ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 4


[ 29 ก.ย. 2549 ] - [ 18268 ] LINE it!

 
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มหาชนก   ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี  ตอนที่ 4
 

    จากตอนที่แล้ว กองทัพของพระโปลชนก ออกเดินทางเข้าสู่มิถิลานคร ใช้เวลาในคืนวันรุ่งขึ้นอีกครึ่งคืนก็เข้าเขตพระนคร จึงทรงให้ตั้งค่ายพักแรมอยู่นอกพระนคร พอรุ่งสางก็ตรัสสั่งให้ล้อมพระนครเอาไว้ พร้อมทั้งได้ส่งสารไปถวายพระเชษฐาว่า  “เมื่อก่อนหม่อมฉันไม่เคยคิดเป็นศัตรูต่อเจ้าพี่เลย   แต่บัดนี้  หม่อมฉันจะขอเป็นศัตรูหละ  เจ้าพี่จะมอบราชสมบัติให้แก่หม่อมฉันหรือจะรบจงรีบตอบมา”

    พระราชาอริฏฐชนกทรงสดับสารของพระอนุชาแล้ว  ก็ทรงเรียกพระอัครมเหสีมา ตรัสบอกพระนางว่า การรบครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะชนะหรือจะแพ้  ถ้าหากเราประสบภัยเธอพึงรักษาครรภ์ไว้ให้ดี แล้วก็ยกทัพออกจากพระนคร  ทำการรบกับกองทัพของพระอนุชาของพระองค์เอง

    ขณะที่รบกันอยู่อย่างสามารถ เพียงในวันแรกเท่านั้น  ทหารของพระโปลชนกก็ได้ใช้ธนูยิงพระเจ้าอริฏฐชนกราชถึงสิ้นพระชนม์บนคอช้างท่ามกลางสนามรบนั้นเอง

    เมื่อข้าราชบริพารของพระเจ้าอริฏฐชนกรู้ว่าพระราชาของตนสวรรคตแล้ว ก็ไม่มีใครคิดจะต่อสู้อีก จึงได้เปิดประตูเมืองให้กองทัพของพระโปลชนกเข้าสู่พระนครในวันนั้น  แล้วก็ได้จัดการอภิเษกให้พระโปลชนกครองราชสมบัติแทนพระเชษฐาของพระองค์สืบไป

    ฝ่ายอัครมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนกทรงรู้ว่าพระสวามีสิ้นพระชนม์แล้ว  จึงทรงปลอมเป็นหญิงชาวบ้าน รีบเสด็จออกจากพระนคร ทรงได้รับการอนุเคราะห์จากท้าวสักกะ ซึ่งทรงเนรมิตเกวียนแล้วทรงจำแลงพระองค์เป็นชายแก่ ขับเกวียนมารับพระนางไปสู่นครกาลจำปากะ

    ในเวลาเย็นวันนั้น ก็ลุถึงนครกาลจำปากะ พระเทวีทอดพระเนตรเห็นประตูหอรบและกำแพงพระนคร  จึงตรัสถามท้าวสักกะว่า  “ท่านตา  เมืองนี้ชื่ออะไร” 
 
ท้าวสักกะตรัสตอบว่า  “นครกาลจัมปากะ แม่นาง”

    พระเทวีตรัสค้านว่า  “ท่านตา ท่านพูดอะไร นครกาลจำปากะอยู่ห่างจากนครของพวกเราถึง  60 โยชน์มิใช่หรือ” 
 
ท้าวสักกะตรัสว่า  “ถูกแล้วแม่นาง  แต่ตารู้จักหนทางลัด จึงมาถึงเร็ว”

    แล้วท้าวสักกเทวราชก็ให้พระเทวีลงจากเกวียน  ณ  ที่ใกล้ประตูด้านทิศทักษิณ  ตรัสบอกว่า  “แม่นาง บ้านของตาอยู่ข้างหน้า  แต่แม่นางจงเข้าไปสู่นครนี้เถิด” 
 
    ตรัสแล้วท้าวสักกะก็ขับเกวียนต่อไปเหมือนไปข้างหน้า  แล้วหายพระองค์กลับไปสู่ที่ประทับยังภพดาวดึงส์

    ส่วนพระเทวีก็เสด็จเข้าสู่ประตูพระนคร  เนื่องจากไม่รู้ว่าจะเสด็จไปทางไหนดีเพราะไม่ทรงรู้จักใครเลย จึงประทับนั่งที่ศาลาพักร้อนแห่งหนึ่งตามลำพัง

    ขณะนั้น  มีพราหมณ์ชาวเมืองกาลจัมปากะผู้สอนมนต์คนหนึ่ง  เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์  มีลูกศิษย์เป็นชายหนุ่ม 500 คนแวดล้อม กำลังเดินไปเพื่ออาบน้ำที่ท่าน้ำผ่านมาที่ด้านหน้าศาลานั้น 

    พราหมณ์ท่านนี้ได้แลเห็นพระเทวี  ผู้มีพระรูปกายสมบูรณ์ทุกส่วน ประทับนั่งอยู่ที่ศาลาพักร้อนเพียงคนเดียว  เมื่อพินิจผิวกายก็ช่างละเอียดอ่อน ลักษณะของมือและเท้านั้นเรียวงาม ก็รู้ว่าหญิงผู้นี้เป็นผู้มีตระกูลสูงส่ง และเค้าหน้าอย่างนี้เธอคงไม่ใช่คนเมืองนี้แน่

    ด้วยอานุภาพแห่งบุญของพระโพธิสัตว์ผู้บังเกิดในพระครรภ์ของพระเทวี  เมื่อพราหมณ์มองเห็นพระเทวีเท่านั้น  จึงเกิดเมตตาราวกับว่าเป็นน้องสาวแท้ๆ  ของตน

    ได้ให้มาณพทั้งหมด  หยุดรออยู่ข้างนอกก่อน  ส่วนตนก็เข้าไปในศาลาตามลำพัง  ได้ไต่ถามการมาของพระนางว่า  “น้องหญิง  แม่นางคงไม่ใช่คนถิ่นนี้ เธอมาจากเมืองไหนหรือ”

    พระเทวีได้ทอดพระเนตรพราหมณ์ซึ่งอยู่ในวัยกลางคนที่เข้ามาทักทายตนก็ดำริว่า “พราหมณ์ผู้นี้ ท่าทางองอาจสง่าผ่าเผย ดูภูมิฐาน นัยน์ตาเฉียบคมปานดังเหยี่ยว คงจะเป็นอาจารย์ของพวกคนหนุ่มที่ยืนรออยู่ด้านหลังนั้น จึงตรัสตอบไปว่า “ฉันเป็นชาวเมืองมิถิลา หนีภัยสงครามมาจ้ะ”

    “แม่นาง ฉันเป็นมหาพราหมณ์ ผู้เป็นอาจารย์สอนศิลปะศาสตร์ให้แก่ศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังนั้น กำลังจะไปอาบน้ำ ฉันดูลักษณะของเธอแล้ว เธอคงไม่ใช่หญิงชาวเมืองธรรมดาละกระมัง พอจะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของเธอให้เราทราบได้หรือไม่”

    พระเทวีดำริว่า ชายผู้มีสายตาเฉียบคมผู้นี้ ดูเป็นคนเปิดเผย มีฐานะเป็นอาจารย์ของคนทั้งหลาย พอที่จะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของเราได้ จึงตรัสเล่าเรื่องราวทั้งหมดไห้ฟังว่า  “ฉันเป็นอัครมเหสีของพระอริฏฐชนกราช  ผู้เป็นพระราชาของกรุงมิถิลา 
 
    ...เมื่อสองวันก่อน พระองค์ได้ทำสงครามกับกองทัพของพระอนุชาของพระองค์เอง แต่ทรงเสียทีแก่ข้าศึก ถูกทหารฝ่ายตรงข้ามยิงด้วยลูกธนูสิ้นพระชนม์ในสงคราม  ฉันกลัวภัยที่จะมาถึงตน จึงหนีมายังเมืองนี้ เพื่อรักษาครรภ์ไว้” 
 
    “โอ จริงๆ ด้วย เธอเป็นถึงพระอัครมเหสี นี่พระนางทรงพระครรภ์ด้วยหรือนี่ หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยด้วย ที่แสดงอาการไม่สุภาพ”

    “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ”   “แล้วพระเทวีจะไปที่ไหนต่อ พระเทวีทรงมีพระประยูรญาติอยู่ในเมืองนี้บ้างหรือไม่ละ”

    “ฉันไม่รู้จะไปทางไหนเหมือนกัน เพราะไม่รู้จักใครในเมืองนี้เลย”

    มหาพราหมณ์นึกสงสารพระเทวียิ่งนัก จึงกล่าวว่า  “ถ้าเช่นนั้น  พระเทวีอย่าทรงร้อนพระทัยไปเลย  หม่อมฉันชื่ออุทิจจพราหมณ์  เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์  หากไม่รังเกียจ  ขอเชิญพระเทวีไปพักอาศัยอยู่กับหม่อมฉันก่อนเถิด”

    แล้วมหาพราหมณ์ก็ออกอุบายว่า “ขอให้พระนางทำตามคำแนะนำของหม่อมฉัน โดยหม่อมฉันขอตั้งพระนางไว้ในตำแหน่งน้องสาว  เพื่อปกปิดไม่ให้ใครรู้ฐานะที่แท้จริงของพระนางและพระโอรส

    ...หม่อมฉันจะให้บริวารคอยปฏิบัติดูแลพระนางเป็นอย่างดี  ขอให้พระนางเรียกหม่อมฉันว่าพี่ชายก็แล้วกัน  พระนางจงแสดงอาการร้องไห้ประดุจว่าได้มาพบพี่ชายที่จากกันมานานในบัดนี้เถิด”

    พระเทวีทรงเห็นว่าพราหมณ์อยู่ในฐานะที่พอจะเอาเป็นที่พึ่งได้ในยามยากเช่นนี้ จึงทรงปฏิบัติตามคำแนะนำของพราหมณ์ทุกอย่าง  ทรงร้องไห้รำพรรณเรียกพราหมณ์ว่าพี่  แล้วทอดพระองค์ลงจับข้อเท้าของพราหมณ์  ทั้งสองต่างแสดงความรักและคิดถึงประดุจพี่น้องที่รักกันแต่ต้องจากกันไปเสียนาน

    ฝ่ายเหล่าลูกศิษย์ได้ยินเสียงของพราหมณ์และพระเทวีร้องให้  จึงพากันเข้าไปในศาลา  ถามว่า  “ท่านอาจารย์  นางเป็นใครหรือขอรับ”

    พราหมณ์กล่าวด้วยอาการตื้นตันใจว่า “ท่านทั้งหลาย  หญิงนี้เป็นน้องสาวของฉัน  เราถูกพรากจากกันตั้งแต่ครั้งยังเล็ก เพิ่งจะมาพบกันในวันนี้แหละ ฉันดีใจเหลือเกิน”

    พวกลูกศิษย์จึงแสดงความยินดีต่ออาจารย์  และได้ปวารณาว่า  “ท่านอาจารย์โปรดวางใจเถิด   พวกเราจะช่วยกันดูแลน้องสาวของท่านเป็นอย่างดี  เสมือนกับเป็นมารดาของพวกเราเอง”

    พราหมณ์ได้ฟังคำปวารณาจากลูกศิษย์แล้ว ก็ปลื้มใจ  จึงสั่งลูกศิษย์ให้บอกพราหมณีว่า  หญิงนี้เป็นน้องสาวของเรา ให้ดูแลความสะดวกสบายด้วย  ส่วนว่า เรื่องราวของพระเทวีจะเป็นอย่างไรโปรดติดตามในตอนต่อไป


โดย : หลวงพ่อธัมมชโย  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก  ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี  ตอนที่ 5ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 5

ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 6ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 6

ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก  ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี  ตอนที่ 7ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 7



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก