ทศชาติชาดก เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 17


[ 3 ก.ย. 2549 ] - [ 18263 ] LINE it!

 
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  พระเตมีย์   ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี  ตอนที่ 17 
  
    จากตอนที่แล้วพระเตมิยราชกุมารได้ตรัสคาถาที่ 6 ต่อไปตามลำดับจนถึงคาถาที่ 10 มีใจความว่าบุคคลใดไม่ได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นกราบไหว้บูชาผู้อื่น ก็ย่อมได้รับการกราบไหว้บูชาตอบ เขาย่อมรุ่งเรืองดุจเทวดาผู้มีสิริ โคทั้งหลายของเขาย่อมตกลูกบ่อยๆ ธัญพืชที่หว่านในนาย่อมงอกงาม  แม้ตกภูเขา หรือตกต้นไม้ ก็ไม่เป็นอันตราย เหล่าอมิตรย่ำยีบุคคลนั้นไม่ได้ ดุจพุ่มไทรที่ไม่ล้มด้วยแรงลมฉะนั้น”

    ฝ่ายสุนันทสารถีแม้จะได้ฟังถึง 10 คาถา ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะใช่พระเตมิยราชกุมารหรือไม่ จึงได้ขึ้นจากหลุมเดินไปดูที่รถ ก็มิได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ กลับมาดูอีกทีจึงจำได้ว่า ใช่พระเตมิยราชกุมารแน่แล้ว จึงหมอบลงแทบพระบาท ประคองอัญชลีทูลวิงวอน ขอให้พระราชกุมารเสด็จกลับพระนคร

    พระโพธิสัตว์จึงตรัสกับนายสารถีว่า  เราไม่ต้องการราชสมบัติ ที่จะต้องได้มาพร้อมกับการประพฤติอธรรมส่วนสารถียังมีความหวังว่า อย่างไรเสียพระราชกุมารก็คงจะเสด็จกลับ จึงกราบทูลว่า  ขอพระองค์จงเสด็จกลับเถิด เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว จะทำให้ข้าพระองค์ได้รางวัลอันน่าปลื้มใจ พระชนกและพระชนนีจะพระราชทานรางวัลให้แก่ข้าพระองค์

    แต่พระราชกุมารผู้ซึ่งได้หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งราชสมบัติมาได้อย่างแสนลำเค็ญ เมื่อทรงสดับคำของสารถีแล้วจึงตรัสบอกให้เขาทราบว่า “พระชนกและพระชนนีสละเราแล้ว ชาวแว่นแคว้น ชาวนิคม และกุมารที่เป็นเพื่อนของเราก็สละเราแล้ว  เราไม่มีเหย้าเรือนของตน พระชนนีสละเราแล้ว พระชนกก็สละเราจริงๆ  เราจะบวชอยู่คนเดียวในป่า ไม่ปรารถนากามคุณทั้งหลาย”

    เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงนึกถึงความสำเร็จแห่งความเพียงที่ได้ทรงทำมาอย่างยาวนาน ก็ทรงเกิดปีติโสมนัสอย่างล้นพ้น จึงทรงเปล่งพระอุทานว่า “ความหวังของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จแน่นอน ความประพฤติชอบของเราที่ได้พยายามมาเนิ่นนาน บัดนี้ได้สำเร็จผลแล้ว  ท่านจงรู้อย่างนี้เถิดนะนายสารถี ว่าประโยชน์ที่จะพึงเกิดขึ้นโดยชอบ ของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อนย่อมเกิดผลอย่างแน่นอน ความประพฤติชอบของเราสำเร็จผลแล้ว เราออกบวชแล้วย่อมมีแต่ความปลอดโปร่งใจ ไม่มีภัยจากที่ไหนอีก”

    สุนันทสารถีได้ฟังพระดำรัสของพระราชกุมารเช่นนั้นแล้ว เมื่อยังมองไม่เห็นคุณค่าของการบวชอยู่แต่ผู้เดียว เที่ยวกินใบไม้ผลไม้อยู่ในป่า ไร้ซึ่งทรัพย์สมบัติอันจะนำมาซึ่งความสะดวกสบายว่าจะมีประโยชน์อะไร

    มองเห็นแต่ประโยชน์ที่เกิดแก่พระราชา พร้อมทั้งพระราชเทวี กับทั้งประโยชน์ที่จะเกิดแก่ประเทศชาติรัฐสีมา ว่าถ้าหากพระราชกุมารเสด็จกลับไปครองราชย์ ประเทศชาติก็จะรุ่งเรือง พระราชาต่างเมืองแคว้นไหนก็ไม่อาจจะข่มขี่ได้

    ทั้งราชสมบัติอันเป็นของประจำตระกูลที่พระราชบิดาทรงตั้งพระราชหฤทัยว่า จะทรงอภิเษกให้ได้ขึ้นครองราชย์ก็รออยู่เบื้องหน้า ซึ่งใครๆ ก็ปรารถนาแต่วาสนาเขาไม่ถึง ส่วนสำหรับพระองค์นั้นตำแหน่งอันเลิศที่สุดของรัฐรออยู่แล้ว แต่กลับไม่เอา พระองค์จะทำอย่างนี้ได้อย่างไร
 
    จึงกราบทูลให้พระราชกุมารกลับพระนครสืบไปว่า “ข้าแต่พระราชกุมาร พระวาจาของพระองค์ช่างไพเราะเสียจริง พระองค์มีพระดำรัสตรัสสละสลวยถึงเพียงนี้ แต่เหตุไฉน ก่อนนี้พระองค์ถึงไม่ทรงตรัสสิ่งใดกับพระชนกและพระชนนีเลย ขอพระองค์จงเสด็จกลับพระนครเถิด การอยู่ในป่าคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร”

        พระเตมิยราชกุมารทรงเห็นว่าสารถียังไม่รู้ไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์ทำมา ไม่รู้มโนปณิธานของพระองค์ว่าเป็นเช่นไร จึงได้ตรัสอธิบายให้เขาเข้าใจ และบอกความประสงค์ว่าพระองค์จะไม่เสด็จกลับอย่างแน่นอนว่า “สุนันทสารถี เธอจงฟังให้ดี เราจะเล่าให้เธอฟังทั้งหมด  เราไม่ได้เป็นคนง่อยเปลี้ย ไม่ได้เป็นคนหูหนวก ไม่ได้เป็นคนใบ้ ที่เราต้องแสร้งทำเป็นง่อยเปลี้ยพิกลพิการเช่นนั้น เพราะเหตุที่เราระลึกชาติหนหลังได้ว่า ในปางก่อนโน้นเราเคยครองความเป็นกษัตริย์ในพระนครนี้อยู่เพียง 20 ปี  แต่ในที่สุด
เมื่อเราละโลกไปแล้ว กลับต้องไปตกนรก ถูกทรมานให้เร่าร้อนหมกไหม้ ทุรนทุรายอยู่ถึงแปดหมื่นปี  ก็เพราะเหตุนี้แหละ เราถึงไม่ปรารถนาที่จะพูดกับพระชนกและพระชนนี จึงได้แต่แสร้งทำเป็นง่อยเปลี้ย เป็นคนหูหนวก และเป็นคนใบ้ เราสู้อุตส่าห์อดทนมานานถึงสิบหกปี เพียงเพื่อปรารถนาจะพ้นไปจากความเป็นกษัตริย์ และบัดนี้เมื่อเราได้ทำสำเร็จแล้ว เราจึงไม่ต้องการที่จะหวนคืนสู่พระนครอีก แต่จะขอบวชบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าแห่งนี้”

    สุนันทสารถีกราบทูลด้วยความเป็นห่วงว่า  “ข้าพระบาทเกรงว่า หากพระองค์ประทับอยู่ในป่าเพียงลำพัง ก็ลำบากพระวรกาย ต้องอดอยากทุกข์ยากมากมาย และอาจเกิดอันตรายแก่พระองค์ได้นะ พระเจ้าข้า”

     “ไม่มีอันตรายหรอก สุนันทสารถี ธรรมดาผู้ที่ออกบวช จะต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างเสีย ทั้งทรัพย์สฤงคาร บุตรภรรยา ยศถาบรรดาศักดิ์ แล้วจึงมุ่งแสวงอริยทรัพย์ภายในเป็นสำคัญ  ดังนั้น นักบวชจึงไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์อันเป็นโลกียทรัพย์ เมื่อไม่แสวงหาผลประโยชน์ก็จะไม่คิดจะเบียดเบียนผู้อื่น เมื่อไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น จึงไม่เกิดการกระทบกระทั่ง เมื่อไม่กระทบกระทั่ง ก็ย่อมไม่มีศัตรูมาทำร้าย ดังนั้น เราจึงกล่าวว่าเพศนักบวชเป็นเพศของผู้ไม่มีภัยจากที่ไหน”

    ข้าแต่พระราชกุมาร การบวชอยู่ในป่าไร้เสียซึ่งทรัพย์สมบัติ ไม่มีบุตรและภรรยาที่คอยเอาใจให้ความอบอุ่นจะมีความสุขได้อย่างไร เมื่อพระองค์ได้ครองราชย์ย่อมมีพระราชทรัพย์มากมายก็สามารถทำบุญให้ทาน สามารถรักษาศีล ชำระหนทางแห่งสวรรค์ให้กระจ่างได้ การบวชเสียแต่ยังหนุ่มจะมีประโยชน์อะไร”

    สุนันทสารถี เธอจงฟังและคิดดูให้ดี ครั้งเรายังเป็นทารกเกิดได้ไม่นาน ในครั้งนั้นพระชนกของเรา อุ้มเราให้นั่งบนตัก แล้วตรัสสั่งข้อความว่า จงฆ่าโจรคนหนึ่งด้วยหอกอันคม จงจองจำโจรคนหนึ่งด้วยขื่อคา จงเฆี่ยนโจรคนหนึ่งให้ตายด้วยหวายหนาม และจงเสียบโจรคนหนึ่งให้ตายอยู่บนหลาว  เราได้ฟังรับสั่งอันหยาบคายร้ายกาจที่พระชนกตรัสแล้วก็สะดุ้งกลัว ไม่ต้องการเสวยราชสมบัติ ถึงแม้เราไม่ได้เป็นง่อยเปลี้ยก็แกล้งทำเป็นง่อยเปลี้ย ไม่ได้เป็นใบ้ก็แกล้งทำเป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวกก็แกล้งทำเป็นหูหนวก เพื่อต้องการพ้นจากราชมณเฑียรนั้นให้ได้  สุนันทสารถี ชีวิตนี้เป็นของน้อย มีความปลื้มใจเพียงนิดหน่อย แต่ประกอบด้วยทุกข์มากมาย เราจะอาศัยชีวิตอันนิดหน่อยนี้ก่อเวรใหม่เพิ่มขึ้น แล้วต้องไปตกอยู่ในอบายตลอดกาลยาวนานเพื่อประโยชน์อะไร ท่านจงรู้อย่างนี้เถิดสารถี การบวชเป็นหนทางกว้างที่จะทำให้พ้นจากอกุศลกรรมมีปาณาติบาตเป็นต้น และมีโอกาสว่างเพื่อบำเพ็ญกุศลธรรมคือฌานและอภิญญา เราเห็นคุณประโยชน์ดังนี้จึงออกบวช พรหมจรรย์ของเราสำเร็จแล้ว เราออกบวชแล้วย่อมไม่มีภัยจากที่ไหน"
 
    สุนันทสารถีใคร่ครวญตามพระดำรัสนั้น ก็เห็นจริงตามที่พระกุมารตรัสแล้วทุกประการ เกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า มีสติเตือนตนได้ว่า “พระราชกุมารนี้ไม่ทรงอาลัยในสิริราชสมบัติเลยแม้แต่น้อย ทรงทิ้งราชสมบัติโดยไม่มีความเยื่อใย เหมือนบ้วนก้อนเขฬะ  ทรงยอมพระองค์ทนทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลานาน เพียงเพื่อให้พ้นจากราชมณเฑียร แม้จะทรงทุกข์ยากเพียงไรก็ไม่ทำลายความตั้งใจเดิมที่จะผนวช แล้วตัวของเราเล่า จะมามัวห่วงใยชีวิตที่บ่ายหน้าไปสู่ความตายทำไมกัน อย่ากระนั้นเลย เราจะออกบวชพร้อมพระองค์ในวันนี้แหละ”

        ตัดสินใจดังนี้แล้ว จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระราชกุมาร ขอพระองค์ทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระบาทด้วยเถิด ขอพระองค์โปรดประทานอนุญาตให้ข้าพระบาทได้บวชตามพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”

    พระราชกุมารทรงฟังคำอ้อนวอนของสุนันทสารถีแล้ว ก็ทรงทราบว่าเขาต้องการจะบวชตามพระองค์จริงๆ แต่จะมีรับสั่งอย่างไร เพราะถ้าหากทรงอนุญาตให้สารถีบวชพร้อมกับพระองค์ ก็เท่ากับว่าทั้งพระองค์และสารถีได้หายสาบสูญไปจากพระนคร เหมือนกับได้ตายจากไป พระราชบิดา พระราชมารดาก็คงต้องเศร้าโศกอยู่เหมือนเดิม ใครเขาจะชื่นชมอนุโมทนา เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
 
โดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 18ทศชาติชาดก เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 18

ทศชาติชาดก เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 19ทศชาติชาดก เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 19

ทศชาติชาดก เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 20ทศชาติชาดก เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 20



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก