ทศชาติชาดก
เรื่อง เนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี ตอนที่ 11
จากตอนที่แล้ว มาตลีเทพสารถีได้นำพระเจ้าเนมิราชมายังอุสสุทนรกขุมที่ ๙ ชื่อว่า
พิลสนรก (พิ-ละ-สะ-นะ-รก) ได้ทอดพระเนตรนายนิรยบาลกำลังผูกคอสัตว์นรกดึงให้คอขาดด้วยเชือกเหล็กร้อนแล้วเอามีดเชือดเนื้อทำให้เป็นก้อนๆ วางไว้ เพราะอดีตได้เคยฆ่าวัว ฆ่าควาย เป็นต้น หั่นเป็นชิ้นๆ วางไว้เพื่อขาย
พิลสนรก (พิ-ละ-สะ-นะ-รก) ได้ทอดพระเนตรนายนิรยบาลกำลังผูกคอสัตว์นรกดึงให้คอขาดด้วยเชือกเหล็กร้อนแล้วเอามีดเชือดเนื้อทำให้เป็นก้อนๆ วางไว้ เพราะอดีตได้เคยฆ่าวัว ฆ่าควาย เป็นต้น หั่นเป็นชิ้นๆ วางไว้เพื่อขาย
ขุมที่ ๑๐ มีชื่อว่า โปราณมิฬหนรก (โป-รา-ณะ-มิน-ละ- หะ-นะ-รก) พระเจ้าเนมิราชได้ทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกกำลังกินมูตรและคูถเป็นอาหารอันโอชะอยู่ เพราะในอดีตตอนเป็นมนุษย์ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากมิตรสหาย แต่กลับขโมยเงินทองของมิตรสหายผู้แสนดีของตน
ขุมที่ ๑๑ มีชื่อว่า โลหิตปุพพนรก (โล-หิ-ตะ-ปุพ-พะ-นะ-รก) ได้ทรงเห็นสัตว์นรกเกิดในแม่น้ำใหญ่ที่เต็มไปด้วยเลือดและหนอง กำลังกินเลือดและหนองนั้น เมื่อเลือดและหนองตกถึงท้อง ท้องก็ไหม้พาลำไส้พุ่งออกจากทางทวารเบื้องต่ำ เพราะในอดีตเป็นมนุษย์ได้ทำร้ายมารดาบิดา พระสงฆ์ และผู้มีพระคุณ
ขุมที่ ๑๒ ชื่อว่า โลหพฬิสนรก (โล-หะ-พะ-ฬิ-สะ นะ-รก) ได้ทรงเห็นนายนิรยบาลเอาคีมเหล็กดึงลิ้นของสัตว์นรกออกมา แล้วเอาเบ็ดเหล็กร้อนเกี่ยวลิ้น ดึงให้ล้มลงบนแผ่นโลหะร้อน แล้วเอาตะขอเหล็กร้อนสับที่ร่างของสัตว์นรกถลกหนังออกมาขึงไว้ เพราะอดีตตอนเป็นมนุษย์ชอบค้าขายคดโกง เช่นโกงตาชั่ง เป็นต้น
ขุมที่ ๑๓ ต่อมาชื่อว่า สังฆาฏนรก มีลักษณะเป็นหลุมใหญ่ที่เต็มไปด้วยถ่านเพลิง มีเหล่าสัตว์นรกที่เป็นผู้หญิงหัวขาด ทั่วทั้งตัวเปื้อนไปด้วยเลือดและหนอง แถมยังถูกภูเขาที่ลุกไหม้กลิ้งมาบดร่างให้แหลกละเอียด เพราะในอดีตชาติ เป็นหญิงเจ้าชู้ นอกใจสามีของตน คบชู้กับชายอื่น
เวชยันตรถยังคงนำพระเจ้าเนมิราชชมขุมนรกต่อไป จะรวดเร็วหรือจะชักช้านั้น อยู่ที่ใจของเทพสารถี เพียงแค่นึกในใจเท่านั้น มันก็จะแล่นไปอย่างที่ใจปรารถนา ซึ่งในเวลาต่อมา เทวรถนั้นก็นำพระเจ้าเนมิราชมาหยุดอยู่ ณ อุสสุทนรกขุมที่ ๑๔ มีชื่อว่า อวังสิรนรก (อะ-วัง-สิ-ระ-นะ-รก)
อวังสิรนรกนี้ มีลักษณะเป็นบ่อใหญ่ สำหรับลงโทษสัตว์นรกชายที่ได้ล่วงเกินภรรยาของชายอื่น ซึ่งถือว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่บุคคลผู้เป็นสามีหวงแหน ทำความเสียอกเสียใจ และอับอายอย่างยิ่งให้แก่ผู้ที่ครองความเป็นเจ้าของ ได้ชื่อว่า เป็นผู้ขโมยสัมผัสร่างกายภรรยาของผู้อื่น
กรรมที่สัตว์นรกเหล่านี้ได้รับนั้น คือ เหล่าสัตว์นรกกำลังถูกนายนิรบาลถืออาวุธไล่ล่าโดยกรรมบัญชาให้นายนิรยบาลจับเท้าสัตว์นรกนั้นแล้วโยนให้ตกลงในหลุมถ่านเพลิง คล้ายกับนรกขุมที่ผ่านมา คือต่อมา ก็จะถูกภูเขาเหล็กร้อนกลิ้งมาบดร่างให้แหลกละเอียดย่อยยับไป
อันดับต่อมา เทวรถได้มาหยุดอยู่ที่อุสสุทนรกขุมที่ ๑๕ มีชื่อว่า โลหสิมพลีนรก (โล-หะ-สิม-พลี นะ-รก) ซึ่งเป็นนรกที่มีลักษณะเป็นป่าไม้งิ้ว มีต้นงิ้วสูง ๑ โยชน์ และหนามงิ้วนั้นยาว ๑๖ นิ้วมือ เป็นเหล็กแดงเพราะมีเพลิงลุกอยู่
ต้นงิ้วบางต้น จะมีสัตว์นรกหญิงอยู่ที่ปลาย สัตว์นรกชายอยู่ที่โคนต้น นายนิรยบาลก็เอาหอกหลาวเหล็กทิ่มแทงฝ่าเท้าสัตว์นรกชายให้ขึ้นไปหาสัตว์นรกหญิง
สัตว์นรกชายจำต้องตะเกียกตะกายปีนขึ้นไป ก็โดนหนามแหลมร้อนของต้นงิ้วบาดครูดเอาทั่วทั้งตัว เจ็บปวดนักหนา แถมต้นงิ้วก็ร้อนมีเปลวไฟไหม้ตัวสัตว์นรกชายอยู่ สุดแสนจะทรมาน
หากสัตว์นรกชายคิดจะปีนหนีลงจากต้นงิ้ว ก็จะถูกนายนิรยบาลไล่ล่าทิ่มแทงอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อสัตว์นรกชายปีนต้นงิ้วใกล้จะถึงสัตว์นรกหญิง สัตว์นรกหญิงก็กลับมายืนอยู่ที่โคนต้นงิ้วนั่นเอง
นายนิรยบาลก็จะทำกับสัตว์นรกหญิงเหมือนสัตว์นรกชาย คือไล่แทงสัตว์นรกหญิงให้ปีนขึ้นไป แต่เมื่อสัตว์นรกหญิงปีนต้นงิ้วเข้าไปใกล้สัตว์นรกชาย ก็กลับกลายเป็นสัตว์นรกชายได้มายืนอยู่ที่โคนต้นงิ้วแล้ว สลับกันอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะหมดกรรม
มาตลีเทพสารถีได้ถวายรายงานว่า สัตว์นรกที่ต้องมาปีนต้นงิ้วหนามเหล็กร้อนนี้ เพราะบาปกรรมที่ทำไว้เมื่อตอนเป็นมนุษย์ ได้ประพฤตินอกใจคู่รัก เอาใจออกห่างจากคู่ครองของตน
ถ้าเป็นหญิงก็เป็นประเภทที่หลงใหลชายชู้ ได้ทรัพย์มาจากสามีก็นำไปบำเรอชายอื่นที่ตนรัก ถ้าเป็นสัตว์นรกชายก็เคยทำกรรมมาในลักษณะเดียวกัน จึงต้องมารับกรรมอย่างสาสมอยู่ในที่นี้
ผ่านจากนรกขุมนี้แล้ว เทวรถได้นำเสด็จพระเจ้าเนมิราชมาถึงขุมสุดท้ายที่ ๑๖ ชื่อว่า มิจฉาทิฐินรก แต่มิใช่มิจฉาทิฐิชนิดดิ่งสุดโต่งที่ทำบาปกรรมหนักหนาสาหัสสากรรจ์มาก เมื่อบาปยังไม่หนักพอที่จะส่งไปลงโลกันตนรก จึงต้องมาเสวยวิบากกรรมในนรกขุมนี้
ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นเล่า ก็เป็นประเภทที่เคยไปโลกันตนรกมาก่อนแล้ว เมื่อกรรมเบาบางจึงมาเกิดอยู่ในอุสสุทนรกขุมนี้เช่นเดียวกัน
ได้ประจักษ์แก่สายพระเนตรว่า สัตว์นรกทุกตัวล้วนมีร่างกายพิลึกดูพิกล บางตนตัวเล็กหัวใหญ่ บางตนตัวใหญ่หัวเล็ก นิ้วมือนิ้วเท้าเป็นเหล็กแหลมโง้ง กำลังปีนกำแพงเหล็กร้อนเป็นไฟ หมกไหม้ร้องโหยหวนทุรนทุรายดูน่าเวทนายิ่งนัก
เพราะในอดีตตอนที่เป็นมนุษย์ ได้เคยเป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นผิด กอปรกับได้ชักชวนคนอื่นให้เห็นผิดเช่นเดียวกับตน จึงต้องมารับกรรมอยู่ในนรกขุมนี้
ธรรมดามิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิดนั้นมี ๑๐ อย่าง คือ
- ข้อที่ ๑ เชื่อว่า ทานที่ให้ไปแล้วไม่มีผล
- ข้อที่ ๒ เชื่อว่า การบูชาไม่มีผล
- ข้อที่ ๓ เชื่อว่า การบวงสรวงไม่มีผล
- ข้อที่ ๔ เชื่อว่า การทำดีทำชั่วไม่มีผล คือปฏิเสธกฎของเหตุผล
- ข้อที่ ๕ เชื่อว่า มารดาไม่มีคุณ
- ข้อที่ ๖ เชื่อว่า บิดาไม่มีคุณ
- ข้อที่ ๗ เชื่อว่า สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบไม่มี คือเห็นว่า ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมจนสามารถบรรลุฌาน อภิญญา หรือจะสามารถบรรลุมรรคผลนิพพาน ทำกิเลสให้สิ้นไปได้นั้นไม่มี
- ข้อที่ ๘ เชื่อว่า สัตว์ผู้เกิดแบบโอปปาติกะ คือเกิดแล้วโตทันที เช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดาและพรหมทั้งหลายไม่มี
- ข้อที่ ๙ เชื่อว่า โลกนี้ไม่มี คือปฏิเสธโดยรวมกันกับข้อที่ ๑๐ คือเมื่อเชื่อว่า ผู้ที่ไปเกิดในโลกหน้าไม่มี โลกนี้ก็ไม่มีสำหรับผู้ที่อยู่ในโลกหน้า
- ข้อที่ ๑๐ เชื่อว่า โลกหน้าไม่มี คือเชื่อว่าไม่มีนรก สรรค์ พรหม นิพพาน
เพราะความเห็นผิดเช่นนี้ ประกอบกับบาปกรรมที่ตนทำไว้จึงต้องมาเสวยวิบากกรรม เร่าร้อน ทุรนทุรายอยู่อย่างทรมานยิ่งนัก ในอุสสุทนรกขุมมิจฉาทิฐิแห่งนี้ ส่วนว่า การเที่ยวชมสวรรค์ของพระเจ้าเนมิราชจะบันเทิงเบิกบานอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)