บัณฑิตกับพหูสูตแตกต่างกันอย่างไร


[ 21 ส.ค. 2555 ] - [ 18284 ] LINE it!

ข้อคิดรอบตัว
 
 
 
พหูสูต
 
        พหูสูต หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ความสามารถและนำความรู้ความสามารถไปใช้ในทางที่ดีอย่างถูกต้อง และเกิดประโยชน์กับสังคมด้วย
 

พหูสูตมีความหมายว่าอย่างไร?

 
        พหูสูต แปลว่า ผู้ได้สดับตรับฟัง คือ ผู้มีความรู้มาก ผู้คงแก่เรียน พหูสูต มาจากคำว่า พหุ แปลว่า มาก สูต มาจาก สุตะ คือ ฟัง เพราะสมัยก่อนความรู้จะได้มาจากการฟังเพราะคนไม่นิยมการอ่าน แต่ในปัจจุบันคำว่า พหูสูต คือ คนที่ฟังมากอ่านมาก เป็นคนที่มีความรู้มาก
 

บัณฑิตกับพหูสูตแตกต่างกันอย่างไร?

 
        ในทางพระพุทธศาสนานั้น บัณฑิต แปลว่า ผู้ที่คิดดี พูดดี ทำดี เป็นปกติ พูดง่ายๆ คือเป็นคนดี ถ้าในทางโลกนั้น บัณฑิต เขาหมายถึงผู้ที่จบปริญญา เราเลยมีคติที่ว่า บัณฑิตไม่ใช่ผู้มีเพียงปริญญา แต่เป็นผู้ที่อุดมด้วยศีล สมาธิ และปัญญา นั้นเป็นความหมายของคำว่า บัณฑิต ที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ความรู้อาจจะไม่มากก็ได้แต่ต้องเป็นคนดี คือ คิดดี พูดดี ทำดี เป็นปกติเลย  นั่นคือ บัณฑิต
 
        พอเราเข้าใจอย่างนี้แล้วเราจะพบว่า ถ้าใครเป็นบัณฑิตแล้วรับประกันว่าไม่ไปนรก ปิดอบายเปิดสวรรค์ เพราะ คิดดี พูดดี ทำดี เป็นปกติ ความรู้อาจจะไม่มากอะไรแต่ว่าทำแต่ความดี ย่อมไปสู่สุคติแน่นอน แต่คนที่เป็นพหูสูตนั้นไม่แน่ รู้มาก ฟังมาก อ่านมามาก ความรู้มีมาก แต่ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดก็ยังเป็นอันตรายอยู่ ยังไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าจะปิดอบายได้ ยังมีสิทธิไปนรกได้อยู่
 
บัณฑิตไม่ใช่ผู้มีเพียงปริญญา แต่เป็นผู้ที่อุดมด้วยศีล สมาธิ และปัญญา คิดดี พูดดี ทำดี เป็นปกติ
บัณฑิตไม่ใช่ผู้มีเพียงปริญญา แต่เป็นผู้ที่อุดมด้วยศีล สมาธิ และปัญญา คิดดี พูดดี ทำดี เป็นปกติ
 
        อย่างคำว่า นักปราชญ์ ก็คล้ายๆ พหูสูต คือ เป็นคนที่มีความรู้มากนั่นเอง มีทั้ง 2 อย่าง คือ ในเชิงปริมาณกับในเชิงคุณภาพ หรือจะเปรียบว่า บางคนนั้นรู้มากไปหมด คือ พูดอะไรก็รู้เรื่องไปหมด รู้กว้างแต่ไม่ลึก แต่บางคนก็เป็นลักษณะเจาะลึก รู้เรื่องอะไรก็รู้จริงรู้ละเอียดเลย เป็นลักษณะผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้นไปเลยก็มี เป็นอัธยาศัยของแต่ละคนต่างกันไป บางคนก็รู้ลึกแต่ไม่กว้าง บางคนทั้งรู้กว้างและรู้ลึกด้วยอย่างนี้ดีกับในยุคปัจจุบัน จะทำให้เกิดแง่มุมมองที่กว้างขวางออกไป ทำให้สามารถรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสังคมในปัจจุบันได้ดี เพราะเทคโนโลยีวิทยาการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และการแข่งขันมันสามารถข้ามสายได้ในยุคปัจจุบัน ดังนั้นคนที่รู้กว้างจะมองออกว่าสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญนั้นสามารถเชื่อมโยงกับความรู้แขนงอื่นได้ดี เราจึงควรต้องรู้ลึกในสิ่งที่เราทำให้แจ่มกระจ่างไปเลยขณะเดียวกันก็ต้องรู้กว้างด้วย จะได้มองออกว่าจะเอาความเชี่ยวชาญความรู้ที่เรามีอยู่ไปเชื่อมโยงให้เกิดประโยชน์ในการใช้งานได้อย่างไร
 
ทำอย่างไรให้เด็กเติบโตขึ้นอย่างมีคุณค่าทั้งเก่งและดีฉลาดมีคุณธรรม?
 
        เราจะเห็นว่า คนเราบางทีก็เริ่มจากการทำอะไรที่มันดูเพลิดเพลินก่อน แล้วค่อยมีพัฒนาการเป็นขั้นเป็นตอน เหมือนคนที่มีอัธยาศัยรักการอ่าน เท่าที่เห็นจะพบว่า แรกเริ่มเด็กๆ ก็อ่านนิยาย การ์ตูน ก่อนเพราะอ่านแล้วมันรู้สึกสนุก พออ่านจนติดแล้วจากนิยายทั่วๆ ไปก็จะเริ่มเป็นเรื่องในเชิงประวัติศาสตร์บ้าง มีอะไรที่มันลึกซึ้งมากขึ้น ต่อมาพอคุ้นเคยแล้วก็มีอัธยาศัยรักการอ่าน ก็จะอ่านหนังสือที่เป็นความรู้อะไรต่างๆ ที่พัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
 
        คอมพิวเตอร์ก็เหมือนกัน สำหรับเด็กก็จะเริ่มจากการเล่นเกมส์ก่อนเพราะมันสนุก พ่อแม่ก็อาจจะคอยดูแลให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ต้องฝึกให้ลูกมีวินัยด้วย ขณะเดียวกันก็ฝึกให้เขาทำในสิ่งที่ท้าทายความสามารถด้วย มีงานอะไรบางอย่างก็ฝากให้ลูกทำอย่าไปคิดว่าลูกยังเล็กอยู่ เขาจะได้นำความรู้ที่มีอยู่มาใช้อย่างสร้างสรรค์ในทางบวกได้ พ่อแม่ผู้ปกครองอาจไม่เก่งเท่าลูก ก็อย่างไปกังวลอะไรมากนัก แค่ขอให้มองภาพรวมให้ออก ในเชิงเฉพาะเรื่องแล้วเด็กอาจจะเก่งกว่า ผู้ใหญ่ก็คอยดูแลเขาอย่าให้ถลำไปในทางที่เสียมากนักก็พอ
 
        มีเรื่องจริงอยู่เรื่องหนึ่ง คือ มีพี่น้องอยู่ 2 คน พี่สาวกับน้องชายอายุห่างกัน 3 ปี เกิดในเมืองหนาว พ่อแม่เป็นชาวชนบททำไร่ไถนา มีอยู่วันหนึ่งพี่สาวเห็นเพื่อนมีผ้าเช็ดหน้าสวยๆ ก็อยากได้บ้าง ก็เลยแอบไปขโมยเงินพ่อเพื่อนำไปซื้อผ้าเช็ดหน้า พอพ่อเช็คดูรู้ว่าเงินหายก็เรียก 2 พี่น้องนั้นมาคุยและถามว่าใครเอาไป ถ้าไม่มีใครพูดความจริงก็จะโดนตีด้วยกันทั้งคู่ ถ้ารับสารภาพคนที่ทำผิดก็จะโดนคนเดียว พอพ่อพูดขาดคำไปน้องชายเป็นคนรับสารภาพว่าเป็นคนเอาไปเองพ่อก็หวดไม้ลงไปเลยเรียกว่าเจ็บเอาเรื่องเลยทีเดียว ตัวพี่สาวก็นั่งก้มหน้านิ่งละอายใจเพราะจริงๆ ตัวเองเป็นคนทำ คืนนั้นพี่สาวก็นอนร้องไห้อยู่บนเตียงซึ่งเป็นเตียงเดียวกันกับน้องชาย น้องกลับเอื้อมมือมาแตะพี่สาว(น้องไม่ร้องไห้เลย) แล้วบอกว่า พี่ลืมมันเสียเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว บอกไปอย่างนี้ แต่ตัวพี่สาวนั้นเรื่องนี้ผ่านไปกี่ปีๆ ก็ลืมไม่ได้เพราะละอายแก่ใจตัวเองอยู่ตลอด
 
        ตอนที่เกิดเรื่องนี้ น้องชายอายุได้ 8 ขวบ พี่สาวอายุ 11 ขวบ ต่อมาน้องชายเรียนจบมัธยมต้น ก็สอบเข้า ม.ปลายได้ ตัวพี่สาวก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เพราะเรียนดีด้วยกันทั้งคู่ ขณะเดียวกันทั้ง 2 คนก็แอบไปได้ยินพ่อแม่กำลังนั่งปรับทุกข์กัน ไม่มีเงินจะส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสืออีก ตัวน้องชายเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ไปบอกพ่อเลยว่า ไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว พ่อก็โกรธมากที่ลูกมีความคิดอย่างนี้ พอรุ่งเช้าตัวน้องชายก็ไม่อยู่แล้วพร้อมกับเสื้อผ้าแค่ 2-3 ชุด และมีถั่วเป็นอาหารติดตัวไปนิดหน่อย เขียนข้อความฝากไว้ที่ใต้หมอนพี่สาวไว้ว่า ขอให้พี่ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด ผมจะไปทำงานและจะส่งเงินมาช่วยให้พี่ได้เรียนหนังสือ ตอนเกิดเรื่องนี้ พี่สาวอายุได้ 20 ปี น้องชายอายุ 17 ปี พี่สาวก็เลยเรียนได้ด้วยเงินที่พ่อไปขอยืมมาจากเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน และน้องชายก็ทยอยส่งมาตลอดทำตามที่พูดเลย ไปรับจ้างเป็นคนงานก่อสร้างแล้วทยอยส่งเงินมาให้พี่สาว ตัวพี่สาวเองก็ตั้งใจเรียนมาตลอดเป็นอย่างดี วันหนึ่งก็จะพาเพื่อนชายที่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันไปเยี่ยมบ้าน พอไปถึงบ้านก็งงเพราะว่าบ้านตัวเองดูสวยขึ้น เพื่อนชายมาเห็นก็ประทับใจ พอเพื่อนชายกลับไปเหลือแต่ตัวพี่สาวที่ยังคงอยู่ต่อที่บ้านพ่อแม่ ก็ถามพ่อแม่ว่าทำไมต้องลงทุนตกแต่งซ่อมบ้านใหม่เพื่อเพื่อนชายของตัวเองถึงขนาดนี้ พ่อแม่ก็บอกว่าไม่ได้เสียเงินอะไรเลย น้องชายต่างหากที่พอรู้ข่าวว่าพี่สาวจะกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับเพื่อนชาย ก็เลยรีบกลับมาซ่อมแซมปรับปรุงบ้านดูแลให้ใหม่หมดเลย ตอนนี้กำลังอยู่ข้างในอยู่เลย เผอิญว่าช่วงที่กำลังซ่อมหน้าต่างอยู่นั้นโดนกระจกบาดมือ พี่สาวก็เลยรีบเข้าไปหาและถามน้องว่าเจ็บไหม น้องชายก็บอกว่าไม่เจ็บเลยพี่ เพราะผมไปทำก่อสร้างมาโดนหนักกว่านี้อีก พี่ก็กอดน้องใหญ่เลย
 
        ต่อมาพี่สาวก็แต่งงานกับเพื่อนชาย และดูแลกิจการของครอบครัว พี่เขยก็เลื่อนขั้นมาเป็นประธานบริษัทในเวลาต่อมา พี่สาวก็เลยให้น้องชายมาทำงานอยู่ด้วย พี่สาวจะให้น้องชายไปเป็นผู้จัดการแต่น้องชายไม่ยอมรับ ขอไปเป็นพนักงานธรรมดา พี่สาวขัดไม่ได้ก็ยอมให้ไปทำอย่างนั้น
 
        วันหนึ่งก็ปีนขึ้นไปต่อสายเคเบิ้ลไฟฟ้าตกบันไดลงมาบาดเจ็บขาหัก พี่สาวพี่เขยก็รีบไปเยี่ยม พอพี่สาวเห็นก็ดุตวาดใส่เลยว่า บอกแล้วทำไมไม่ฟังกันบ้าง ถ้ายอมเป็นผู้จัดการตั้งแต่แรกตามที่พี่บอกก็ไม่ต้องมาลำบากเจ็บตัวอย่างนี้ น้องชายก็บอกว่า พี่ลองคิดดูซิ พี่เขยก็เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นประธานบริษัท แล้วผมความรู้ก็น้อย ถ้าก้าวข้ามมาเป็นผู้จัดการเลยคนอื่นจะคิดอย่างไร ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของพี่เขยและพี่สาวเสียหาย จึงขอยอมเป็นพนักงานธรรมดาดีกว่า
 
        ต่อมาไม่นานพอน้องชายอายุได้ 30 ปีก็แต่งงานกับเพื่อนสาวในที่ทำงานเดียวกัน ในวันแต่งงานโฆษกก็ขึ้นมาและสัมภาษณ์เจ้าบ่าวโดยถามว่า ผู้หญิงที่รักที่สุดในชีวิตนั้นคือใคร เจ้าบ่าวก็ตอบทันทีโดยไม่ลังเลเลยว่า พี่สาวของผมครับ ไม่ได้บอกว่าเป็นเจ้าสาวเลย และความประทับใจที่เขามีต่อพี่สาวก็คือ วันหนึ่งเมื่อยังเล็กๆ อยู่ตอนไปโรงเรียนในหน้าหนาวอากาศหนาวจัดหิมะตก ต้องใส่ถุงมือไปเรียนน้องชายถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวเลยถอดถุงมือตัวเองมาใส่ให้น้องแทน ตัวเองก็ใส่ถุงมือแค่ข้างเดียว กลับมาถึงบ้านมือบวมแดงจับช้อนทานข้าวไม่ได้เลย น้องชายเลยบอกว่าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมจึงสัญญากับตัวเองว่าผมจะต้องดูแลพี่สาวของผมคนนี้ให้ดีที่สุดไปจนตลอดชีวิต ตั้งแต่เล็กจนโตทุกอย่างที่เขาเสียสละทำมาก็เพื่อพี่คนนี้ พี่สาวเองก็กอดน้องแล้วร้องไห้บนเวทีงานแต่งงานเลย และคว้าไมค์มาพูดด้วยเสียงสั่นครือว่า คนที่ตัวเขาเองขอบคุณที่สุดในชีวิตก็คือน้องชายคนนี้ เป็นเรื่องที่ดูน่ารักและซาบซึ้งทีเดียว แต่พี่สาวคนนี้ปัจจุบันก็คือ ประธานใหญ่ของบริษัท ฮุนได ในเกาหลี และมีบริษัทในเครืออีก 20-40 กว่าบริษัท เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ส่วนน้องชายคนนี้ต่อมาก็มาตั้งบริษัทเล็กๆ ขึ้นมาซึ่งปัจจุบันก็คือบริษัท ซัมซุง ที่พวกเรารู้จักกันดี ถือเป็นบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีที่มาอย่างนี้ เป็นเครือญาติกันมา นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
 
        ตรงนี้เป็นตัวชี้ให้เราเห็นว่า เขาสร้างบริษัท ซัมซุง เป็นบริษัทใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร ความรู้แค่ ม.ต้น เท่านั้นเอง แต่ชี้ให้เห็นว่าคนเรานั้น ถ้ามีพื้นฐานใจที่ดีแล้วรู้จักคิด โอกาสจะประสบความสำเร็จนั้นมีสูงเพราะใจเราบริสุทธิ์ คือคนเราจะไปได้ยินได้ฟังได้รู้อะไรมามันก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่สำคัญที่ว่าใจเราจับประเด็นเป็นหรือไม่ หยิบยกเอาความรู้นั้นมาใช้เป็นหรือเปล่า ถ้ารู้อะไรเยอะแยะไปหมดรู้ไว้เพื่อคุยกันสนุกเฉยๆ มันก็แค่นั้นเอง แค่ว่าใครคุยอะไรกันฉันก็รู้เรื่อง แต่ถ้าสามารถหยิบเอาความรู้ที่ได้รับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงอย่างนี้จะดีมาก
 
        เด็กน้อยผู้ตั้งบริษัท ซัมซุง นั้นเขาแสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ยังเล็กๆ อายุแค่ 5-6 ขวบ นั้นเขาก็คิดเป็นแล้ว และยังมีพื้นฐานจิตใจที่ดีด้วย คือ คิดตอบแทนพี่ให้ดีที่สุด ทุกอย่างคิดในแง่บวกตลอด คิดเพื่อคนอื่นทั้งหมดไม่ได้คิดเพื่อตนเองและก็เสียสละตนเองโดยไม่บ่นเลย คือใจเขาบริสุทธิ์และคิดไปแต่ในทางที่ดีซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากๆ เลย เพราะพอใจที่บริสุทธิ์มันเหมือนอะไรที่ใสๆ เวลามองภาพจะเห็นอะไรได้ชัดกว่าคนอื่น ตรงนี้เป็นส่วนที่สำคัญมากๆ และเป็นพื้นฐานที่ชี้ให้เห็นว่าทำไมเขาถึงสามารถสร้างบริษัทอย่าง ซัมซุง ได้
 
คนเราถ้าใจบริสุทธิ์ มีพื้นฐานของความเป็นบัณฑิตอยู่แล้ว จะสามารถรองรับความเป็นพหูสูตได้ดี
คนเราถ้าใจบริสุทธิ์ มีพื้นฐานของความเป็นบัณฑิตอยู่แล้ว จะสามารถรองรับความเป็นพหูสูตได้ดี
 
        คนเราถ้าใจบริสุทธิ์ มีพื้นฐานของความเป็นบัณฑิตอยู่ก่อน คือ คิดดี พูดดี ทำดี เป็นปกติ จะทำให้สามารถรองรับความเป็นพหูสูตได้อย่างดี ความรู้ใดมาถึงตัวแล้วจะมองเห็นได้กระจ่างกว่าคนอื่น คนเราฟังจากอาจารย์คนเดียวกันในห้องเดียวกันนั้นก็รู้ได้ไม่เท่ากันนะ คิดต่อได้ก็ไม่เท่ากัน อ่านหนังสือเล่มเดียวกันความรู้ที่ได้ก็ไม่เท่ากัน ใจใครที่ใสกระจ่างกว่า ก็จะสามารถซึมซับเอาประโยชน์จากความรู้นั้นได้มากกว่า
 
จะฝึกตัวเองอย่างไรให้เป็นผู้ที่มีความคิดดี พูดดี ทำดี มีใจใสๆ เป็นปกติได้?
 
        ตัวอย่างที่เล่าให้ฟังมาข้างต้นนั้นเป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว แต่ฟังแล้วอย่าแค่ว่าซาบซึ้งอย่างเดียว ขอให้หยิบเอาข้อคิดในนั้นมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตของเราเองให้ได้ว่า มีจุดไหนที่เราควรปรับปรุงบ้าง เพื่อให้ชีวิตมีความสมบูรณ์เพิ่มขึ้นต่อไป
 
        ขอฝากให้ทุกท่านได้คิดด้วยว่า สิ่งที่จะเป็นอุปสรรคมาขัดขวางต่อการเป็นพหูสูตของเรานั้นมีอยู่ไม่กี่ข้อที่เราต้องระวังหลักเลี่ยง คือ
 
        1. อย่าเป็นคนจับจด ถ้าเป็นคนจับจดแล้วก็ยากที่จะเป็นพหูสูตได้จริง คือเป็นคนเยาะแยะไม่เอาจริง ทำไปได้นิดหน่อยก็ไม่เอาแล้ว ท้อถอย เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างนี้ก็ยากที่จะเอาดีได้
 
        2. อย่าเป็นคนโอ้อวด ถ้าเป็นคนขี้โอ่แล้ว เวลามีอะไรเกิดขึ้นมา ความคิดมันจะออกมาในเชิงที่จะไปพูดอวดคนอื่นเขาอย่างไร พอเป็นอย่างนี้แล้ว ประเด็นที่จะไปเอาความรู้เอาสิ่งที่พบเจอไปใช้ประโยชน์มันจะจางลง
 
        3. อย่าเป็นคนขี้เมาติดเหล้าติดยา เพราะจะทำให้ความคิด สติปัญญาบั่นทอนลงไป
 
        ก็ขอฝากไว้แค่นี้ และขอให้ประสบความสำเร็จเป็นทั้งบัณฑิตและพหูสูต ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตกันทุกๆ คนเลยนะ


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ศิลปะกับศาสนามีความสัมพันธ์กันอย่างไรศิลปะกับศาสนามีความสัมพันธ์กันอย่างไร

ข้อสงสัยเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายข้อสงสัยเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย

ทำอย่างไรจะได้ไม่เกิดมาเป็นคนพิการทำอย่างไรจะได้ไม่เกิดมาเป็นคนพิการ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ข้อคิดรอบตัว