View this page in: 中文
จากตอนที่แล้ว ท้าวสักกเทวราชได้ตรัสสรุปว่า พระเจ้ากรุงพาราณสีในกาลนั้นคือหม่อมฉันเอง แต่หม่อมฉันก็ไม่สามารถล่วงเลยกามภพไปบังเกิดในพรหมโลก ส่วนฤษีทั้งหมดต่างหาก กลับก้าวล่วงกามภพไปบังเกิดในพรหมโลกได้ พรหมจรรย์นี้จึงประเสริฐกว่าทาน
ครั้นตรัสเรื่องนี้จบลงก็ได้เสด็จกลับสู่เทวโลก ได้ประกาศแก่เหล่าเทวดาที่ประชุมกันรออยู่ในเทวสภาว่า พระเจ้าเนมิราชเป็นมนุษย์ผู้ทรงธรรม
พระองค์ทรงสงสัยว่า ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์อย่างไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากัน และเราก็ได้ถวายคำตอบให้แก่พระองค์ไปแล้ว
ปวงเทวาต่างชื่นชมอนุโมทนา และได้กราบทูลท้าวสักกเทวราชว่า พวกข้าพระองค์อยากจะเห็นพระเจ้าเนมิราช ผู้เป็นอาจารย์ เพราะได้อาศัยท้าวเธอ จึงทำให้พวกข้าพระองค์ได้มาเสวยทิพยสมบัติเช่นนี้ ขอพระองค์โปรดได้เชิญท้าวเธอเสด็จมา ณ ดาวดึงส์นี้ด้วยเถิด
ท้าวสักกเทวราชจึงมีเทวบัญชามายังมาตลีเทพสารถีให้เตรียมเวชยันตรถ เพื่อไปเชื้อเชิญพระเจ้าเนมิราช ให้เสด็จมาสู่ดาวดึงส์ในทันที มาตลีเทพสารถีจึงนำเทวรถมุ่งตรงลงมารับพระองค์ยังมนุษยโลก
วันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ตอนเย็นชาวเมืองพาราณสีได้เห็นทิพยานปรากฏทางด้านทิศใต้ ก็เข้าใจว่าเป็นดวงจันทราขึ้นมาอีก ๑ ดวง แต่เมื่อเข้ามาใกล้จึงรู้ว่าเป็นเทวรถ จึงพากันสดุดีพระราชาของตน ด้วยความปลื้มใจว่า แม้เทวรถจากสวรรค์ก็ยังมาเพื่อชื่นชมบารมีของพระองค์
เมื่อประชาชนโจทก์ขานกันอยู่ มาตลีเทพสารถีก็ขับรถมาจอดโดยจ่อท้ายรถที่ข้างพระสีหบัญชร ได้เชื้อเชิญพระเจ้าเนมิราชเสด็จขึ้นเทวรถ ด้วยคำทูลเชิญว่า “ข้าแต่จอมนรชน ผู้เป็นใหญ่ทั่วทุกสารทิศ ขอพระองค์เสด็จขึ้นทรงเทวรถคันนี้เถิด พระเจ้าข้า เพราะเหล่าเทวดาชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งมีท้าวสักกะจอมเทพราชันย์เป็นประธาน ปรารถนาจะทอดพระเนตรพระองค์ ขณะนี้กำลังรอกันอยู่ ณ เทวสภา อันเป็นทิพสโมสรแล้ว”
พระเจ้าเมนิราชได้สดับเช่นนั้น ก็ทรงเกิดปีติโสมนัสที่จะได้ทอดพระเนตรเทวโลกให้ประจักษ์ด้วยนัยน์ตา จึงทรงรับคำเชื้อเชิญ แล้วก็ได้ตรัสเรียกมหาอำมาตย์ข้าราชบริพาร และมหาชนมาแล้วรับสั่งว่า “เราจะไปเทวโลก ไม่นานนักก็จะกลับมา พวกท่านอย่าได้ประมาท จงพากันหมั่นสั่งสมบุญบารมีอย่าได้ทอดทิ้ง” รับสั่งเสร็จแล้วจึงเสด็จขึ้นรถอันเป็นทิพย์นั้นทันที
หลังจากที่พระเจ้าเนมิราชเสด็จขึ้นเทวรถแล้ว มาตลีเทพบุตรก็ทูลถามว่า “ข้าแต่มหาบพิตรผู้เป็นจอมชน ทางไปดาวดึงส์พิมานมีอยู่ ๒ ทาง คือทางแรกท่องไปสู่นรกอันเป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ผู้ที่เคยทำบาปกรรมเอาไว้ก่อน แล้วจึงค่อยวกกลับขึ้นสู่สวรรค์ กับอีกทางหนึ่งนั้นตรงไปสู่สวรรค์ อันเป็นที่อยู่ของเทพบุตรเทพธิดาผู้ที่เคยทำบุญกุศลไว้ทีเดียวเลย พระองค์จะโปรดให้นำเสด็จไปทางไหนดีล่ะ พระเจ้าข้า”
พระราชาทรงมีดำริว่า ก็สองทางที่มาตลีกล่าวถึงอยู่นั้น ตัวเราเองก็ไม่เคยไปและไม่เคยเห็นเลย จึงตรัสบอกมาตลีไปว่า “เราอยากจะเห็นหนทางทั้งสองคือ ทั้งทางที่เป็นที่อยู่ของคนทำบาปและทางเป็นที่อยู่ของคนทำบุญ ท่านจะว่าอย่างไรล่ะ”
มาตลีทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ไม่อาจจะแสดงสถานที่ทั้งสองในเวลาเดียวกันได้ พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงตรัสบอกหนทางที่พระองค์อยากไปก่อนเถิดพระเจ้าข้า”
พระเจ้าเนมิราชทรงมีดำริว่า ในสองทางนี้ สวรรค์นั้นเป็นทางที่เราจะต้องไปแน่ๆ อยู่แล้ว แต่ก่อนจะไปเราควรจะได้ดูนรกซึ่งเป็นสถานที่อยู่ของคนทำบาปก่อนดีกว่า เพื่อจะได้นำมาบอกมาสอนประชาชนทั้งหลาย จึงได้ตรัสบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูนรกก่อนเถิด ท่านเทพบุตร”
มาตลีเทพบุตรจึงนำเสด็จพระเจ้าเนมิราชไปยังแม่น้ำเวตรณี(เว-ตะ-ระ-ณี) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุสสุทนรก อันเป็นนรกขุมบริวารขุมที่ ๑ ของสัญชีวมหานรก
สัญชีวมหานรกนี้ เป็นมหานรกขุมแรกที่อยู่บนสุดกว่ามหานรกขุมอื่นๆ อีก ๗ ขุมที่เรียงลดหลั่นกันลงไป ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สัตว์นรกในสัญชีวมหานรกนี้มีอายุขัยเฉลี่ย ๕๐๐ ปีนรก แต่ความยืนนานของอายุนั้น ก็ขึ้นอยู่กับกำลังแห่งวิบากกรรมของสัตว์นรกแต่ละตนซึ่งไม่เท่ากัน
โดยอุสสุทนรกซึ่งเป็นนรกขุมบริวารนี้ จะมี ๑๖ ขุม ล้อมรอบเรียงรายอยู่ทั้ง ๔ ทิศของมหานรก ทิศละ ๔ ขุม และหากรวมอุสสุทนรกที่เรียงรายล้อมมหานรกทั้ง ๘ ขุม ก็จะมีทั้งหมด ๑๒๘ ขุม
แม่น้ำเวตรณีในนรกบริวารขุมแรกนี้เป็นแม่น้ำที่ข้ามได้ยาก น้ำก็เป็นน้ำเค็มที่แสบเผ็ดร้อนเดือดพล่านเหมือนเปลวไฟตั้งอยู่ชั่วกัป
เวตรณี มหานทีอันหฤโหดนั้น คับคั่งด้วยเถาวัลย์พันธุ์ไม้เลื้อย ซึ่งมีหนามที่ใหญ่และยาว มีความแหลมและคม คล้ายใบหอกที่ยื่นยาว ปลายหนามจะมีเพลิงลุกไหม้ ในระหว่างกลางและข้างล่างของเถาวัลย์ยักษ์เหล่านี้ ก็จะมีหลาวเหล็กขนาดเท่าลำตาลที่ลุกโพลง
ภายใต้หลาวทั้งหลายเล่าก็มีใบบัวเหล็กแหลมคมเหมือนมีดโกนที่คม และลุกเป็นไฟอยู่เป็นนิจ ใบบัวอันร้ายกาจเหล่านี้ที่อยู่บริเวณหลังแผ่นน้ำก็มาก ในน้ำก็มาก ถัดมาที่ใต้พื้นน้ำนั้นก็จะมีเครื่องประหารหลากหลายชนิด ที่ทุกชนิดล้วนคมสุดๆ
สัตว์นรกเมื่อพ้นจากกำแพงของสัญชีวมหานรกแล้ว ก็มาถึงแม่น้ำเวตรณีของอุสสุทนรกแห่งนี้ เมื่อแรกที่สัตว์นรกหลุดออกจากสัญชีวมหานรกมานั้น ได้เห็นแม่น้ำสายนี้เข้า ก็เข้าใจกันว่า เป็นแม่น้ำอันเย็นสนิทน่าอาบน่าดื่ม ต่างก็ดีอกดีใจ หวังจะอาบดื่มกินให้สบายอุรา
ต่างก็วิ่งมาโดยเร็ว ด้วยความกระหายน้ำที่ตนอดอยากมานาน เมื่อถึงริมฝั่งก็รีบกระโจนลงในแม่น้ำทันที
แต่อนิจจา! เถาวัลย์ร้ายที่มีหนามแหลมคมเหมือนหอกซึ่งรอคอยอยู่คู่แม่น้ำนี้ ก็ทำหน้าที่บาดและเชือดเฉือนร่างกายสัตว์นรกทำให้เป็นแผลเหวอะหวะ สัตว์นรกได้รับความแสบร้อนและเจ็บปวดสุดแสนจะทรมานมาก บางตัวก็กลายเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย
พร้อมทั้งไฟกรดก็เกิดขึ้นเผาร่างสัตว์นรก ทั้งๆ ที่จมอยู่ในแม่น้ำโฉดสายนี้ ทำให้สัตว์นรกทุกข์ทรมานสุดๆ ด้วยแรงแห่งบาปกรรมที่ได้กระทำไว้ในกาลก่อน เกิด..ตาย..เกิด..ตาย.. อยู่อย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วน
เมื่อสัตว์นรกหลุดจากเถาวัลย์อันร้ายกาจนี้ ก็จะตกลงบนปลายหลาวเหล็กร้อน ร่างกายของสัตว์นรกก็จะถูกหลาวเหล็กยักษ์นี้แทงเสียบอยู่บนปลายหลาว คราวใดที่สัตว์นรกตกลงบนปลายหลาวเหล็กนี้ คราวนั้น หลาวเหล็กนี้ก็จะลุกพรึบเป็นไฟขึ้นทันที
หมดแรงวิบากที่ตรงนี้ ก็จะตกลงในใบบัวเหล็กที่มีกลีบคมเป็นกรด มีไฟลุกโพลงอยู่ตลอดเวลา ใบบัวแดงเพราะแรงเพลิงแห่งกรรมนั้น ก็บาดร่างสัตว์นรกจนขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เจ็บแสบแสนสาหัสไปทั้งเนื้อทั้งตัว ดิ้นทุรนทุราย
ตกจากใบบัวที่ร้ายกาจเหล่านั้นมา ก็เจอกับน้ำที่ใสเย็น แต่น้ำนั้นเป็นน้ำกรด ก็จะถูกน้ำกรดนั้นกัดกิน และถูกเผาด้วยไฟกรดพร้อมทั้งควันกรดกัดกร่อนอยู่ทุกอณูเนื้อของสัตว์นรก การท่องอุสสุทนรกขุมแรกนี้ยังไม่จบ แต่เมื่อพ้นจากตรงนี้แล้วสัตว์นรกจะไปตรงไหนอีกนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)