อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 4


[ 6 ก.พ. 2555 ] - [ 18278 ] LINE it!

ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555
อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 4

 

อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 4
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา 
 
พระมหากัสสปเถระ เอตะทัคคะทางด้านการถือธุดงควัตร
 
พระมหากัสสปเถระ เอตะทัคคะทางด้านการถือธุดงควัตร

      สำหรับในวันนี้เราจะได้มาศึกษาถึงประวัติย่อของพระภิกษุผู้เป็นต้นบุญต้นแบบที่เป็นเอตะทัคคะ หรือมีความเป็นเลิศทางด้านการถือธุดงควัตรกัน เพื่อจะได้รู้ว่าท่านเห็นประโยชน์อันใดในการถือธุดงควัตรตลอดชีวิต และท่านได้รับประโยชน์อันใดจากการถือธุดงควัตรบ้าง ซึ่งพระภิกษุรูปนี้ก็คือ “พระมหากัสสปเถระ” นั่นเอง

พระมหากัสสปะ มีนามเดิมว่าปิปผลิมาณพแต่งงานกับนางภัททกาปิลานีท่านทั้งสองไม่ยินดีในเรื่องของกามคุณ 
 
พระมหากัสสปะ มีนามเดิมว่าปิปผลิมาณพ ได้แต่งงานกับนางภัททกาปิลานี และท่านทั้งสองไม่ยินดีในเรื่องของกามคุณ
 
      เรื่องก็มีอยู่ว่า พระมหากัสสปะ มีนามเดิมว่าปิปผลิมาณพ ท่านได้ถือกำเนิดอยู่ในตระกูลของพราหมณ์มหาศาล เมื่อปิปผลิมาณพเจริญวัยขึ้น บิดาและมารดาของท่านก็ได้จัดแจง ให้ท่านแต่งงานกับหญิงสาวแสนสวยท่านหนึ่ง นั่นก็คือนางภัททกาปิลานี ซึ่งอยู่ในตระกูลของพราหมณ์มหาศาลเช่นกัน  แต่ด้วยความที่ทั้งปิปผลิมาณพและนางภัททกาปิลานี เป็นผู้ที่จุติลงมาจากพรหมโลก อีกทั้งท่านทั้ง 2 ยังได้บำเพ็ญเนกขัมมบารมีมายาวนาน ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ท่านทั้งสองไม่ยินดีในเรื่องของกามคุณและเห็นโทษภัยของการครองเรือนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านทั้งสองยังปรารถนาที่จะออกบวชอีกด้วย
 
ท่านทั้งสองได้ร่วมตกลงกันว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกันฉันสามีภรรยาเป็นอันขาด 
 
ท่านทั้งสองได้ร่วมตกลงกันว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกันฉันสามีภรรยาเป็นอันขาด
 
      ดังนั้น แม้ปิปผลิมาณพและนางภัททกาปิลานีจะถูกผู้ใหญ่จัดแจง ให้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันก็ตาม แต่ท่านทั้งสองก็ไม่ได้ยินดีในการแต่งงานนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ภายหลังจากที่ท่านทั้งสองได้แต่งงานกันไปแล้ว  ท่านทั้งสองจึงได้ร่วมตกลงกันว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกันฉันสามีภรรยาเป็นอันขาด   และแม้ว่าท่านทั้งสองจะต้องนอนบนเตียงเดียวกันก็ตาม แต่พวกท่านก็ได้ประพฤติพรหมจรรย์และอยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้องมาโดยตลอด  ซึ่งในช่วงเวลาที่ท่านทั้งสองจะพักผ่อนนอนบนเตียงเดียวกัน  พวกท่านก็จะนำพวงมาลัยดอกไม้สดมาวางไว้ตรงกลางระหว่างกันและกัน พร้อมกับอธิษฐานจิตกำกับว่า “ ถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งเกิดมีจิตคิดฉันสามีภรรยาขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว ขอให้พวงมาลัยดอกไม้สดนี้จงเหี่ยวเฉา ซึ่งก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เพราะตลอดระยะเวลาที่ท่านทั้งสองอยู่ร่วมกัน ตราบกระทั่งบิดามารดาของท่านทั้งสองได้ละอัตภาพจากโลกนี้ไป ดอกไม้ที่ใช้วางกั้นระหว่างท่านทั้งสอง ก็ไม่เคยเหี่ยวแห้งหรือเหี่ยวเฉาเลยแม้แต่นิดเดียว
 
เมื่อบิดามารดาของปิปผลิมาณพ และนางภัททกาปิลานีได้ละจากโลกนี้ไปท่านทั้งสองก็ได้ตัดสินใจออกบวชพร้อมกัน 
 
เมื่อบิดามารดาของปิปผลิมาณพ และนางภัททกาปิลานีได้ละจากโลกนี้ไป
ท่านทั้งสองก็ได้ตัดสินใจออกบวชพร้อมกัน
 
      เมื่อบิดามารดาของปิปผลิมาณพ และนางภัททกาปิลานีได้ละจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านทั้งสองก็ได้ตัดสินใจออกบวชพร้อมกัน ซึ่งการออกบวชของท่านทั้งสองในครั้งนี้จะเป็นการบวชแบบนักพรต หรือนักบวชทั่วๆ ไปในสมัยพุทธกาล ที่มุ่งแสวงหาทางหลุดพ้นของชีวิต และเมื่อท่านทั้งสองตัดสินใจออกบวชแล้ว  พวกท่านก็ได้ยกทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ ให้แก่หมู่ญาติและเหล่าบริวารทั้งหมด แล้วท่านทั้งสองก็ได้ไปหาบาตรดินเหนียวและผ้าย้อมฝาดจากตลาดมาห่มครอง จากนั้นท่านทั้งสองก็ได้ปลงผมให้แก่กันและกัน พร้อมกับตั้งปณิธานซึ่งกันและกันในทำนองที่ว่า “ การออกบวชครั้งนี้จะเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ และเพื่อการทำพระนิพพานให้แจ้งอย่างพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้วเท่านั้น ” เมื่อปลงผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านทั้งสองก็ได้คล้องบาตรลงจากปราสาท ท่ามกลางกองน้ำตาของเหล่าบริวารทั้งหลาย ที่เอ่อล้นออกมาด้วยความอาลัยรักในท่านผู้เป็นนายเป็นอย่างมาก
 
ก่อนที่ท่านทั้งสองจะแยกจากกันนางภัททกาปิลานีได้กระทำการเดินเวียนประทักษิณรอบปิปผลิมาณพ เป็นจำนวน  3 รอบแล้วกราบแทบเท้าของปิปผลิมาณพแบบเบญจางคประดิษฐ์ในทิศทั้ง 4
 
ก่อนที่ท่านทั้งสองจะแยกจากกันนางภัททกาปิลานีได้กระทำการเดินเวียนประทักษิณรอบปิปผลิมาณพ
 เป็นจำนวน  3 รอบแล้วกราบแทบเท้าของปิปผลิมาณพแบบเบญจางคประดิษฐ์ในทิศทั้ง 4

     และเมื่อปิปผลิมาณพ และนางภัททกาปิลานีได้เดินมาถึงทาง  2  แพร่ง ท่านทั้งสองก็ได้ตัดสินใจแยกทางกันเดิน ซึ่งก่อนที่ท่านทั้งสองจะแยกจากกัน นางภัททกาปิลานีก็ได้กระทำการเดินเวียนประทักษิณรอบปิปผลิมาณพ เป็นจำนวน  3 รอบ จากนั้น นางก็ทำการกราบแทบเท้าของปิปผลิมาณพแบบเบญจางคประดิษฐ์ในทิศทั้ง 4 รอบปิปผลิมาณพ คือกราบทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้ายและด้านขวาด้วยความนอบน้อม เพื่อเป็นการร่ำลาและแสดงความเคารพต่อปิปผลิมาณพนั่นเอง แล้วท่านทั้งสองก็ได้แยกจากกันไปคนละทาง

     ทันใดนั้นเอง สิ่งอัศจรรย์ที่เป็นเครื่องประกาศคุณงามความดีแห่งบุญบารมีที่ท่านทั้งสองได้สั่งสมร่วมกันมายาวนาน ก็พลันบังเกิดขึ้น นั่นก็คือแผ่นดินที่มั่นคงและไม่เคยหวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ ก็เกิดอาการสั่นไหวสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว
 
ตลอดระยะเวลาแสนกัปที่ผ่านมา ท่านทั้งสองได้เคยเกิดมาเป็นสามีภรรยากันมาทุกภพทุกชาติแต่มาวันนี้ ท่านทั้งสองจำต้องแยกจากกันในเพศภาวะของนักบวช 
 
ตลอดระยะเวลาแสนกัปที่ผ่านมา ท่านทั้งสองได้เคยเกิดมาเป็นสามีภรรยากันมาทุกภพทุกชาติ
แต่มาวันนี้ท่านทั้งสองจำต้องแยกจากกันในเพศภาวะของนักบวช
 
     เพราะตลอดระยะเวลาแสนกัปที่ผ่านมา ท่านทั้งสองได้เคยเกิดมาเป็นสามีภรรยากันมาทุกภพทุกชาติ   อีกทั้ง พวกท่านยังได้สร้างบารมีร่วมกันและไม่เคยพลัดพรากจากกันเลย แต่มาวันนี้ ท่านทั้งสองจำต้องแยกจากกันในเพศภาวะของนักบวช ด้วยเหตุนี้เอง ในเวลาที่ท่านทั้งสองจะแยกทางกันนั้น แผ่นดินที่เคยนิ่งสงบจึงได้สะเทือนเลื่อนลั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพื่อเป็นการประกาศคุณความดีของท่านทั้งสองนั่นเอง

 เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สดับฟังเสียงแผ่นดินไหวพระองค์ก็ทรงทราบในทันทีว่าในตอนนี้ปิปผลิมาณพ และนางภัททกาปิลานีได้สละสมบัติทั้งหมดออกบวชแล้ว
 
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สดับฟังเสียงแผ่นดินไหวพระองค์ก็ทรงทราบในทันทีว่า
ในตอนนี้ปิปผลิมาณพ และนางภัททกาปิลานีได้สละสมบัติทั้งหมดออกบวชแล้ว
 
      เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในขณะนั้นพระองค์ทรงประทับนั่งอยู่ที่พระคันธกุฎีในเชตวันมหาวิหาร ได้สดับฟังเสียงแผ่นดินไหวแล้ว พระองค์ก็ทรงทราบในทันทีว่าในตอนนี้ปิปผลิมาณพ และนางภัททกาปิลานีได้สละสมบัติทั้งหมดออกบวชแล้ว เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบเช่นนั้น  พระองค์จึงได้เสด็จออกจากพระคันธกุฎีเพียงลำพัง เพื่อไปโปรดปิปผลิมาณพในทันที
    
 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์
 
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์รอปิปผลิมาณพอยู่ที่โคนต้นพหุปุตตกนิโครธ
ซึ่งเป็นเส้นทางที่ปิปผลิมาณพกำลังจะเดินทางผ่าน
 
     เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปถึงต้นพหุปุตตกนิโครธ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ปิปผลิมาณพกำลังจะเดินทางผ่านมาแล้ว พระองค์ก็ทรงประทับนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์รอปิปผลิมาณพอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งนั้น พร้อมกับทรงเปล่งพระรัศมีกายอันสว่างไสว ที่งดงามดั่งแสงอาทิตย์ไปโดยรอบประมาณ 80 ศอก ซึ่งเป็นผลทำให้ป่าแห่งนั้นมีแสงสว่างเจิดจ้าเรืองรองระยิบระยับไปทั่วทั้งป่าเลยทีเดียว
 
 
ปิปผลิมาณพน้อมกายเข้าไปกราบถวายบังคมแทบพระบาท

ปิปผลิมาณพน้อมกายเข้าไปกราบถวายบังคมแทบพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 เพื่อกราบทูลขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา 
 
      ทันทีที่ปิปผลิมาณพเดินทางมาถึงและได้เห็นสิ่งอัศจรรย์เช่นนั้น ท่านก็ทราบในทันทีว่าบุคคลอัศจรรย์ที่ประทับนั่งอยู่เบื้องหน้าของท่านนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้เองปิปผลิมาณพจึงเกิดจิตเลื่อมใสศรัทธาขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ แล้วก็รีบน้อมกายเข้าไปกราบถวายบังคมแทบพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อกราบทูลขออุปสมบทในพระพุทธศาสนาในทันที เมื่อปิปผลิมาณพ ทูลขออุปสมบทกับพระพุทธองค์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงประทานการบวชให้แก่ปิปผลิมาณพ  เพียงแต่ว่าการบวชของปิปผลิมาณพนั้น จะมีความพิเศษที่แตกต่างจากการบวชในช่วงนั้น ซึ่งเป็นการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ที่พระพุทธองค์ทรงประทานการบวชให้แก่กุลบุตรที่ได้ฟังธรรมจนบรรลุธรรม แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาอยากที่จะออกบวชในพระพุทธศาสนา
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานการบวชด้วยวิธีพิเศษให้แก่พระมหากัสสปะแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นโดยการบวชนี้เรียกว่า “โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา”
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานการบวชด้วยวิธีพิเศษให้แก่พระมหากัสสปะแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
โดยการบวชนี้เรียกว่า “โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา”
 
      และที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือการบวชด้วยวิธีพิเศษนี้  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานให้แก่พระมหากัสสปะแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น  โดยการบวชด้วยวิธีพิเศษนี้จะเรียกว่า “โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา” ซึ่งเป็นการบวชที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบโอวาทให้รับไปปฏิบัติ โดยโอวาทดังกล่าวจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ประการดังต่อไปนี้

    1. เธอพึงศึกษาว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอายและความเกรงใจไว้ในภิกษุที่เป็นเถระ มัชฌิมะ และบวชใหม่ หมายความว่า ให้ละอายต่อกายทุจริต วจีทุจริต  และมโนทุจริตที่จะเกิดขึ้นกับภิกษุทั้งหลาย  หรือก็คือ ให้คิดดี  พูดดี  ทำดี และให้มีความเคารพรักต่อภิกษุทั้งหลายอยู่เสมอ   และเมื่อเราคิดดี พูดดี ทำดีแล้ว   เราก็จะเป็นต้นบุญต้นแบบให้กับภิกษุทั้งหลาย  ซึ่งก็จะทำให้ภิกษุทั้งหลายคิดดี พูดดี ทำดี ตามอย่างเราไปด้วย  
 
โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทเป็นการบวชที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบโอวาทให้รับไปปฏิบัติ3 ประการ 
 
โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทเป็นการบวชที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบโอวาทให้รับไปปฏิบัติ 3 ประการ
 
     2. เธอพึงศึกษาว่าเราจักฟังธรรมซึ่งประกอบด้วยกุศล และจักพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมนั้น หมายความว่าให้ตั้งใจฟังธรรมที่ทำให้ใจบริสุทธิ์  สูงส่ง และก้าวไปสู่ความหลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่ดี แล้วก็นำธรรมนั้นมาพิจารณาไตร่ตรองให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เพื่อสามารถที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้องร่องรอยตรงไปตามความเป็นจริง

     3. เธอพึงศึกษาว่า เราจักไม่ละทิ้งกายคตาสติ หรือสติที่เป็นไปในกาย หมายความว่า ให้หมั่นพิจารณาส่วนต่างๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น  เพื่อให้เห็นสภาพตามความเป็นจริงว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งไม่งาม เพื่อที่จะได้ไม่ไปยึดติดและผูกพันในสิ่งเหล่านั้น
        
การบวชแบบโอวาทปฏิคคหณูปสัมปทาจะไม่เหมือนกับการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา
 
การบวชแบบโอวาทปฏิคคหณูปสัมปทาจะไม่เหมือนกับการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา

     ซึ่งการบวชแบบโอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา นี้จะไม่เหมือนกับการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงประทานการบวชดังต่อไปนี้ คือ
    
      1. สำหรับอริยบุคคลที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์  หรือบุคคลที่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน  พระสกทาคามี และพระอนาคามี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” หมายความว่าเมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อกำจัดกิเลสให้หมดไป
    
สำหรับบุคคลที่ได้ฟังธรรมและได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสว่า “ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด ” 
 
สำหรับบุคคลที่ได้ฟังธรรมและได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสว่า
“ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด ”
 

      2. สำหรับบุคคลที่ได้ฟังธรรมและได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสว่า
 
“ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด ” หมายความว่าเมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ในพระธรรมวินัย เพื่อจะได้เป็นต้นบุญต้นแบบให้กับภิกษุทั้งหลายที่ยังไม่ได้บรรลุธรรม เพราะเมื่อภิกษุเหล่านั้นได้เห็นข้อวัตรปฏิบัติอันดีงามของพระอรหันต์แล้วพวกเขาก็จะได้เกิดความรู้สึกกระตุ้นเตือนใจขึ้นมาว่า

    “ แม้ขนาดพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้ว ท่านก็ยังตั้งใจทำทาน  รักษาศีล  เจริญสมาธิภาวนา และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น ตัวเราซึ่งเป็นผู้ที่ยังไม่หมดกิเลสก็ควรที่จะยึดถือและดูท่านเป็นแบบอย่าง เพื่อที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ตามอย่างท่านไปด้วย ”

    สำหรับเรื่องราวของพระมหากัสสปะก็ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้  เพราะเรื่องราวของท่านยังมีสิ่งที่น่าสนใจและน่านำไปปฏิบัติอีกมากมาย  โปรดติดตามตอนต่อไป
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
DMC ที่โซโลมอนDMC ที่โซโลมอน

Solomon Islands หมู่เกาะมนุษย์กินคนSolomon Islands หมู่เกาะมนุษย์กินคน

เกาะที่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด ที่มนุษย์อยู่ได้เกาะที่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด ที่มนุษย์อยู่ได้



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ช่วงเด่นฝันในฝัน