ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 7


[ 28 ก.พ. 2550 ] - [ 18269 ] LINE it!

 
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  สุวรรณสาม   ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี  ตอนที่ 7
 
 
        ตอนที่แล้ว ทุกูลและปาริกาแม้จะแต่งงานแล้วก็มิได้ใส่ใจที่จะเข้าป่าล่าสัตว์ ซึ่งก็มักจะถูกบิดาเคี่ยวเข็ญให้ฝึกฝนอาชีพการล่าสัตว์บ่อยๆ แต่เขาก็ปฏิเสธทุกครั้งโดยเหตุผลว่า ชีวิตของใคร ใครก็รัก  สัตว์พวกนั้นมันก็รู้สึกหวาดกลัว รู้สึกเจ็บปวดเหมือนอย่างเรา  ลูกสงสาร ไม่อยากจะทำร้ายพวกมัน  แล้วในที่สุดทุกูละจึงขออนุญาตจากบิดาว่าว่า หากพ่อกับแม่อนุญาต ลูกและปาริกาก็จะขอออกบวช  บิดามารดาได้ฟังถ้อยคำของบุตรแล้วก็จนใจ จึงกล่าวอนุญาตอย่างจำยอมว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าทั้งสองก็จงออกบวชเถิด”

        ทั้งสองได้ยินบิดามารดากล่าวอนุญาตแล้วก็ดีใจ รีบกราบขอบพระคุณบิดามารดา เมื่อได้ร่ำลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงพากันเดินทางออกจากหมู่บ้าน มุ่งสู่หิมวันตประเทศ
 
        ในที่สุดก็มาถึงป่าหิมพานต์ มองเห็นอาศรมที่ว่างเปล่า และอักษรที่จารึกไว้ก็รู้ว่า เป็นอาศรมที่ท้าวสักกะเทวราชทรงประทานให้ เมื่อได้เห็นบริขารที่จัดวางไว้อย่างดี ทุกูละจึงเปลื้องเครื่องนุ่งห่มของตนออก แล้วทรงเพศบรรพชิต พาดหนังเสือบนบ่า ผูกมณฑลชฎาทรงเพศเป็นฤษี  ส่วนนางปาริกานั้นก็นุ่งห่มบริขารแล้วบวชเป็นฤษิณีเช่นเดียวกัน

        นับแต่นั้นมา ฤษีทั้งสองได้เจริญเมตตาอยู่ภายในอาศรมบทนั้น ด้วยอานุภาพแห่งกระแสเมตตาจากจิตอันบริสุทธิ์ ที่แผ่ครอบคลุมพื้นที่ป่าแห่งนั้น ได้บันดาลให้สัตว์น้อยใหญ่ แม้เป็นสัตว์ที่ดุร้าย   เมื่อพวกมันเข้ามาถึงอาณาเขตนั้น ก็จะมีเมตตาต่อกัน   อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

        ในแต่ละวัน ทุกูลฤษี และปาริกาฤษิณีนั้นมิได้มีกิจอย่างอื่น มีเพียงปัดกวาดทำความสะอาดเสนาสนะ เมื่อบริโภคอาหารขจัดความหิวกระหายแล้ว จากนั้น ท่านทั้งสองก็เข้าสู่บรรณศาลาเพื่อเจริญสมณธรรม ยังเวลาให้ล่วงไป ด้วยการนั่งสมาธิเจริญเมตตาภาวนา

        ฝ่ายท้าวสักกะเทวราช แม้จะทรงเป็นเทวราชาผู้เป็นใหญ่ในดาวดึงส์พิภพ พระองค์ก็มักจะเล็งแลมายังอาศรมบทนี้เสมอ และได้เสด็จมาสู่ที่บำรุงของฤษีทั้งสองอยู่บ่อยครั้ง 

        สองฤษีดำเนินชีวิตไปอย่างเรียบง่ายเช่นนี้ จนวันหนึ่ง ท้าวสักกะเทวราช ทรงมองเห็นว่าในอนาคตเบื้องหน้า ภัยอย่างหนึ่งจะเกิดขึ้นแก่พระฤษีทั้งสอง คือจักษุของท่านทั้งสองจะบอดสนิท

        เมื่อทรงเห็นดังนี้แล้ว จึงทรงมีดำริว่า “หากจักษุของสองฤษีมืดบอดเสียแล้ว ทั้งสองท่านก็คงไม่อาจดำรงชีวิตต่อไปได้ แต่เอาเถอะ เราจะประทานบุตรให้กับฤษีทั้งสอง เพื่อให้บุตรนั้นคอยปรนนิบัติดูแลท่านทั้งสองเมื่อภายหลังจากที่ตาบอดแล้ว” 

        ครั้นดำริฉะนี้แล้ว จึงออกจากวิมาน เสด็จมายังโลกมนุษย์ในทันที พระองค์ทรงมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าของทุกูลฤษี ครั้นแล้วจึงเสด็จเข้าไปนมัสการแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง 

        เมื่อผ่านการทักทายปราศรัยกันแล้ว ท้าวสักกะจึงตรัสเตือนทุกูลฤษีว่า   “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อีกไม่นานนับจากนี้ไป อันตรายจะเกิดขึ้นแก่ท่านทั้งสอง ควรที่ท่านทั้งสองจะได้บุตรไว้สำหรับปรนนิบัติดูแล ขอท่านทั้งสองจงเสพโลกธรรมเถิด”   

        ทุกูลฤษีสดับพระดำรัสของท้าวสักกะแล้ว ก็กล่าวทัดทานขึ้นว่า “ท่านท้าวมัฆวาน พระองค์ตรัสอะไรกัน เมื่อก่อนนี้ เราทั้งสองแม้ครั้งที่ยังครองเรือนอยู่ ก็หาได้เสพโลกธรรมอย่างที่สามีภรรยากระทำต่อกันไม่  เราทั้งสองรังเกียจการประกอบกรรมฉันสามีภรรยายิ่งนัก ไม่ต่างอะไรกับเกลียดคูถที่เน่าเหม็น ก็บัดนี้เราทั้งสองเข้าป่า บวชเป็นฤษีแล้ว พระองค์จะให้พวกเราทำกรรมเช่นนั้นได้อย่างไร”

        ท้าวสักกะจึงทรงให้คำแนะนำว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ เพียงแต่เอามือลูบที่ท้องของปาริกาฤษิณีในเวลาที่นางมีระดู เพียงเท่านี้นางก็จะตั้งครรภ์”  
  
        ทุกูลฤษีได้ฟังดำรัสอย่างนั้นแล้วก็เบาใจ จึงรับคำว่า “ถ้าให้ทำเพียงเท่านี้ ก็อาจจะกระทำได้”

        เมื่อท้าวสักกะเทวราชเสด็จกลับไปยังที่อยู่ของพระองค์แล้ว ทุกูลดาบสจึงได้นำความของท้าวสักกะไปแจ้งแก่ปาริกาฤษิณี

        ครั้นในเวลาที่นางมีระดู นางจึงแจ้งให้ทุกูลฤษีทราบ สองฤษีจึงได้กระทำตามคำแนะนำของท้าวสักกะทุกประการ

        ในกาลนั้น พระบรมโพธิสัตว์ได้จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในท้องของนางปาริกาฤษิณี  นางตั้งครรภ์โดยวิธีที่น่าอัศจรรย์แตกต่างจากการตั้งครรภ์ของสตรีทั่วไป 

        เมื่อแรกรู้ว่าลูกน้อยบังเกิดขึ้นในครรภ์ สัญชาติญาณแห่งความเป็นมารดาได้ก่อกำเนิดขึ้น ความรักบุตรในอุทรบังเกิดขึ้นจนท่วมท้นดวงใจของผู้เป็นมารดา

        นางเฝ้าทนุถนอมลูกน้อยในครรภ์ด้วยความรัก  จนกระทั่งวันเวลาล่วงเลยไปได้ 10 เดือน นางจึงให้กำเนิดบุตรเป็นทารกเพศชาย ทารกน้อยมีผิวพรรณที่ผุดผ่องยิ่งนัก ประหนึ่งทองคำที่ออกจากเบ้าหลอม ด้วยเหตุนี้ฤษีทั้งสองจึงขนานนามให้ว่า สุวรรณสามกุมาร

        นับตั้งแต่พระโพธิสัตว์บังเกิดขึ้น ก็ได้รับการเลี้ยงดูจากสองฤษีด้วยความรัก แม้จะอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร หากแต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่เคยต้องลำบาก เพราะบิดามารดาจะเฝ้าทนุถนอมเลี้ยงดูเป็นอย่างดี 

        ยามใดที่ต้องออกไปหามูลผลาผลในป่า นางปาริกาฤษิณีจะให้กุมารนอนบนที่นอนอ่อนนุ่มในบรรณศาลา

        ครั้นสองฤษีคล้อยหลังไปแล้ว เหล่านางกินรีซึ่งมักจะซ่อนตัวอยู่แต่ภายในหุบเขาอันสูงชัน จะพากันมายังอาศรมบทแล้วทำหน้าที่เป็นนางนม คอยเลี้ยงดูพระโพธิสัตว์เป็นอย่างดี

        ต่อจากนั้น เหล่ากินรีทั้งหลายจะอุ้มกุมารไปอาบน้ำชำระร่างกาย ด้วยน้ำที่ใสสะอาดที่ซอกเขา    แล้วก็จะพาขึ้นสู่ยอดเขา เพื่อเที่ยวเล่น ประดับประดาร่างกายด้วยบุปผชาติที่ล้วนมีกลิ่นหอม

        เมื่อถึงเวลาที่สองฤษีจะกลับมา พวกนางกินรีก็จะประแป้งที่ทำจากฝุ่นหินมโนศิลาที่ใบหน้า จากนั้นจึงนำพระโพธิสัตว์พากลับมาส่งยังอาศรม 

        ฝ่ายนางปาริกาฤษิณี เมื่อกลับมาถึงอาศรมแล้ว นางจะรีบเข้าไปหาลูกเป็นสิ่งแรก เห็นลูกน้อยได้อาบน้ำชำระร่างกาย ได้รับการประแป้งเรียบร้อย ก็รู้ว่าเป็นความเมตตาของกินรีทั้งหลายที่ช่วยดูแลลูกน้อยให้ เพราะเคยเห็นนางกินรีมาเที่ยวเล่นกับสุวรรณสามบ่อยครั้ง

        ครั้นเห็นลูกน้อยปลอดภัยเป็นปกติดีก็หายห่วงใย จึงให้ลูกดื่มนม พร้อมทั้งเห่กล่อมให้ลูกน้อยนอนหลับในอ้อมอกอุ่น  วิถีชีวิตของสองฤษีและลูกน้อยได้ดำเนินไปอย่างสงบและอบอุ่นเยี่ยงนี้เรื่อยมา แต่ต่อมาไม่นานนัก มรสุมร้ายก็พัดเข้ามาสู่อาศรมจนได้ แต่จะเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป      
 
โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 8ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 8

ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 9ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 9

ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 10ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 10



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก