คิดผิดคิดใหม่ได้ (๒)


[ 21 ก.พ. 2556 ] - [ 18263 ] LINE it!

คิดผิดคิดใหม่ได้ (๒)
 
 
 
     การดำเนินชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยในสังสารวัฏนั้น เราจะต้องรู้เท่าทันอาสวกิเลส รู้ว่าสิ่งไหนเป็นบุญ สิ่งไหนเป็นบาปอกุศล แล้วดำรงตนให้อยู่ในเส้นทางแห่งบุญ เส้นทางแห่งความดี ความไม่รู้เป็นมลทินของชีวิต เพราะถ้าไม่รู้แล้ว จะทำให้เราพลาดพลั้งไปทำบาปอกุศล ทำให้ชีวิตมัวหมองได้  เมื่อไม่รู้ก็ต้องแสวงหาผู้รู้ เข้าไปสอบถามสิ่งที่สงสัย ที่สำคัญคือ ต้องหมั่นเข้าไปหาผู้รู้ภายใน คือพระธรรมกาย ด้วยวิธีการหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพื่อแสวงหาความรู้แจ้งที่เกิดจากปัญญาอันบริสุทธิ์ และเมื่อเราเข้าถึงผู้รู้แจ้งภายใน เราจะได้รับคำตอบของชีวิตที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง
 
     พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสกับพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญา มีปรากฏใน มหาสีหนาทสูตร ความว่า
 
     "ดูก่อนสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ว่า  บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินชีวิตอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก  โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้นหลังจากตายไปแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แล้วเสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้าเผ็ดร้อนโดยส่วนเดียว  ด้วยธรรมจักขุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ทั้งหลาย"
 
     การเข้าไปรู้ไปเห็นภพภูมิที่ละเอียดประณีต ไม่ว่าจะเป็นสุคติภูมิ หรือทุคติภูมิ สามารถรู้เห็นได้ด้วยธรรมจักขุ และญาณทัสสนะของพระธรรมกาย ที่ปราศจากเมฆหมอกของกิเลสอาสวะ ผู้ที่รู้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้ยังมีอยู่ในโลก แม้พวกเราทุกคนก็สามารถไปรู้ไปเห็นสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน เมื่อเราเข้าถึงธรรมกายและได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย ก็จะรู้เห็นได้ด้วยตัวเอง เมื่อรู้เองเห็นเองก็จะหายสงสัย ถ้ายังไม่รู้ไม่เห็นก็จะเป็นอย่างพระเจ้าปายาสินั่นเอง
 
     ในคราวที่แล้วได้เล่าว่า แม้พระกุมารกัสสปเถระได้ตอบคำถามเรื่องคนตกนรก ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาบอกคนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ อุปมาเหมือนโจรกำลังจะถูกประหาร ย่อมไม่ได้รับการปล่อยตัว และคนที่ไปเกิดบนสวรรค์ก็ไม่อยากจะลงมาบอก เพราะโลกมนุษย์มีกลิ่นเหม็น อุปมาเหมือนคนขึ้นจากหลุมคูถแล้ว ก็ไม่อยากจะลงไปในหลุมคูถนั้นอีก ถึงกระนั้นพระเจ้าปายาสิก็ยังไม่ยอมแพ้พระเถระ จึงยกปัญหาขึ้นถามอีกว่า
 
     * “ที่พระคุณเจ้ากล่าวทั้ง ๒ ประการนั้นก็พอรับฟังได้ แต่โยมอยากจะรู้อีกประการหนึ่ง โยมเห็นญาติสาโลหิตเป็นไข้ คนกลุ่มนี้ใจเขาเป็นบุญกุศลสั่งสมความดีมาตลอดชีวิต เมื่อหมอลงความเห็นว่า พวกเขาป่วยหนักไม่มีโอกาสรอดแน่นอน โยมจึงเข้าไปหาเขาเหล่านั้น ขอร้องว่า "ดูก่อนท่านผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งชอบสั่งสอนมนุษย์โดยเอาสุคติโลกสวรรค์เป็นเครื่องล่อว่า บุคคลที่ประกอบการกุศล งดเว้นจากการทำบาปทุกอย่าง  เมื่อตายไปแล้วจักได้เกิดเป็นชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตัวท่านเองก็เป็นคนชอบทำบุญมากคนหนึ่ง ถ้าหากสวรรค์มีจริง ท่านต้องไปเกิดที่นั้นแน่นอน ถ้าอย่างไรขอท่านกรุณากลับมาบอกด้วยเถิด แล้วเราจะเชื่อว่า สวรรค์นั้นมีจริง สั่งเช่นนี้ไปกี่คนๆ ก็ไม่เห็นกลับมาบอกสักคน โยมจึงมั่นใจว่า โลกหน้าไม่มี สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี"
 
     พระกุมารกัสสปเถระตอบว่า “มหาบพิตรอย่าเพิ่งด่วนสรุปลงความเห็นอย่างนั้น พระองค์ทรงตั้งใจฟังข้อความนี้ก่อน ๑๐๐ ปีของหมู่มนุษย์เท่ากับ วันหนึ่งคืนหนึ่ง ซึ่งเป็นวันคืนที่เป็นทิพย์ของพวกเทวดา ๓๐ ราตรีทิพย์เป็นหนึ่งเดือนทิพย์ ๑๒ เดือนทิพย์เท่ากับ ๑ ปีทิพย์ และ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์คืออายุของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ญาติสาโลหิตของพระองค์ที่เป็นคนดีมีศีลธรรม ครั้นเขาตายจากโลกมนุษย์ มีโอกาสไปอุบัติเป็นเทพชั้นดาวดึงส์ เขาย่อมตื่นตะลึงด้วยทิพยสมบัติอันน่าดูน่าชม เพลิดเพลินอยู่กับสุขที่เป็นทิพย์ซึ่งตนเองได้มาใหม่ๆ แม้จะระลึกถึงคำสั่งของพระองค์ได้ ย่อมผัดผ่อนว่า รออีกสักวันสองวันก่อน แล้วเราจะย้อนไปบอกพระเจ้าปายาสิ เพื่อจะให้พระองค์รับรู้ผลของกรรมดีที่มีอยู่จริง ดังที่สมณพราหมณ์พูดไว้ เมื่อเป็นเช่นนั้น มหาบพิตรจะรอคอยคำบอกเล่าของเทวดาเหล่านั้นได้ไหมเล่า”
 
     พระเจ้าปายาสิถึงกับอุทานว่า “จะรอคอยได้อย่างไรเล่า พระคุณเจ้า  สองสามวันของพวกเขา ก็คงเป็น ๒๐๐-๓๐๐ ปีของเรา” ครั้นพูดจบ พระองค์ได้แต่นิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อตั้งหลักได้ ทรงพูดขึ้นว่า “ท่านกัสสปะ ที่ท่านว่ามาเมื่อสักครู่ก็น่าจะเป็นไปได้ แต่ตัวโยมเองก็ยังสงสัยว่า เทวดามีจริงหรือ และอย่างที่พระคุณเจ้าบอกว่า เทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีอายุเท่านั้นเท่านี้ จะรู้ได้อย่างไรเล่าพระคุณเจ้า ว่าสิ่งนั้นเป็นจริงหรือเป็นเท็จ”
 
     พระเถระตอบว่า “มหาบพิตร มีบุรุษคนหนึ่งตาบอดตั้งแต่เกิด เขาไม่เคยเห็นสีดำ สีขาว สีเหลือง สีแดง ไม่เคยเห็นพระจันทร์ พระอาทิตย์ ถ้าเขาพูดว่า พระจันทร์ พระอาทิตย์ สีเขียว สีแดงไม่มี และผู้ที่เห็นสิ่งเหล่านั้นก็ไม่มี บุรุษตาบอดจะสรุปเช่นนั้นได้ไหมมหาบพิตร” พระเจ้าปายาสิตอบทันทีว่า “จะสรุปอย่างนั้นไม่ได้ ท่านกัสสปะ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่ และผู้ที่มีตาดีต่างเห็นสิ่งเหล่านั้น มีเพียงคนตาบอดเท่านั้นที่ไม่เห็น”
 
     พระเถระพูดทันทีว่า “มหาบพิตรก็เปรียบเหมือนคนตาบอดนั่นแหละ เพราะพระองค์ปฏิเสธสิ่งที่ไม่รู้ไม่เห็น ไม่เชื่อว่าเทวดามีจริงหรือเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุเท่านั้นเท่านี้ สภาวะภพภูมิเป็นเช่นนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเห็นได้ด้วยมังสจักษุที่เป็นตาเนื้อธรรมดานั้นไม่ได้ แต่สมณพราหมณ์ที่พอใจอยู่ในเสนาสนะอันสงัด เป็นผู้ไม่ประมาทประกอบความเพียรอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งบรรลุถึงขั้นทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ที่เกินกว่าจักษุธรรมดาของหมู่มนุษย์ สมณพราหมณ์พวกนั้นย่อมแลเห็นทั้งโลกนี้โลกหน้า และสามารถแลเห็นเหล่าสัตว์ผู้จุติหรืออุบัติได้”
 
     พระเจ้าปายาสิถูกเปรียบเหมือนคนตาบอดเช่นนั้น ทรงนิ่งอึ้งไป แต่ยังไม่ยอมจำนน จึงถามเรื่องอื่นต่อไปว่า “สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นก็น่ารับฟัง แต่โยมเห็นสมณพราหมณ์ในโลกนี้ เป็นผู้มีศีลมีธรรมอันงาม ตลอดชีวิตได้สั่งสมแต่คุณความดี เป็นที่เคารพของปวงชนทั้งหลาย แต่สมณพราหมณ์เหล่านั้นดูมีความสุขน้อยกว่าโยมมากมายก่ายกอง ถึงอย่างนั้นโยมก็เห็นเขาอยากมีชีวิตอยู่ โยมจึงมีความเห็นว่า เมื่อท่านเหล่านั้นรู้แน่แก่ใจว่า ตายแล้วจะได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์แน่นอน ทำไมยังอยากอยู่เป็นมนุษย์ ทำไมไม่รีบดื่มยาพิษหรือเอามีดมาเชือดคอตาย จะได้ไปเสวยสุขบนสรวงสวรรค์ ฉะนั้น การที่สมณพราหมณ์เหล่านั้นยังอยากมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะเป็นเหตุเป็นผลว่า แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่า เมื่อตายแล้วจะได้ไปบนสวรรค์หรือไม่”
 
     ตราบใดที่ใจยังไม่หยุดนิ่งก็จะสงสัยเช่นนี้แหละ แต่หากบุคคลใดมีใจที่บริสุทธิ์ หยุดนิ่งอยู่ตรงกลาง บุคคลนั้นย่อมจะเห็นทุกสิ่งไปตามความเป็นจริง และจะหายสงสัย จะเกิดกรุณาต่อผู้มีปัญหาเหล่านี้ว่า ช่างน่าสงสารเสียจริง พระเถระที่สงสารอยากจะสงเคราะห์ผู้ไม่รู้ จึงตอบว่า "มหาบพิตร อาตมาจะอุปมาให้ฟัง พราหมณ์คนหนึ่งมีภรรยาสองคน ภรรยาคนหนึ่งมีลูกชายอายุได้ ๑๐ หรือ ๑๒ ขวบ ส่วนภรรยาอีกคนกำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอด ต่อมาพราหมณ์สามีเสียชีวิตลง ลูกชายคนโตจึงพูดกับแม่เลี้ยงว่า “ทรัพย์สมบัติของพ่อเป็นของฉันทั้งหมด ขอแม่จงมอบมรดกให้ฉันเถิด"
 
     แม่เลี้ยงตอบว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้รอก่อนนะลูกนะ ถ้าแม่คลอดน้องเจ้าเป็นชาย ก็จะได้แบ่งกันคนละครึ่ง” ลูกชายฟังเช่นนั้นก็อยากรู้เร็วๆ ว่า น้องที่เกิดมาเป็นหญิงหรือชาย สร้างความลำบากใจให้แม่เลี้ยงมาก นางจึงเอามีดแหวะท้องของตน เพื่อจะได้รู้ว่าลูกเป็นหญิงหรือเป็นชาย และได้เสียชีวิตลงด้วยการกระทำเช่นนั้น ฉันใด หากว่ามหาบพิตรจะเกณฑ์ให้สมณพราหมณ์ผู้มีศีลมีธรรมงาม พากันรีบฆ่าตัวตายเพื่อจะได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสุคติโลกสวรรค์ ก็เหมือนเกณฑ์ให้ท่านเหล่านั้น เป็นผู้งมงายเหมือนนางพราหมณีนั่นแหละ สมณพราหมณ์ผู้มีศีลมีธรรม ผู้เป็นบัณฑิต จะเป็นผู้ไม่บ่มผลที่ยังไม่สุกให้สุก แต่ย่อมจะรอผลที่สุกตามกาล ชีวิตของผู้มีศีลนั้นรู้คุณค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ดังนั้น แม้จะดำรงชีวิตอยู่อีกนานเท่าใด ท่านย่อมมีโอกาสได้สั่งสมบุญมากเท่านั้น และประพฤติตนเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่คนหมู่มากฉันนั้น”
 
     พระเจ้าปายาสิฟังคำชี้แจงของพระเถระ รู้สึกพอพระทัยในคำตอบ แต่ยังไม่หมดความสงสัย ยังมีความสงสัยค้างคาใจอีกหลายเรื่อง ซึ่งหลวงพ่อจะนำมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป  สิ่งเหล่านี้ทุกคนคงจะตระหนักอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่มี ผู้รู้ผู้บริสุทธิ์ที่ท่านมีรู้มีญาณยังมีอยู่ และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้จริงถ้าเราตั้งใจจะพิสูจน์  เมื่อสงสัยพุทธวาทีก็ต้องพิสูจน์ด้วยพุทธวิธี และการพิสูจน์ที่ดีที่สุด คือการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย แล้วไปค้นคว้าเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง สิ่งนี้กำลังรอคอยการพิสูจน์จากพวกเราอยู่ เมื่อเราเข้าไปรู้ไปเห็นแล้ว จะได้เกิดกำลังใจในการทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป  หลวงพ่อก็กำลังรอพวกเราให้มาพิสูจน์กันทั้งโลก เราจะได้หายสงสัย และตั้งใจสร้างบารมีกันให้เต็มที่ทุกคน

 
พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
 
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 
 
* มก. เล่ม ๑๔ หน้า ๓๗๖
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
คิดผิดคิดใหม่ได้ (๓)คิดผิดคิดใหม่ได้ (๓)

คิดผิดคิดใหม่ได้ (๔)คิดผิดคิดใหม่ได้ (๔)

กำเนิดสุริยคราสกำเนิดสุริยคราส



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน