มหาอุทกภัย พุทธศักราช 2554 กับผลกระทบต่อโลก

 

ผลกระทบด้านอุตสาหกรรม 

 

        ปัจจุบันประเทศไทยของเราเป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจำนวนมาก ทั้งรถยนต์, ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ เมื่อโรงงานในประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆถูกน้ำท่วม ทำให้ชิ้นส่วนอะไหล่ที่ส่งไปจำหน่ายทั่วโลกขาดแคลน ผลกระทบก็เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ตัวอย่างเช่น

 

- บริษัทผู้ผลิตรถยนต์โตโยต้า ได้สั่งให้โรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นชะลอการผลิต เพราะขาดแคลนชิ้นส่วนอะไหล่กว่า 100 ชนิด จากประเทศไทย และสั่งให้โรงงานผลิตรถยนต์ 4 แห่งในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา หยุดการผลิตเพราะขาดชิ้นส่วน

 

- บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ฮอนด้า ได้สั่งให้โรงงานผลิตรถยนต์ในมาเลเซียหยุดการผลิต เพราะขาดชิ้นส่วนจากประเทศไทยเช่นกัน

 

        บริษัทจากประเทศญี่ปุ่นที่ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยมีถึง 2,089 บริษัท ได้ประเมินความเสียจากผลกระทบทั่วโลกไว้กว่าแสนล้านบาท นอกจากนี้ นายทิม คุก ซีอีโอ (CEO) คนใหม่ของบริษัทแอปเปิล (Apple Inc.) แทนนายสตีฟ จ็อบส์ ที่เพิ่งเสียชีวิตไป ได้แถลงว่า “วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในประไทยไทยขณะนี้ กำลังเป็นอุปสรรคต่อการผลิตของแอปเปิล และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของบริษัทต่างๆทั่วโลก ซึ่งจะเกิดการขาดแคลนฮาร์ดดิสก์และชิ้นส่วนอะไหล่คอมพิวเตอร์กันหมด เพราะฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก 60% ผลิตในประเทศไทย”

 

 

ผลกระทบด้านเกษตรกรรม 

 

        ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ทำให้นาข้าวจมน้ำไปแล้วเกือบสิบล้านไร่ ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงหกล้านตัน หรือ หกพันล้านกิโลกรัม (ถ้านำข้าวจำนวนนี้มาแบ่งให้คนไทยทุกคนทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งหกสิบล้านคน จะได้ข้าวคนละประมาณ 100 กิโลกรัม) เมื่อผลการผลิตข้าวหายไปถึงหกล้านตันเช่นนี้ ทำให้เหลือข้าวส่งออกน้อยลง ข้าวจะขาดแคลนทั่วโลก ทำให้ข้าวขึ้นราคา ผู้บริโภคข้าวทั่วโลกจะได้รับผลกระทบกันหมด นี่ยังไม่นับผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆทั้งพืช ผัก ผลไม้ สารพัดชนิดที่จะกระทบกระเทือนไปหมด 

 

        เนื่องสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ของประเทศไทยมีผลกระทบต่อโลกอย่างมาก ทำให้สื่อมวลชนของประเทศต่างๆ รายงานข่าวน้ำท่วมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ที่ประเทศญี่ปุ่น สถานีโทรทัศน์ออกข่าวทุกวัน หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆถึงกับทำเป็นคอลัมน์พิเศษ รายงานความคืบหน้าของสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้น โลกกำลังจับตาดูประเทศไทยอยู่อย่างใกล้ชิด ความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจฝ่าวิกฤตน้ำท่วมให้ได้เร็วที่สุด และช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจให้การผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมเข้าสู่ภาวะปกติให้ได้เร็วที่สุด จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

 

 

        การที่ชาววัดพระธรรมกายและชาวคลองหลวง สามัคคีกันค้ำยันทำนบคลองระพีพัฒน์ ช่วงคลองหนึ่งถึงคลองสาม เพื่อลดผลกระทบของมวลน้ำจำนวนมหาศาลที่มีต่อกรุงเทพมหานครให้เหลือน้อยที่สุด เพราะกรุงเทพมหานคร คือ หัวใจของประเทศ เป็นขุมกำลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการฟื้นฟูแก้ไขปัญหาของทั้งประเทศ นอกจากนั้น วัดพระธรรมกายและมูลนิธิธรรมกายยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานราชการ ได้แก่ กรมทางหลวง สร้างสะพานเหล็ก ความยาวกว่า 35 เมตร และถมหินคลุกบนพื้นถนนให้สูงเท่ากับระดับความสูงของสะพานอีก 30 เมตร รวมความยาวกว่า 65 เมตร เป็นสะพานเชื่อมถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก หรือทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 กับอำเภอคลองหลวง เพื่อเปิดประตูให้ประชาชนสามารถสัญจรมายังตลาดไทซึ่งเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ อีกทั้งยังเป็นแหล่งเศรษฐกิจค้าขายนำเข้า-ส่งออกสินค้าแหล่งใหญ่อีกด้วย เพื่อที่จะช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจในภาพรวมให้ยังสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ ดังนั้น จึงไม่เป็นเพียงการช่วยประเทศไทยเท่านั้น แต่เท่ากับช่วยโลกทั้งโลกด้วย โดยเวลาสว่างในการเปิดสะพานอย่างเป็นทางการ คือ เวลา 18.00 น. หรือ หกโมงเย็นของวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2554

 

 

 

 

        เมื่อตอนเหตุการณ์สึนามิในเดือนธันวาคม พ.ศ.2542 พวกเราชาวไทยเคยทำให้ชาวโลกซาบซึ้งและชื่นชมในความสามัคคี, เสียสละ, มีน้ำใจของคนไทย มีเหตุการณ์เรื่องราวมากมายที่ชาวไทยได้สร้างความซาบซึ้ง, ความปีติใจต่อชาวโลก ดังเช่น เรื่องของชาวไทยคนหนึ่งที่บ้านถูกสึนามิพัดหอบไปทั้งหลัง เหลือแค่เสื้อผ้าที่ใส่ติดตัวกับรองเท้าแตะเก่าๆ 1 คู่ เมื่อเขาเดินไปตามถนนริมทะเลที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เห็นฝรั่งชาวสวีเดนคนหนึ่งที่ประสบภัยเช่นกันเดินเท้าเปล่าผ่านมา เขาสงสารฝรั่งคนนั้นที่ไม่คุ้นเคยกับการเดินด้วยเท้าเปล่าบนถนน เกรงเท้าจะเจ็บเป็นแผล จึงสละรองเท้าแตะของตนให้ฝรั่งคนนั้นใส่แทน ฝรั่งชาวสวีเดนคนนั้นซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ เมื่อกลับไปยังประเทศของตนก็ได้เล่าเรื่องราวนี้ให้กับสื่อมวลชนสวีเดนฟัง จนมีการเสนอข่าวใหญ่โต มีชาวสวีเดนนำช่อดอกไม้มาแสดงความขอบคุณในน้ำใจของชาวไทยที่มีต่อชาวสวีเดนที่สถานทูตไทยในสวีเดนเป็นพันๆคน ผลก็คือ หลังภัยสึนามิในครั้งนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวชาวสวีเดนที่มาประเทศไทย นอกจากจะไม่ลดลงแล้ว ยังกลับเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาซาบซึ้งในน้ำใจของคนไทย