ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 148


[ 24 ม.ค. 2552 ] - [ 18274 ] LINE it!

ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 148
 
 
    จากตอนที่แล้ว มโหสถได้พรางหนทางตั้งแต่ประตูพระนครไปจนถึงพระราชนิเวศน์ และตั้งแต่พระราชนิเวศน์จนถึงเรือนของตน เพื่อป้องกันมิให้พราหมณ์เกวัฏ สังเกตเห็นการจัดระเบียบภายในพระนครและภายในเรือนของตน
 
    เมื่อพราหมณ์เกวัฏ ได้เหยียบย่างเข้าสู่มิถิลานคร ได้เห็นหนทางที่ประดับตกแต่งไว้ดีแล้ว จึงคิดว่า พระเจ้าวิเทหราชคงรับสั่งให้เตรียมการต้อนรับคณะของตนเป็นพิเศษ จึงเดินเข้าสู่ท้องพระโรงด้วยท่าทางอันผึ่งผาย พากันถวายบังคม ทูลเกล้าถวายเครื่องบรรณาการแด่พระเจ้าวิเทหราช
 
    ครั้นได้โอกาส เกวัฏจึงเริ่มกราบทูลถึงเหตุที่ตนมาสู่ราชสำนักว่า “ขอเดชะ พระราชาของข้าพระองค์ มีพระราชประสงค์ที่จะทรงมอบรัตนะนานาชนิด พร้อมทั้งนารีรัตนะอันสูงค่า คือ พระราชกุมารีปัญจาลจันที ผู้ทรงงามพร้อม ถวายแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ท้าวเธอทรงหวังว่า พระองค์จะทรงยินดีและพอพระราชหฤทัยในมิตรไมตรีในครั้งนี้ พระพุทธเจ้า”
 
    พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำกราบบังคมทูลของเกวัฏแล้ว ก็ทรงดีพระทัยเป็นล้นพ้น เกวัฏทราบพระประสงค์เช่นนั้นแล้ว จึงกราบทูลต่อไปว่า “ขอเดชะ เพื่อความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พระเจ้าจุลนีทรงมีพระบรมราชโองการให้ข้าพระองค์มาทูลเชิญเสด็จใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ไปสู่ปัญจาลนคร เพื่อกระทำพิธีอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาปัญจาลจันทีด้วย พระพุทธเจ้าข้า”
 
    พระเจ้าวิเทหราชทรงโสมนัสเป็นที่ยิ่ง พระองค์เกือบจะทรงรับคำทูลเชิญของพระเจ้าจุลนีแล้วในทันที แต่ครั้นทรงดำริขึ้นได้ว่า “มโหสถบัณฑิตควรจะได้ทราบเรื่องนี้ด้วย”
 
    พระองค์จึงตรัสกับเกวัฏว่า “ท่านเกวัฏ ดูเหมือนว่าท่านกับมโหสถเคยมีเรื่องกันมาในครั้งก่อน ดังนั้นขอท่านจงนำข่าวมงคลนี้ ไปแจ้งให้มโหสถทราบด้วย ถ้าอย่างไรท่านก็จงปรับความเข้าใจกันเสียก่อน เมื่อนั้นท่านจึงค่อยมาหาเราอีกครั้ง”
 
    พราหมณ์เกวัฏ แม้จะไม่ยินดีที่จะไปพบมโหสถเท่าใดนัก แต่ก็แสร้งกราบทูลเพื่อเอาใจพระเจ้าวิเทหราชว่า “แน่นอนพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ตั้งใจมาแล้วแต่ต้นว่า หากมาครั้งนี้ ก็จะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนมโหสถสักหน่อย อย่างน้อยๆก็จะได้ลบล้างความหลังครั้งก่อน แล้วสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน เพื่อให้มิถิลานครและปัญจาลนครเหนียวแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวตราบนานเท่านาน พระพุทธเจ้าข้า”
 
    “เป็นความคิดที่ถูกต้องแล้วท่านอาจารย์” พระองค์ตรัสชื่นชม
 
    จากนั้น พราหมณ์เกวัฏจึงกราบบังคมลา เพื่อเดินทางไปยังเรือนของมโหสถเพื่อแจ้งข่าวตามที่ตนรับปากไว้
 
    ฝ่ายมโหสถเมื่อรู้ว่า พราหมณ์เกวัฏกำลังจะมาหาตน จึงคิดว่า “คนพาลสันดานบาปอย่างเกวัฏ ไม่ควรที่เราจะสนทนาด้วย การเจรจากับคนหยาบช้าเช่นนี้ จงอย่าได้มีแก่เราเลย”
 
    คิดดังนี้แล้ว มโหสถจึงได้ดื่มเนยใสแต่เช้า ให้คนใช้ในเรือนเอามูลวัวสดมาละเลงจนทั่วเรือน แล้วให้เอาน้ำมันทาเสาเรือนทั้งหมด ส่วนบริเวณห้องโถงที่จัดไว้ต้อนรับพราหมณ์เกวัฏ ก็เหลือไว้แต่เตียงผ้าใบเตียงหนึ่งสำหรับเป็นที่นอนของตนเท่านั้น ไม่มีเตียงตั่งหรือที่นั่งที่พิงไว้เผื่อใครๆทั้งสิ้น
 
    เท่านั้นยังไม่พอ แต่ละซุ้มประตูมโหสถยังได้วางยามเฝ้าประตูไว้ทั้งเจ็ดชั้น พร้อมกับกำชับยามเฝ้าประตูเหล่านั้น ให้ทราบวิธีที่จะปฏิบัติต่อพราหมณ์เกวัฏทันทีที่เหยียบย่างเข้ามาในเรือน ซึ่งการต้อนรับในครั้งนี้ จะทำให้แขกผู้มาเยือนเข็ดขยาดไปอีกนานแสนนาน
 
    พราหมณ์เกวัฏออกจากท้องพระโรงแล้ว ก็ตรงมายังเรือนของมโหสถเพียงลำพัง ในระหว่างทางเกวัฏไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นการจัดแจงบ้านเมือง ตลอดจนการระบบระเบียบภายในเรือนของมโหสถเลย
 
    เมื่อมาถึงประตูชั้นแรก เกวัฏก็เอ่ยถามคนเฝ้าประตูว่า “ท่านมโหสถอยู่หรือไม่ เราจะพบได้อย่างไรกัน” ว่าแล้วก็รีบเดินตรงไป
 
    แต่กลับถูกยามเฝ้าประตูกั้นไว้ พลางกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่อย่าส่งเสียงเอ็ดอึงไปสิ ถ้าท่านต้องการจะมาหาท่านผู้สำเร็จราชการ ก็จงมานิ่งๆ วันนี้ท่านบัณฑิตดื่มเนยใสอย่างแรง ฉะนั้นท่านจะพูดเสียงดังไม่ได้เป็นอันขาด” ว่าแล้วก็ปล่อยให้เกวัฏผ่านเข้าไป เกวัฏจึงผ่านประตูชั้นแรกเข้าไปด้วยความผะอืดผะอม กระทั่งถึงประตูชั้นที่สอง ก็ถูกคนเฝ้าประตูกั้นทางไว้อีก แล้วถูกเตือนในทำนองเดียวกันกับเมื่อครั้งที่ผ่านประตูชั้นแรกเข้ามา เกวัฏถูกยามเฝ้าประตูแต่ละชั้น สั่งกำชับอย่างนี้จนถึงประตูชั้นที่เจ็ด ทำให้ชักจะเลือดขึ้นหน้า

    เมื่อผ่านซุ้มประตูชั้นสุดท้ายมาแล้ว เกวัฏก็ตรงเข้าไปในห้องโถง เห็นมโหสถนุ่งผ้าแดงนอนอยู่บนเตียงผ้าใบ พยายามเหลียวมองหาที่นั่งสำหรับตน แต่ก็ไม่เห็นแม้ตั่งสักตัวเดียว ในที่สุดจึงต้องยืนแซ่วอยู่ห่างๆ
 
    มโหสถนอนนิ่งอยู่บนเตียงผ้าใบเหมือนคนป่วย พอเห็นเกวัฏเข้ามาใกล้ ก็ขยับตัวเล็กน้อย ทำทีจะทักทายปราศรัยด้วย แต่ก็ถูกบริวารที่เฝ้าอยู่ห้ามว่า “ใต้เท้า โปรดอย่าพูดอะไรตอนนี้เลยขอรับ เพราะท่านดื่มเนยใสอย่างแรงเข้าไป ฉะนั้นขอท่านจงนอนพักเสียจะดีกว่า เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ท่านจะต้องพูดคุยกับพราหมณ์เลวๆอย่างเกวัฏ”
 
    เกวัฏได้ฟังดังนั้นก็ข่มความโกรธไว้ แล้วเดินเข้าไปหามโหสถใกล้ๆ แต่จะนั่งก็ไม่ได้ แม้แต่ที่จะยืนก็ยังไม่ได้รับความสะดวก ได้แต่ยืนเก้ๆกังๆ เหยียบมูลวัวสดๆอยู่ในที่นั้น โดยที่ไม่มีผู้ใดใส่ใจต้อนรับเลยแม้แต่คนเดียว มิหนำซ้ำยังถูกบริวารของมโหสถยักคิ้วหลิ่วตาให้ด้วยความหมั่นไส้ บางคนก็ถลึงตาใส่เหมือนเย้ยหยันในที บ้างก็แสดงอาการดูหมิ่นอย่างรุนแรง เงื้อมือยกกำปั้น ขยับเท้าทำท่าจะเตะ
 
    เกวัฏเห็นกิริยาอาการของคนเหล่านั้นไม่เป็นที่น่าไว้ใจ คิดว่า ถ้าขืนตนยืนอยู่ในที่นี้ต่อไป คงจะไม่ปลอดภัยแน่ จึงกล่าวกับมโหสถว่า “ท่านบัณฑิตข้าพเจ้าลาล่ะ”
 
    เมื่อกล่าวจบ บริวารที่เฝ้ามโหสถตรงรี่เข้าไปหาเกวัฏ ตวาดเสียงกร้าวว่า “เฮ้ย...ไอ้พราหมณ์ถ่อย แกอย่าเอ็ดไปนะ ถ้าขืนพูดอีก พวกข้าจะบดกระดูกแกเสีย” ว่าแล้วก็ช่วยกันจับคอเกวัฏไสไปข้างหน้า ตบหน้า-ทุบหลัง โทษฐานละเมิดคำสั่งที่บอกให้เงียบแล้วไม่เงียบ เกวัฏออกไปถึงประตูชั้นไหน ก็ถูกผลักไสไล่ส่งไปอย่างนั้นจนพ้นออกจากประตูเรือน เกวัฏทั้งเจ็บทั้งอาย แต่ก็ไม่อาจตอบโต้อะไรได้
 
    ครั้นรอดพ้นปากราชสีห์มาได้ เกวัฏก็ไม่รอช้า รีบเดินตรงแน่วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชทันที ส่วนว่าพราหมณ์เกวัฏ จะกราบทูลถึงเรื่องราวทั้งหมดแก่พระเจ้าวิเทหราชอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 149ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 149

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 150ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 150

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 151ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 151



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก