จากตอนที่แล้ว พระเจ้าปิลยักขราชทรงรับสารภาพกับสุวรรณสามว่า เนื้อเหล่านั้นเห็นท่านแล้วก็มิได้ตกใจอะไรเลย เรากล่าวคำเท็จกับท่าน แล้วก็ทรงมีดำริว่า สามะผู้นี้คงมิได้อยู่ในป่านี้เพียงลำพัง เขาคงต้องมีญาติ จึงตรัสถามว่า สามะ ท่านพักอยู่ที่ไหน ใครใช้ให้ท่านมาตักน้ำ
พระโพธิสัตว์ได้กลั้นทุกขเวทนาเอาไว้ แล้วกล่าวว่า "บิดามารดาของข้าพระองค์ตาบอด
ข้าพระองค์มาตักน้ำดื่มในที่นี้เพื่อท่านทั้งสอง เวลานี้ อาหารยังคงพอที่จะให้ท่านดำรงชีวิตอยู่ได้อีก 6 วัน แต่เกรงว่าท่านจะตายเสียก่อนเพราะไม่ได้ดื่มน้ำ ข้าพระองค์คงจะไม่ได้เห็นท่านทั้งสองอีกแล้ว"
พระเจ้าปิลยักขราช ได้สดับสุวรรณสามคร่ำครวญถึงบิดามารดาเช่นนั้น ก็ดำริว่า “บุรุษนี้เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม ปฏิบัติบิดามารดาอย่างยอดเยี่ยม แม้จะได้รับทุกขเวทนาถึงเพียงนี้ ก็ยังคร่ำครวญห่วงหาแต่บิดามารดา เราได้ทำความผิดต่อบุรุษผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรม คงจะต้องตกนรกแน่”
ทรงเกิดความสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง จึงดำริว่า "หากเราต้องตกไปสู่นรก ราชสมบัติจะช่วยอะไรเราได้ เราจะเลี้ยงดูบิดามารดาแทนเขาเอง" ดำริฉะนี้แล้วจึงตรัสว่า สามะ ท่านอย่ารำพันอะไรอีกเลย เราจะเลี้ยงดูบิดามารดาของท่านเอง จงบอกเรามาเถิดว่า บิดามารดาของท่านอยู่ที่ไหน
พระโพธิสัตว์สดับคำของพระราชาแล้ว ก็ดีใจยิ่งได้ทูลว่า “ท่านทั้งสองอยู่ทางทิศหัวนอนของข้าพระองค์ ขอฝากพระองค์จงทรงโปรดเลี้ยงดูบิดามารดาแทนข้าพระองค์ด้วย และขอพระองค์โปรดตรัสบอกท่านทั้งสองด้วยว่า สามะขอกราบลาบิดามารดาเป็นครั้งสุดท้าย”
สิ้นเสียงสั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย สุวรรณสามก็ถึงวิสัญญีภาพนอนแน่นิ่งไป ลมหายใจที่หอบแรงอยู่เมื่อครู่ บัดนี้ได้หยุดลงแล้ว ริมฝีปากบอบบางได้รูป ก็ปิดสนิทแล้ว แม้กระทั่งดวงเนตรที่งดงามเคยทอดมองผืนป่าด้วยเมตตาไม่มีที่สิ้นสุด มาบัดนี้ได้หลับสนิทแล้ว
มือเท้าทั้งสองข้างที่เคยทำแต่ความดี ปฏิบัติบำรุงบิดามารดาด้วยดีตลอดมา เริ่มเย็นและแข็งกระด้าง หยาดโลหิตยังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย
พระเจ้าปิลยักขราช ทรงเห็นสุวรรณสามนอนแน่นิ่งไปเช่นนั้นก็ทรงตกพระทัย รีบตรวจดูลมที่ปลายจมูกของพระโพธิสัตว์ ก็ทรงรู้ว่าบัดนี้ลมหายใจเข้าออกได้หยุดลงแล้ว อีกทั้งสรีระทั้งสิ้นก็เริ่มแข็งประหนึ่งท่อนไม้
จึงดำริว่า บัดนี้สุวรรณสามได้ตายเสียแล้วหนอ พระราชาทรงเศร้าโศกยิ่งนัก ได้ทรุดกายลงซบพระเศียรที่ฝ่าพระหัตถ์ แล้วทรงคร่ำครวญอย่างสุดที่จะกลั้นความโศกไว้ได้
ทรงพร่ำรำพรรณกับตนเองว่า “แต่ก่อนแต่ไรมา เราคิดว่าจะไม่แก่ไม่ตาย แต่เราเพิ่งรู้ในวันนี้เอง เพราะได้เห็นท่านสามะบัณฑิตมาตายจากไป มฤตยูทั้งหลายที่จะไม่ปรากฏนั้นเป็นไม่มี
...สามะบัณฑิตถูกลูกศรอาบยาพิษแล้ว ได้พูดอยู่กับเราเมื่อครู่ แต่มาบัดนี้กลับไม่พูดอะไรอีก เราคงต้องตกนรกอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นกรรมอันหยาบช้าของเราแท้ๆ”
ย้อนไปในครั้งอดีตชาติ ในภพชาติที่ 7 นับแต่อัตภาพนี้ นางเคยเกิดเป็นมารดาของพระโพธิสัตว์มาก่อน
ครั้นเมื่อวงจรแห่งวัฏฏะได้หมุนเวียนมาบรรจบ ทำให้นางเทพธิดามาพบกับพระโพธิสัตว์ซึ่งเคยเกิดเป็นบุตรของนางอีกครั้ง นางจึงบังเกิดความรักในพระโพธิสัตว์ประดุจบุตรน้อยที่เกิดจากครรภ์ของตน
ในดวงใจของนางนั้น แม้กาลจะล่วงเลยมาเนิ่นนานเพียงใด ความรักในบุตรก็ยังคงเดิมมิแปรเปลี่ยน นางเฝ้าคอยสอดส่องดูแลพระโพธิสัตว์อยู่เนืองนิตย์
แต่ในครั้งนี้ เป็นคราวที่นางต้องไปสู่เทวสมาคม นางจึงมิได้เล็งแลมายังพระโพธิสัตว์เหมือนดังเก่า แต่ครั้นกลับจากเทวสมาคมแล้ว นางก็ตรวจตราดูทันทีว่า เวลานี้สามะบุตรของเราเป็นอย่างไรบ้างหนอ
ครั้งนางได้มองดูด้วยทิพจักษุ จึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพระโพธิสัตว์ นางจึงคิดว่า ในยามนี้พระราชาทรงเศร้าโศกคร่ำครวญถึงลูกสามะ หากเราไม่ไปในที่นั้นเพื่อเตือนพระสติพระราชา พ่อสามะบุตรของเราก็จะถึงความพินาศเป็นแน่
แม้แต่บิดามารดาของสามะเองก็จะอดอาหารจนสิ้นชีวิต กระทั่งพระราชาผู้ทรงทำร้ายลูกสามะ ก็จะทรงเสียพระหฤทัย จนพระหทัยแตกสลายในที่สุด
แต่ถ้าหากเราไปในที่นั้นแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย ดำริดังนี้แล้ว นางเทพธิดาพสุนธรี จึงออกจากวิมานของตนมาสถิตอยู่เบื้องบนนภากาศเหนือพระราชา โดยมิได้ปรากฏกายให้พระราชาเห็นแต่อย่างใด
แล้วได้กล่าวตำหนิพระราชาให้ทรงสำนึกผิดว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า เหตุใดพระองค์จึงทรงโศกเศร้ามากมายเช่นนี้ พระองค์จะทรงคร่ำครวญหาสิ่งที่ล่วงแล้วไปทำไมกัน ก็ในเมื่อทรงประทุษร้ายสุวรรณสามด้วยพระองค์เองมิใช่หรือ
...ข้าแต่พระราชา ...พระองค์ทรงทำความผิดไว้มาก ได้กระทำกรรมอันชั่วช้า ประทุษร้ายสุวรรณสามผู้บริสุทธิ์ ทำให้บิดามารดาผู้ตาบอดของเธอพลอยลำบาก และกำลังจะอดตายตามกันไป
...ชนทั้งสามนี้ล้วนเป็นผู้ไม่สมควรต่อการประทุษร้ายเลยแต่กลับถูกพระองค์ฆ่าเสียด้วยลูกศรลูกเดียวเท่านั้น พระองค์ทรงทำบาปมหันต์ จะตกไปสู่อบายอย่างแน่แท้”
ฝ่ายพระราชา แม้จะสดับเสียงแปลกประหลาดที่มองไม่เห็นตัวผู้กล่าว ก็มิได้ทรงตกพระทัยหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะความโศกตรมกำลังครอบคลุมใจ หากแต่พระองค์กลับทรงคล้อยตามคำกล่าวนั้น จึงยิ่งบังเกิดความสำนึกผิดในการกระทำอันเลวร้ายของพระองค์เอง
ครั้นตอกย้ำถึงความผิดพลาดมหันต์ของพระราชาแล้ว นางเทพธิดาจึงกล่าวปลอบโยน พร้อมทั้งแนะนำพระราชาว่า “ข้าแต่มหาราช หากพระองค์ทรงปรารถนาสวรรค์ ไม่ต้องการนรก ก็ขอเชิญสดับเถิด
...ข้าพเจ้าจะพร่ำสอนพระองค์เพื่อให้พระองค์ทรงดำเนินไปสู่สุคติ ...ขอให้พระองค์จงเลี้ยงดูบิดามารดาทั้งสองผู้ตาบอดของสุวรรณสามเถิด แล้วสุคติจะพึงมีแก่พระองค์”
พระราชาสดับคำของเทพธิดาแล้ว ก็ทรงคลายความโศกลงทรงเชื่อมั่นว่าเมื่อพระองค์เลี้ยงดูบิดามารดาของสุวรรณสามแล้ว ย่อมล้างบาปที่ทรงกระทำไว้ ปิดอบายแล้วไปสู่สวรรค์ได้ จึงทรงตั้งพระหฤทัยมั่นที่จะทำตามคำของเทพธิดาโดยมิได้ทรงห่วงใยในพระราชสมบัติ
เมื่อทรงระงับความโศกให้เบาบางลงแล้ว จึงทรงนำเอามวลบุพชาตินานาพรรณ
มาบูชาสรีระของพระโพธิสัตว์ ประพรมด้วยน้ำ ทรงกระทำประทักษิณสามรอบ แล้วจึงทรงกราบร่างที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมของพระโพธิสัตว์ ในทิศทั้ง 4
แล้วถือเอาหม้อน้ำที่พระโพธิสัตว์ตักไว้จนเต็มเปี่ยม บ่ายพระพักตร์เสด็จไปทางทิศทักษิณ อันเป็นหนทางไปสู่อาศรมบทด้วยพระพักตร์ที่เศร้าหมอง ปล่อยให้ร่างของสุวรรณสามนอนอยู่แต่เพียงผู้เดียว ส่วนว่าพระราชาเมื่อไปถึงอาศรมของฤษีทั้งสอง จะทรงปฏิบัติต่อบิดามารดาของพระโพธิสัตว์อย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)