ยอดผู้นำ และผู้บริหาร


[ 16 ส.ค. 2556 ] - [ 18263 ] LINE it!

ยอดผู้นำ และผู้บริหาร
 
 
     ทุกสรรพชีวิตล้วนมีพื้นฐานเหมือนกัน เพราะต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น ตั้งแต่วันแรกเกิดจนกระทั่งหลับตาลาโลก ชีวิตล้วนมีความทุกข์เป็นพื้นฐาน เช่นเดียวกับโลกนี้ที่มีความมืดเป็นพื้นฐาน แต่ที่เราเห็นแสงสว่างเพราะมีแสงจันทร์ แสงอาทิตย์หรือแสงไฟ จึงทำให้โลกของเราสว่างไสวได้ ในความเป็นจริงของชีวิต โลกภายในของเรามีแสงแห่งธรรมที่เป็นความสว่างไม่มีประมาณ สว่างกว่าพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ความสว่างด้วยแสงแห่งธรรมนี้ จะทำให้ชีวิตของเราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้  ดังนั้น ขอให้พวกเราตระหนักถึงคุณค่าของการปฏิบัติธรรมให้ดีกันทุกคน
 
มีวาระแห่งภาษิตที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน กปิชาดก ความว่า
 
     “คนพาลสำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต บริหารหมู่คณะ ลุอำนาจความคิดของตน คงนอนตายเหมือนกับกระบี่ตัวนี้ คนโง่แต่มีกำลัง บริหารหมู่คณะไม่ดี ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่หมู่ญาติ เหมือนนกต่อไม่เป็นประโยชน์แก่นกทั้งหลาย ส่วนคนฉลาด มีกำลังบริหารหมู่คณะดี เป็นประโยชน์แก่หมู่ญาติ เหมือนท้าววาสวะเป็นประโยชน์แก่ทวยเทพฉะนั้น”
 
     บุคคลใดก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้า หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่าผู้บริหารนั้น จะต้องเป็นผู้ที่ฉลาดรอบรู้ในทุกๆ เรื่อง และจะต้องเป็นผู้ที่สุขุมรอบคอบ จึงจะประคับประคองหมู่คณะให้รอดพ้นจากภัยทั้งปวงได้ หากหน่วยงานใดได้นักบริหารที่ไม่ใช่บัณฑิต ไม่รอบรู้ และประมาทเลินเล่อแล้ว นั่นคือสัญญาณอันตรายของหมู่คณะ เหมือนกริ่งเตือนภัยเริ่มดังขึ้นแล้ว ดังนั้น เราจะต้องระมัดระวัง และเลือกผู้นำให้ดี
 
     * ดังเรื่องที่พระภิกษุทั้งหลายได้สนทนากันที่โรงธรรมสภา ถึงเรื่องของพระเทวทัตที่ถูกแผ่นดินสูบว่า พระเทวทัตนั้น นอกจากทำตนให้เสียหายแล้ว ยังทำให้หมู่คณะที่หลงเชื่อตน พลอยได้รับความเสื่อมเสียอีกด้วย ต่อมาพระบรมศาสดาได้เสด็จมา จึงตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกำลังนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร” เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นกราบทูลเรื่องที่สนทนากัน พระพุทธองค์ทรงปรารถนาจะยกเรื่องนี้ให้เป็นอุทาหรณ์ จะได้แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อเป็นข้อคิด พระองค์จึงทรงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตพร้อมกับบริษัทของเธอไม่ใช่จะเสียหายในภพชาตินี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนก็พินาศมาแล้วเหมือนกัน” จากนั้นพระองค์ทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่าว่า
 
     พระชาติหนึ่ง พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดของกระบี่มีบริวาร ๕๐๐ ตัวอาศัยอยู่ในพระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นพญากระบี่ที่ฉลาดมองการณ์ไกล และเป็นสัตว์ที่ไม่เคยมองข้ามภัยแม้เพียงเล็กน้อย บริวารทุกตัวของพระโพธิสัตว์ต่างเชื่อฟังคำพูดของพระโพธิสัตว์ ฝ่ายพระเทวทัตก็เกิดในกำเนิดของกระบี่ และมีบริวารถึง ๕๐๐ ตัวเช่นกัน อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงภายในอุทยานแห่งนั้น วันหนึ่ง กระบี่เกเรตัวนี้ ได้เดินนำหน้าฝูงไปนั่งเจ่าอยู่ที่ซุ้มยอดเสาตรงประตูอุทยาน ขณะนั้นปุโรหิตเดินผ่านมาพอดี ด้วยความคึกคะนอง กระบี่จอมเกเรนี้ได้ถ่ายรดศีรษะของปุโรหิตทันที
 
     ปุโรหิตสงสัยว่าอะไรตกใส่ศีรษะ จึงแหงนหน้าขึ้นไปมอง กระบี่เห็นปุโรหิตแหงนหน้ามองขึ้นมา ก็ยิ่งหมั่นไส้ จึงถ่ายรดลงอีก เมื่อโดนดีถึง ๒ ครั้งก็รู้ว่า เจ้ากระบี่นี้คิดกลั่นแกล้งเรา ด้วยความโกรธ จึงกล่าวคำอาฆาตกระบี่ทั้งหมดว่า “พวกเจ้าแกล้งเถิด แล้ววันหลังเราจะมาเอาคืนบ้าง” ในใจของปุโรหิตมีแต่ความอาฆาตตลอดเวลา ไม่เคยลืมสิ่งที่กระบี่ทำกับตนเลย ไม่ได้คิดแยกแยะ จะล้างแค้นกระบี่ทั้งหมด ทั้งๆ ที่กระบี่ที่ทำให้ตนเดือดร้อนมีอยู่ตัวเดียวเท่านั้น
 
     ส่วนพระโพธิสัตว์ผู้เป็นพญากระบี่ เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ฉุกคิดขึ้นในทันทีว่า “ลางร้ายของหมู่กระบี่ทั้งปวงได้เริ่มขึ้นแล้ว เพราะการกระทำของกระบี่พาลตัวเดียวเท่านั้น การที่หมู่คณะเราทั้งหมดจะอาศัยอยู่ย่อมไม่สมควรอย่างยิ่ง จึงบอกกระบี่ทั้งหนึ่งพันตัวว่า “ผองเพื่อนกระบี่ทั้งหลาย  วันนี้ พวกเราคงเห็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงแล้ว เหตุการณ์นี้นับเป็นลางร้ายของหมู่คณะอย่างยิ่ง การอาศัยอยู่ในถิ่นของผู้ที่อาฆาตมาดร้าย และจองเวรเช่นนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง พวกเราทั้งหมดพากันย้ายที่อยู่อาศัยไปที่อื่นเถิด”  เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวจบแล้ว กระบี่ที่หัวดื้อพากันถือมานะทิฐิไม่ยอมฟังคำแนะนำ แม้แต่หัวหน้าของเหล่ากระบี่นั้น ก็ไม่ได้มองเห็นภัยแต่อย่างใด ยังคงตอบด้วยกำลังแห่งมานะความถือตัวว่า “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยหรอก พวกเราจะตัดสินใจกันเอง”
 
     พระโพธิสัตว์ฟังดังนั้น จึงพาบริวารที่เชื่อฟังผู้นำอย่างพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕๐๐ ย้ายที่อยู่ จากอุทยานเข้าไปอยู่ในป่าลึก ปุโรหิตครุ่นคิดหาแผนการที่จะทำลายหมู่กระบี่ทั้งหลายให้ได้ จนกระทั่งเวลาที่ปุโรหิตรอคอยก็มาถึง วันหนึ่ง แพะตัวหนึ่งกินข้าวเปลือกที่นางทาสีคนหนึ่งตากแดดไว้ ขณะเดียวกันนั้นนั่นเอง นางทาสีเหลือบไปเห็น จึงใช้ดุ้นฟืนที่มีไฟติดตีที่ตัวแพะ ทำให้ไฟไหม้แพะ มันจึงวิ่งไปหาที่ถูตัวเพื่อจะดับไฟ วิ่งไปถึงกระท่อมหญ้าหลังหนึ่ง มันรีบถูตัวกับกระท่อมเพื่อให้ไฟที่ไหม้ขนของมันดับ กระท่อมหญ้าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
 
     เมื่อแพะสีตัวกับกระท่อม ไฟก็ลุกไหม้กระท่อมหญ้าทันที เป็นเหตุบังเอิญอีกเช่นกันที่กระท่อมหญ้าหลังนั้นอยู่ติดกับโรงช้างของพระราชา  เมื่อไฟติดที่กระท่อมหญ้าแล้ว ได้ลุกลามไปยังโรงช้าง  ไฟได้ลุกไหม้เป็นทะเลเพลิง ในโรงช้างมีช้างอยู่หลายเชือก เมื่อไฟไหม้โรงช้างก็ลามไปไหม้บนหลังช้างอีก ทำให้ช้างได้รับบาดเจ็บ หมอหลวงจึงต้องรักษาพยาบาลช้าง ทำให้เกิดความโกลาหลเป็นการใหญ่
 
     ฝ่ายปุโรหิตคิดจะกำจัดกระบี่ทั้งหมดอยู่แล้ว เมื่อพระราชามีพระกระแสรับสั่งว่า “ท่านอาจารย์ วันนี้ช้างเราถูกไฟไหม้ไปหลายเชือก ท่านพอมียาดีที่จะรักษาให้หายเร็วๆ บ้างหรือไม่” ปุโรหิตฟังดังนั้น เกิดความคิดขึ้นมาทันทีว่า เราได้โอกาสแก้แค้นพวกกระบี่แล้ว จึงรีบทูลพระราชาทันทีว่า “ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์รู้จักยาที่จะรักษาบาดแผลของช้างให้หายเป็นปกติในเร็ววันนี้ได้ ซึ่งยานี้จะต้องใช้มันเหลวของกระบี่ทั้งหลายเป็นส่วนประกอบพระเจ้าข้า” พระราชาสดับดังนั้น จึงตรัสถามว่า “แล้วเราจะหากระบี่ได้ที่ไหนเล่า” ปุโรหิตทูลว่า “ในพระราชอุทยานของพระองค์มีอยู่มากมายพระเจ้าข้า” พระราชาจึงมีรับสั่งให้นายขมังธนูทั้งหลายไปจับกระบี่ทั้งหมด เพื่อนำมันเหลวของมันมาทำยารักษาแผลของช้าง
 
     นายขมังธนูพากันก็เดินทางไปที่พระราชอุทยาน แล้วยิงกระบี่ทั้ง ๕๐๐ ตัว ส่วนหัวหน้ากระบี่ที่หัวดื้อไม่เชื่อฟังพระโพธิสัตว์ ก็ถูกยิงบาดเจ็บสาหัส ได้ประคับประคองตัวหลบหนีไปไม่ยอมล้มตายในที่นั้น กระเสือกกระสนจนกระทั่งถึงที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ เมื่อไปถึงยังไม่ทันมีโอกาสพูด ก็ล้มลงขาดใจตายทันที บริวารของพระโพธิสัตว์เห็นเช่นนั้น จึงเล่าเรื่องราวให้พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ห้อมล้อมด้วยหมู่บริวารทั้งหลาย ได้กล่าวว่า “ธรรมดา พวกที่ไม่ยอมเชื่อโอวาทของบัณฑิตทั้งหลาย ย่อมประสบกับความพินาศเช่นนี้”
 
     เมื่อจะถือโอกาสนี้ว่ากล่าวตักเตือนบริวารของตน พระโพธิสัตว์จึงกล่าวให้โอวาทด้วยความปรารถนาดีว่า “ผู้ที่จองเวรอยู่ในที่ใดก็ตาม เราไม่ควรอยู่ในที่นั้น จะอยู่เพียงคืนสองคืนก็เป็นทุกข์ คนที่เป็นหัวหน้ามีใจไม่หนักแน่น เบาใจคล้อยเชื่อง่าย สาเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ก็สามารถที่จะให้หมู่ญาติพินาศได้ เหมือนกระบี่ตัวนี้ทำให้บริวารทั้งหลายต้องเดือดร้อนตามไปด้วย
 
     คนพาลไม่มีปัญญา และไม่ยอมฟังความคิดเห็นของผู้อื่น บุคคลเช่นนี้จะเป็นผู้นำและผู้บริหารที่ดีไม่ได้ ส่วนผู้ใดก็ตาม มีศีล ปัญญา สุตะ จะเป็นยอดผู้นำและผู้บริหารที่ดี เพราะผู้นั้นจะประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น เพราะฉะนั้น บัณฑิตนักปราชญ์ควรจะชั่งใจตรวจตราดูศีล ปัญญา สุตะ จึงบริหารหมู่คณะและนำพาให้หมู่คณะเจริญรุ่งเรืองได้” ตั้งแต่บัดนั้น วานรทุกตัวต่างอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ทำให้หมู่คณะอยู่อย่างมีความสงบสุขตลอดมา
 
     จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่ายอดผู้นำและนักบริหารที่ดีนั้น จะต้องเป็นอย่างที่พระโพธิสัตว์กล่าวถึง คือ มีทั้งศีล ปัญญา และสุตะ คือการฟัง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นเบื้องต้น และเป็นผู้ที่รอบรู้ในทุกๆ เรื่อง ไม่มองข้ามภัยแม้เล็กน้อย จึงจะสามารถประคับประคองหมู่คณะให้รอดพ้นภัยทั้งหลายได้  เราต้องหมั่นสำรวจตัวของเราให้เป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมเสมอ และหมั่นฝึกฝนอบรมตนเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปตามแบบอย่างพระโพธิสัตว์กันทุกคน

 
พระธรรมเทศนาโดย: หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๕๙ หน้า ๒๙๘
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
คนโง่ได้ยศก็ไม่เกิดประโยชน์คนโง่ได้ยศก็ไม่เกิดประโยชน์

ผู้เสียหายทั้งสองทางผู้เสียหายทั้งสองทาง

ละความโกรธกันเถิดละความโกรธกันเถิด



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน