีชิงช่อดอกไม้นี้อย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อกลุ่มของพระราชโอรส เดินทางมาถึงบริเวณพิธีที่สำคัญที่สุดในงานเฉลิมฉลองครั้งนี้ ซึ่งก็คือลานประเพณีชิงช่อดอกไม้ ทุกๆคนก็ได้เห็นบริเวณพิธีได้ถูกตกแต่งและจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการโอฬารสถาน อีกทั้ง บริเวณที่จัดประเพณีชิงช่อดอกไม้นี้ยังเนืองแน่นและเต็มขนัดไปด้วยผู้คนที่ต่างก็มาเฝ้ารอดูประเพณีชิงช่อดอกไม้นี้อย่างใจจดใจจ่อ
ลานที่ใช้จัดประเพณีชิงช่อดอกไม้นี้ก็ประกอบ
ไปด้วยหอคอยชั่วคราวที่ทำด้วยไม้สูงประมาณ 5 ช่วงคนจำนวนทั้งหมด 6 หลัง
สำหรับลานที่ใช้จัดประเพณีชิงช่อดอกไม้นี้ก็ประกอบไปด้วย หอคอยชั่วคราวที่ทำด้วยไม้สูงประมาณ 5 ช่วงคนจำนวนทั้งหมด 6 หลัง โดยแต่ละหลังจะอยู่ล้อมรอบลานประเพณี และจะมีเชือกผูกโยงจากยอดหอคอยของแต่ละหลัง ไปยังยอดหอคอยที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม
ซึ่งจุดตัดกันของเชือกที่อยู่ตรงกลาง จะเป็นตำแหน่งสำหรับแขวนช่อดอกไม้ขนาดใหญ่เอาไว้
ส่วนพื้นที่ว่างตรงกลางที่อยู่ระหว่างหอคอยทั้งหมดนั้นก็ได้ถูกยกพื้นให้สูงขึ้นกว่าพื้นโดยรอบ เพื่อใช้เป็นเวทีสำหรับคนที่จะมาชิงช่อดอกไม้
ท่านมหาเสนาบดีก็ได้ทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็น แล้วอธิบายให้ทุกๆคนฟังว่า
ลานหอคอยแห่งนี้ เป็นลานประเพณีสำหรับการแข่งขันชิงช่อดอกไม้
ในขณะที่พระราชโอรส และแก๊งเด็กๆ กำลังตื่นตาตื่นใจกับบริเวณพิธีที่จัดให้มีการชิงช่อดอกไม้อยู่นั้น ท่านมหาเสนาบดีก็ได้ทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็น แล้วอธิบายให้ทุกๆ คนฟังว่า ลานหอคอยแห่งนี้ เป็นลานประเพณีสำหรับการแข่งขันชิงช่อดอกไม้ ซึ่งถือว่าเป็นประเพณีสำคัญประจำปีของเมือง ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับความอุดมสมบูรณ์ในแต่ละปี โดยถ้าใครสามารถที่จะชิงช่อดอกไม้ที่แขวนอยู่บนหอคอยนี้ไปได้ ก็จะได้รับเงินรางวัลและช่อดอกไม้นี้ไปประดับไว้ที่หน้าบ้านตลอดทั้งปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับคนในเมืองนี้เลยทีเดียว
สำหรับการชิงช่อดอกไม้นั้น จะมีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ คนที่เข้าชิงช่อดอกไม้ห้ามทำให้ช่อดอกไม้ตกลงพื้นอย่างเด็ดขาด ซึ่งก็เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ไม่มีใครสามารถชิงเอาช่อดอกไม้นี้ไปได้เลย
ก็มีกลุ่มชาวบ้านหลายๆ กลุ่มได้ขึ้นไปบนเวที เพื่อที่จะชิงเอาช่อดอกไม้
ที่แขวนอยู่ตรงกลางระหว่างหอคอยทั้งหมดลงมาให้ได้
หลังจากที่ท่านมหาเสนาบดีได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับงานประเพณีชิงช่อดอกไม้จบลง
ทุกๆ คนต่างก็ได้รีบไปจับจองที่นั่งอยู่ข้างๆ เวทีด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและตั้งหน้าตั้งตารอดูอย่างใจจดใจจ่อ
ซึ่งในขณะนั้น ก็มีกลุ่มชาวบ้านหลายๆ กลุ่มได้ขึ้นไปบนเวที เพื่อที่จะชิงเอาช่อดอกไม้ที่แขวนอยู่ตรงกลางระหว่างหอคอยทั้งหมดลงมาให้ได้ โดยบางกลุ่มก็ได้ทำการต่อตัวกันขึ้นไปหลายๆ ชั้น แต่พอต่อตัวกันขึ้นไปได้แค่ 3 ชั้น ก็พากันล้มลงมานอนอยู่กับพื้น
ส่วนบางกลุ่มก็นำเอาไม้มาต่อกันให้ยาวๆ เพื่อจะสอยช่อดอกไม้มงคลดังกล่าว แต่พอไม้ถูกต่อให้ยาวมากเข้า มากเข้า ตรงปลายของท่อนไม้ที่ถูกต่อออกไปก็จะมีน้ำหนักที่มากขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ท่อนไม้ ไม่อาจที่จะทรงตัวอยู่ได้แล้วก็หักล้มลงมาอย่างไม่เป็นท่า
ก็มีบางกลุ่มที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ได้ให้เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม
ใช้ไม้ค้ำถ่อ ถ่อตัวขึ้นไป เพื่อที่ตัวเขาจะได้ไปอยู่ที่ปลายไม้ด้านบน
นอกจากนั้น ก็มีบางกลุ่มที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ได้ให้เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มใช้ไม้ค้ำถ่อ ถ่อตัวขึ้นไป เพื่อที่ตัวเขาจะได้ไปอยู่ที่ปลายไม้ด้านบน ส่วนเพื่อนๆ ในกลุ่มที่เหลือก็ได้ช่วยกันยกไม้ค้ำถ่อนั้นขึ้น
ซึ่งทีมนี้ได้สร้างความลุ้นระทึกและสะกดสายตาของพวกชาวบ้านทุกๆ คน จนทำให้ทุกๆ คนที่รอลุ้นต่างอยู่ในอาการปากอ้าตาค้างเพราะทีมนี้สามารถที่จะยกไม้ค้ำถ่อให้สูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งคนที่อยู่ตรงปลายไม้อยู่ในระยะที่เกือบจะถึงช่อดอกไม้ ในระดับเส้นยาแดงผ่าแปด
แต่ในทันใดนั้นเองขณะที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงปลายไม้กำลังจะเอื้อมมือไปเก็บช่อดอกไม้ เสียงเปลี๊ยะ ก็ดังขึ้น แล้วเสียงโคร่มใหญ่ ก็ดังสนั่นไล่เลี่ยตามมา เพราะไม้ค้ำถ่อได้หักโค่นลงมาซะก่อน ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้พวกชาวบ้านที่กำลังปากอ้าตาค้างเพราะลุ้นระทึกกับการชิงช่อดอกไม้ของทีมนี้ ได้เปลี่ยนอารมณ์อย่างฉับพลันมาเป็นขากรรไกรค้าง เพราะแต่ละคนต่างหัวเราะกันซะท้องคัดท้องแข็งแบบน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล
พวกเด็กๆ ก็พากันหันมาทางพระราชโอรส พร้อมกับรบเร้าให้พระราชโอรส
ไปชิงช่อดอกไม้ เพื่อที่จะได้นำเอาเงินรางวัลมาซื้อขนมแบ่งกัน
ซึ่งในช่วงที่แต่ละทีมกำลังคิดหาวิธีชิงช่อดอกไม้ลงมาให้ได้นั้น บรรยากาศในงานเฉลิมฉลองก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน ส่วนพวกเด็กๆ ก็มีความสุขและหัวเราะเบิกบานกันอย่างสุดๆ และในระหว่างนั้นเอง พวกเด็กๆ ก็พากันหันมาทางพระราชโอรส พร้อมกับรบเร้าให้พระราชโอรสไปชิงช่อดอกไม้ เพื่อที่จะได้นำเอาเงินรางวัลมาซื้อขนมแบ่งกัน
เมื่อพระราชโอรส ได้ยินเด็กๆ รบเร้าอย่างนั้น ด้วยความที่พระองค์ทรงเมตตาและเอ็นดูต่อเด็กๆ กอปรกับพระองค์ก็ทรงนึกอยากที่จะเล่นสนุกๆ ขึ้นมาด้วย ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงเกิดอาการใจอ่อน ดังนั้น พระองค์จึงหันไปมองทางท่านมหาเสนาบดี พอสบตากัน ก็รู้ใจกันทันทีว่า ต้องการอะไร แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า มาเรามาลองดูกัน ซึ่งก็ทำให้พวกเด็กๆ ได้เฮกันลั่นไปทั่วทั้งลานประเพณี
พระราชโอรส ก็ได้หารือร่วมกับท่านมหาเสนาบดีเพื่อวางยุทธวิธีชิงช่อดอกไม้
จากนั้น พระราชโอรส ก็ได้หารือร่วมกับท่านมหาเสนาบดีเพื่อวางยุทธวิธีชิงช่อดอกไม้ ซึ่งปกติแล้ว ถ้าเป็นคนทั่วๆ ไปก็คงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะขนาดกลุ่มชาวบ้านที่พากันขบคิดแสวงหาวิธีการและเตรียมการล่วงหน้ากันมาเป็นปีๆ ก็ยังทำไม่สำเร็จ แต่พระราชโอรส เพิ่งจะมีโอกาสได้มาชมงานประเพณีนี้เป็นครั้งแรก กลับมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ได้ และเมื่อพระองค์ตัดสินพระทัยแล้ว ก็ไม่เปลี่ยนความตั้งใจอีกด้วย ด้วยความมุ่งมั่นของพระองค์นี้เอง จึงทำให้ท่านมหาเสนาบดีเกิดความประทับใจในพระราชโอรสเป็นอย่างยิ่ง
พระราชโอรส ก็เกิด ไอเดีย ขึ้นมา จากนั้น พระราชโอรส ก็ทรงเรียกประชุมทีมงานทั้งหมด
ในขณะที่พระราชโอรสกับท่านมหาเสนาบดีต่างกำลังระดมความคิดหาวิธีการชิงช่อดอกไม้อยู่นั้น พระราชโอรส ก็เกิด ไอเดีย ขึ้นมา จากนั้น พระราชโอรส ก็ทรงเรียกประชุมทีมงานทั้งหมด ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มของท่านมหาเสนาบดีและกลุ่มของพวกเด็กๆ เพื่อแบ่งทีมและชี้แจงหน้าที่ของแต่ละคน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้คือ
ทีมนี้จะต้องนำเอาเด็กที่เป็นหัวโจกใส่ตะกร้าแล้วสะพายไว้ที่หลัง จากนั้น
ก็ปีนขึ้นไปตามขั้นบันไดของหอคอยจนไปถึงชั้นที่มีการผูกเชือกเอาไว้
ทีมที่ 1 ประกอบด้วย พระราชโอรส หรือ เด็กหนุ่มที่มีบุคลิกงดงามราวกับเทพบุตรจำแลงคนนั้น พร้อมด้วยเหล่าเพื่อนทหารของท่านมหาเสนาบดี และหัวหน้าแก๊งของพวกเด็กๆ หรือเด็กที่เป็นหัวโจกซึ่งทีมนี้จะต้องนำเอาเด็กที่เป็นหัวโจกใส่ตะกร้าแล้วสะพายไว้ที่หลัง จากนั้น ก็ปีนขึ้นไปตามขั้นบันไดของหอคอยจนไปถึงชั้นที่มีการผูกเชือกเอาไว้
เมื่อไปถึงชั้นนั้นแล้ว ทีมนี้ก็ได้ใช้ตะขอเกี่ยวตะกร้ากับเชือกที่ผูกโยงระหว่างหอคอยเข้าไว้ด้วยกัน เสร็จแล้วก็ทิ้งเชือกที่ผูกกับตะกร้าเอาไว้ลงมาทางด้านล่าง เพื่อให้ พวกเด็กๆ ที่เหลือ ที่รออยู่ทางด้านล่าง ช่วยกันดึงปลายเชือกชักรูดตะกร้านั้นไปจนถึงตำแหน่งตรงกลาง ซึ่งเป็นจุดที่มีการผูกช่อดอกไม้เอาไว้นั่นเอง
ยิงธนูด้วยความแม่นยำเข้าไปที่ตรงกลางห่วงของดอกไม้
เมื่อเชือกที่ผูกติดกับธนูร้อยผ่านเข้าไปที่ตรงกลางห่วงของช่อดอกไม้
ในขณะเดียวกันนั้น ทีมที่ 2 ซึ่งประกอบไปด้วยท่านมหาเสนาบดีกับเพื่อนอีกคนหนึ่งก็ได้นำเอาธนูมาผูกเชือก จากนั้น ก็ยิงธนูด้วยความแม่นยำเข้าไปที่ตรงกลางห่วงของดอกไม้ เมื่อเชือกที่ผูกติดกับธนูร้อยผ่านเข้าไปที่ตรงกลางห่วงของช่อดอกไม้แล้ว ส่วนปลายของลูกธนูก็พุ่งไปปักติดกับยอดของหอคอยที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามอย่างแน่น
ช่อดอกไม้มงคลนั้นก็โผเข้าสู่มือของท่านมหาเสนาบดี
ตามมาด้วยเสียง ของเหล่ามหาชนที่คอยเชียร์ลุ้นระทึกอย่างกึกก้อง
เมื่อพวกเด็กๆ ช่วยกันชักรูดเชือก แบบประสานเสียง ฮุ่ย! เล่! ฮุ่ย! เพื่อดึงตะกร้าไปจนถึงตรงกลางของหอคอยแล้ว ทันใดนั้นเอง หัวหน้าของพวกเด็กๆ หรือเด็กที่เป็นหัวโจก ที่อยู่ในตะกร้าก็ได้ใช้มีดทำการตัดเชือกที่ผูกอยู่กับช่อดอกไม้มงคลนั้น
ทันทีที่เชือกขาด ช่อดอกไม้มงคลก็รูดลงมาตามสายของเชือกธนู ที่ร้อยอยู่ตรงกลางอย่างด้วยท่วงท่าลีลาอันงดงาม และในที่สุด ช่อดอกไม้มงคลนั้นก็โผเข้าสู่มือของท่านมหาเสนาบดี ตามมาด้วยเสียง ของเหล่ามหาชนที่คอยเชียร์ลุ้นระทึกอย่างกึกก้อง ซึ่งบางพวกก็ดีใจกระโดดโลดเต้นจนตัวลอย กันอย่างสนุกสนาน
เมื่อพระราชโอรสได้รางวัลมาแล้ว พระองค์ก็ได้ไปซื้อขนมและของต่างๆ
เป็นจำนวนมากมาแจกเด็กๆ กัน อย่างทั่วถึง
ส่วนพระราชโอรส ซึ่งเป็นเจ้าของไอเดียนี้ ก็ได้แสดงอาการดีใจด้วยการยิ้มน้อยๆ แต่พองาม เมื่อพระราชโอรสได้รางวัลมาแล้ว พระองค์ก็ได้ไปซื้อขนมและของต่างๆ เป็นจำนวนมากมาแจกเด็กๆ กัน อย่างทั่วถึง ซึ่งก็ทำให้เด็กๆ ทุกคนได้รับความสนุกสนาน เบิกบานและรู้สึกประทับใจกันเป็นอย่างมาก
ท่านมหาเสนาบดีก็ได้นำช่อดอกไม้มงคลนั้นไปติดประดับไว้ที่หน้าบ้าน
ภายหลังจากที่งานประเพณีชิงช่อดอกไม้จบลง ท่านมหาเสนาบดีก็ได้นำช่อดอกไม้มงคลนั้นไปติดประดับไว้ที่หน้าบ้าน ซึ่งช่อดอกไม้แห่งเกียรติยศนี้ถือเป็นช่อดอกไม้แห่งความทรงจำอันแสนประทับใจ เพราะทำให้ท่านมหาเสนาบดีได้เห็นถึงบุคลิกอันเปี่ยมล้นด้วย ความเมตตาและไม่ถือพระองค์ของพระราชโอรส อีกทั้ง ยังทำให้ท่านมหาเสนาบดีได้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพอันยอดเยี่ยมในการวางแผนของพระองค์อีกด้วย
ส่วนว่า เรื่องราวของท่านมหาเสนาบดีจะดำเนินต่อไปอย่างไร และท่านจะสามารถหาคำตอบในแววตาของพระราชโอรสที่ไม่ทรงยินดียินร้ายต่อการฝึกยุทธวิธีของเหล่าทหารได้หรือไม่นั้น เราคงจะต้องอดใจรอรับฟังกันต่อใน ตอนที่ 13
กรณีศึกษากฎแห่งกรรมจากชีวิตจริง (Case study in real life)
บุคคลที่ปรากฏในเรื่องราวต่อไปนี้ มีตัวตนจริงในปัจจุบัน ประสบชะตากรรมขึ้นลงตามกระแสของวัฏฏะและกฎแห่งกรรม (ชมตัวอย่างบทสัมภาษณ์จากรายการชีวิตในสังสารวัฏ) ผู้อ่าน-ผู้ชมก็อย่าเพิ่งเชื่อหรือปฏิเสธในทันที ควรศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา แล้วค่อยนำไปเป็นอุทธาหรณ์ในการดำเนินชีวิตต่อไป
"วิชชาธรรมกาย" เป็นความรู้ดั้งเดิมในพระพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถไปรู้ไปเห็นเรื่องราวกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายในภพภูมิต่างๆ ตรงตามพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎก วิชชาธรรมกายจึงเป็นหลักฐานยืนยันการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทันสมัยตลอดกาล (อกาลิโก)