ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 15


[ 18 มี.ค. 2550 ] - [ 18267 ] LINE it!

  
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  สุวรรณสาม   ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี  ตอนที่ 15
 

        จากตอนที่แล้ว  สุวรรณสามโพธิสัตว์ได้กล่าวสั่งลาฝากไปถึงบิดามารดากับพระเจ้าปิลยักขราชแล้วก็ถึงวิสัญญีภาพนอนสงบนิ่ง ลมหายใจได้หยุดลง

        พระเจ้าปิลยักขราช ทรงเห็นสุวรรณสามนิ่งไปเช่นนั้นก็ทรงตกพระทัย รีบตรวจดูลมที่ปลายจมูก ก็ทรงรู้ว่าพระโพธิสัตว์ได้สิ้นลมแล้ว จึงเศร้าโศกยิ่งนัก ได้ทรุดกายลงซบพระเศียรที่ฝ่าพระหัตถ์ แล้วทรงคร่ำครวญว่า เราฆ่าบุคลผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมตาย คงต้องตกนรกอย่างแน่แท้

        ครั้งนั้น มีเทพธิดานามว่า พสุนธรี อาศัยอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์มายาวนาน   ในอดีตชาติได้เคยเกิดเป็นมารดาของพระโพธิสัตว์มาก่อน  ทุกวันนางจะคอยให้ความคุ้มครองพระโพธิสัตว์อยู่เสมอ  แต่ในครั้งนี้ นางต้องไปสู่เทวสมาคมจึงไม่ได้ตรวจดูพระโพธิสัตว์

        เมื่อกลับจากเทวสมาคมแล้วนางก็รีบตรวจดู จึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ได้รีบมาสถิตในอากาศกล่าวกับพระราชาว่า "พระองค์จะทรงคร่ำครวญไปทำไม หากพระองค์ปรารถนาจะไถ่บาป  ก็จงเลี้ยงดูบิดามารดาทั้งสองของสุวรรณสามเถิด แล้วสุคติจะพึงมีแก่พระองค์"

        พระราชาสดับคำของเทพธิดาแล้ว ก็ทรงยึดมั่นในคำของนาง  จึงทรงระงับความโศก แล้วทรงบูชาสรีระของพระโพธิสัตว์ด้วยดอกไม้ป่า ทรงกราบร่างของพระโพธิสัตว์แล้วถือเอาหม้อน้ำที่พระโพธิสัตว์ตักไว้ บ่ายพระพักตร์เสด็จไปสู่อาศรมของฤษีทั้งสอง

        พระราชาทรงถือหม้อน้ำเสด็จดำเนินเรื่อยไปตามเส้นทางที่สุวรรณสามได้ทูลบอกไว้ จนกระทั่งมาถึงอาศรม   โดยทรงตั้งพระทัยไว้ว่า จะสวมรอยเป็นสุวรรณสามแล้วเลี้ยงดูฤษีทั้งสองอยู่ในป่าแห่งนี้ไปจนตลอดพระชนม์ชีพ โดยจะทรงปกปิดเรื่องที่พระองค์ฆ่าสุวรรณสาม มิให้ฤษีทั้งสองได้ล่วงรู้ 

        แต่เพราะความที่พระองค์เป็นผู้มีพละกำลังมาก ไม่ได้ทรงฝึกฝนในการเดินไม่ให้มีเสียงดัง เมื่อทรงเดินถือหม้อน้ำเข้าไปสู่อาศรมบท จึงเกิดเสียงพระบาทดังผิดไปกว่าวันก่อนๆ

        ทำให้ทั่วทั้งอาศรมสะเทือนไหว  ฝ่ายทุกูลฤษีแม้จะตาบอดมองไม่เห็นสิ่งใด แต่เมื่อฟังเสียงฝีพระบาทของพระราชาแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่า คนผู้นี้มิใช่สุวรรณสามบุตรของเรา เกิดความสงสัยว่า เขาผู้นี้เป็นใครกันหนอ  เข้ามาสู่อาศรมเพราะเหตุอันใดกัน

        ทุกูลฤษีจึงเอ่ยถามขึ้นว่า   “นั่นเสียงฝีเท้าใครหนอ  ต้องเป็นเสียงฝีเท้ามนุษย์เป็นแน่ แต่คงไม่ใช่เสียงฝีเท้าสามะบุตรของเรา  ลูกสามะของเราเดินเบา วางเท้าเบา เสียงฝีเท้าของลูกเรา ไม่ดังอย่างนี้ ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใครหนอ  โปรดแจ้งแก่เราด้วยเถิด”

        พระราชาได้สดับคำถามนั้นแล้ว ก็ทรงรู้ว่า คงไม่อาจปกปิดความจริงแก่สองฤษีนี้ได้ ทรงรู้สึกหนักพระทัยยิ่งนักที่จำต้องบอกความจริงแก่สองฤษีผู้ตาบอด ที่เฝ้ารอการกลับมาของบุตรด้วยความหวัง จึงทรงดำริหาวิธีที่จะให้ฤษีทั้งสองเศร้าโศกน้อยที่สุด

        ครั้นแล้วจึงดำริว่า “หากเราไม่บอกความที่เราเป็นพระราชา แล้วแจ้งไปว่าเราฆ่าบุตรของทั้งสองเสียแล้ว ท่านทั้งสองนี้ก็ย่อมจะโกรธเรา และกล่าวคำหยาบกับเรา

        เมื่อเป็นเช่นนั้น เราย่อมจะโกรธตอบ อาจพลาดพลั้งบันดาลโทสะทำร้ายท่านทั้งสองก็เป็นได้ เราควรบอกความที่เราเป็นพระราชา เพื่อให้ฤษีทั้งสองนี้เกรงกลัวไม่กล้าที่จะด่าว่าเรา”  

        เมื่อทรงไตร่ตรองดีแล้ว จึงตั้งใจที่จะบอกความที่พระองค์ทรงเป็นพระราชาก่อน แล้วจึงค่อยหาโอกาสแจ้งเรื่องที่ทรงฆ่าสุวรรณสามให้ฤษีทั้งสองรู้

        จึงทรงวางหม้อน้ำแล้วประทับยืนที่ประตูบรรณศาลา แล้วตรัสว่า “พระคุณเจ้าเอย ข้าพเจ้าขอไหว้ท่าน ข้าพเจ้าเป็นพระราชาของชาวกาสี คนทั้งหลายเรียกว่า พระเจ้าปิลยักขราช

        ...ข้าพเจ้าละทิ้งแว่นแคว้นออกท่องเที่ยวแสวงหาเนื้อมฤคเรื่อยมาจนถึงสถานที่นี้ ข้าพเจ้านั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการยิงธนู มีความแม่นยำมาก แม้ช้างมาสู่ระยะลูกศรของข้าพเจ้า ย่อมไม่อาจหลุดพ้นจากความตายไปได้”

        ครั้นได้ทราบว่าบุคคลผู้นี้เป็นพระราชาผู้เป็นเจ้าเหนือหัวของตน ทุกูลฤษีจึงกล่าวปฏิสันถารเชิญชวนพระราชาให้ทรงดื่มกินด้วยถ้อยคำไพเราะว่า “ข้าแต่มหาบพิตร พระองค์เสด็จถึงที่นี้ เป็นการเสด็จมาดีแล้ว

        ...พระองค์เสด็จมาไกล อาจจะทรงหิวกระหาย   ขอเชิญเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง ผลหมากเม่าเถิดพระเจ้าข้า แม้จะเป็นผลไม้เล็กน้อย แต่ก็พอระงับความหิวกระหายได้ ขอทรงโปรดเลือกเสวยผลที่ดีๆเถิด 

        ...ข้าแต่พระราชา หากทรงพระประสงค์ ขอจงทรงดื่มน้ำเย็น มีรสจืดสนิทที่นำมาจากแม่น้ำมิคสัมมตา ซึ่งไหลมาจากซอกเขาเถิด”

        ยิ่งได้ฟังถ้อยคำปฏิสันถารที่ล้วนแต่ไพเราะรื่นหูของทุกูลฤษีแล้ว พระราชาก็ยิ่งสลดพระทัย เกิดความสงสารฤษีทั้งสองยิ่งนัก ไม่อยากทำร้ายจิตใจของสองฤษีให้มากไปกว่านี้เลย

        แต่เมื่อจำต้องบอกความจริง พระราชาจึงตรัสขึ้นว่า “ท่านทั้งสองมีจักษุที่มืดบอด ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดๆได้ อาศัยอยู่ในป่าใหญ่เช่นนี้ แล้วใครเล่าเป็นคนหาผลไม้มาคอยปรนนิบัติท่าน ผลไม้เหล่านี้ได้ถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดี โดยฝีมือของคนตาดีแน่แท้ ใครหนอเป็นคนทำ”
 
        “ข้าแต่มหาบพิตร ผู้ไปนำผลาผลเหล่านี้มาจากป่า ทั้งยังเป็นคนจัดวางผลไม้ได้อย่างงดงาม คือ สามะหนุ่มน้อยบุตรของข้าพระองค์เอง เขามีรูปร่างสันทัดงดงามน่าดู

        ...  เขาผู้นั้นแหละคือสามะบุตรของข้าพระองค์ ตอนนี้เขาถือหม้อน้ำ กำลังไปตักน้ำจากแม่น้ำ คงใกล้จะกลับมาแล้วกระมัง”

        “ข้าแต่ท่านฤษี ได้โปรดเถิด  จงให้อภัยแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ท่านกล่าวถึงสามะกุมารว่าเขากำลังไปตักน้ำ แต่บัดนี้ สามะกุมารนั้นได้ถูกข้าพเจ้าฆ่าเสียแล้วด้วยลูกศรอาบยาพิษ ...

        ...กุมารผู้งดงามที่คอยปรนนิบัติเลี้ยงดูท่าน บัดนี้ข้าพเจ้าได้ฆ่าเขาเสียแล้ว ร่างของเขานอนอยู่ที่ริมหาดทรายนั้นเอง” 
 
        ถ้อยดำรัสของพระราชา ปานประดุจถูกสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม ของทุกูลฤษี จนฤษีไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่นิ่งงันอยู่อย่างนั้น

        ฝ่ายปาริกาฤษินี ผู้กำลังนั่งอยู่ภายในบรรณศาลาของตน เมื่อได้ยินเสียงดำรัสของพระราชาแล้ว ก็ตกใจแทบสิ้นสติ ประหนึ่งถูกมีดกรีดแทงหทัย ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ต่อไปได้ จึงรีบลุกจากที่นั่ง คลำเส้นเชือกสาวเดินไปสู่บรรณศาลาของทุกูลฤษีทันที

        พร้อมทั้งร้องถามด้วยความตกใจว่า “ท่านทุกูลบัณฑิต ท่านพูดอยู่กับใคร  เขาบอกว่าเขาได้ฆ่าสามะลูกของเราแล้ว เป็นความจริงหรือ” 
 
 
        พระราชาผู้ซึ่งได้ตระหนักถึงบาปกรรมของตนเต็มพระทัยอยู่แล้ว เมื่อได้สดับคำถามตอกย้ำเข้า ก็ยิ่งหงอยและเศร้าหนักเพิ่มขึ้นไปอีก แต่พระองค์จะทรงตอบอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป

โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 16ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 16

ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 17ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 17

ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 18ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 18



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก