ถึงพระรัตนตรัยอยู่ไกลก็เหมือนใกล้


[ 11 ก.ย. 2557 ] - [ 18269 ] LINE it!

ถึงพระรัตนตรัยอยู่ไกลก็เหมือนใกล้

     ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในวัฏสงสาร และเป็นทางมาแห่งบุญกุศลอันไม่มีประมาณ ภัยทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นภัยในชีวิต ภัยในอบาย และภัยที่ชาวโลกทั้งหลายมองว่าน่ากลัวที่สุด คือ มรณภัย ภัยจากความตาย และความทุกข์ทรมานหลังความตาย แต่เมื่อเข้าถึงพระรัตนตรัย ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้ว ภัยทั้งหลายเหล่านั้นจะไม่มีทางทำอันตรายใดๆ ได้เลย และเราจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับภัยเหล่านั้นได้อย่างองอาจกล้าหาญ โดยไม่หวั่นไหวเกรงกลัวแต่อย่างใด

     เมื่อเราเข้าถึงพระรัตนตรัย ท่านจะช่วยเราขจัดทุกข์โศกโรคภัยได้ และที่สำคัญยังเป็นแหล่งกำเนิดแห่งบุญกุศลอันยิ่งใหญ่อีกด้วย เพราะพระรัตนตรัยเป็นศูนย์รวมของความดี ของอานุภาพที่ไม่มีประมาณ เป็นทางไหลผ่านของสายธารแห่งบุญที่มาสู่กายมนุษย์ได้อย่างเต็มที่

     ฉะนั้น เราควรให้ความสำคัญให้มากกับศูนย์กลางกาย และพระรัตนตรัยในตัว โดยหมั่นเจริญสมาธิภาวนาให้มากๆ แล้วเราจะได้ที่พึ่งอันเกษม ที่เป็นทางมาแห่งบุญใหญ่อีกด้วย

มีวาระแห่งพุทธพจน์ที่ปรากฏใน ขุททกนิกาย อปทาน ความว่า

   “อตีตํ นานฺวาคเมยฺย         นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ
     ยทตีตมฺปหีนนฺตํ             อปฺปตฺตญฺจ อนาคตํ
   ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ     ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ
    อสํหิรํ อสงฺกุปฺปํ             ตํ วิทฺธา มนุพฺรูหเย
      อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ         โก ชญฺญา มรณํ สุเว
    น หิ โน สงฺครนฺเตน         มหาเสเนน มจฺจุนา
  เอวํ วิหาริมาตาปึ            อโหรตฺตมตนฺทิตํ
     ตํ เว ภทฺเทกรตฺโตติ         สนฺโต อาจิกฺขเต มุนิ

     บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง

     ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน บุคคลนั้นเมื่อรู้แจ้งธรรมนั้นแล้ว ควรเจริญธรรมนั้นไว้เนืองๆ ความเพียรควรทำเสียในวันนี้แหละ เพราะใครเล่า จะพึงรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่งนี้ การผัดเพี้ยนต่อพญามัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มี มุนีผู้สงบระงับ ย่อมกล่าวสรรเสริญบุคคลผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเพียรเผากิเลส ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน”

     การเจริญสมาธิภาวนาในปัจจุบันนี้ เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายกันโดยทั่วไป เราสามารถจะทำสมาธิที่ไหนก็ได้ ที่ทำแล้วเรามีใจสงบหยุดนิ่งได้เร็ว เพราะความเพียรปรารภเมื่อใด ผลของความเพียรก็ย่อมปรากฏแก่ผู้นั้น และจะเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดแก่สรรพสัตว์ไม่มีประมาณอีกด้วย ดังเรื่องของพระโลมสกังคิยเถระ ที่ท่านทำความเพียรอย่างแรงกล้าและสม่ำเสมอ ในที่สุดท่านก็ได้ดื่มด่ำรสแห่งพระธรรม ซึ่งเลิศกว่ารสทั้งปวง เรื่องมีอยู่ว่า

     * ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ พระเถระรูปนี้ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ การบังเกิดในภพชาตินี้ท่านมีสหายอยู่คนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า จันทนะ หลังจากที่ท่านทั้งสองได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็มีจิตเลื่อมใส จึงตัดสินใจออกบวช ท่านทั้งสองได้รักษาสมณสัญญาจนตลอดชีวิต เมื่อละจากอัตภาพนั้นไป ได้เสวยทิพยสุขในสุคติโลกสวรรค์ถึงหนึ่งพุทธันดร

     ในพุทธุปบาทกาลนี้ พระโลมสกังคิยเถระได้มาบังเกิดในตระกูลศากยะ ส่วนสหายของท่าน ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตร อยู่ในภพดาวดึงส์ ท่านได้เห็นอิทธิปาฏิหาริย์ฝนโบกขรพรรษ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำการข่มมานะของพวกเจ้าศากยะ แสดงพระธรรม คือ เวสสันดรชาดก มีใจเลื่อมใสจึงขอบวชในพระพุทธศาสนา มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนา คือภัทเทกรัตตสูตร แล้วปลีกตัววิเวกอยู่ในป่า ท่านระลึกถึงเทศนาคำสั่งสอน ในภัทเทกรัตตสูตรนั้น โดยส่งญาณไปตามลำดับของพระธรรมเทศนา ตั้งใจเจริญวิปัสสนา จนในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหัต

     ครั้นท่านได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ระลึกถึงบุพกรรมของตน จึงเกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวว่า ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระธรรม มีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านักปราชญ์ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น เราและสหายชื่อว่าจันทนะ ได้บรรพชาในพระพุทธศาสนา บำเพ็ญกิจพระศาสนาไว้เป็นอันมาก ได้ทำหน้าที่ชี้ทางสว่างให้กับชาวโลกทั้งหลาย  

     พอจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็เข้าถึงสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งเป็นชั้นที่ผู้มีบุญอย่างเช่นพระบรมโพธิสัตว์อาศัยอยู่ สวรรค์ชั้นนี้จะมีทั้งนิยตโพธิสัตว์ และอนิยตโพธิสัตว์ และผู้มีบุญทั่วไปที่มีกำลังบุญมากพอก็จะอยู่ในชั้นนี้ แม้ผู้ที่เป็นนักสร้างบารมีทั้งหลาย ก็จะมาอยู่ชั้นนี้กันเป็นจำนวนมาก อย่างเช่นท่านธัมมิกอุบาสกเป็นต้น

     เทพบุตรทั้งสองได้เสวยสุขบนสวรรค์อยู่ยาวนาน ครั้นจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นแล้ว จันทนเทพบุตรก็เข้าถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่อ ในคราวที่พระกาฬุทายีเถระ เชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามาถึงกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เจ้าศากยะทั้งหลาย

     ครั้งนั้น พวกเจ้าศากยะมีมานะจัด ไม่รู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคนกระด้างเพราะชาติ ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่นอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงทราบความดำริของเจ้าศากยะเหล่านั้น จึงได้เสด็จจงกรมในอากาศ โปรยธุลีพระบาทให้ตกลงมา เหมือนเมฆยังฝนให้ตกลงแล้ว เหมือนเปลวไฟลุกโพลงมีเถ้าธุลีตกลงมาฉะนั้น ทรงแสดงพระรูปที่ไม่กระสับกระส่าย แล้วทรงหายไปอีก หรือปาฏิหาริย์พระองค์เดียวให้เป็นหลายองค์ก็ได้ แล้วกลับเป็นพระองค์เดียวอีก ทรงแสดงความมืดและแสงสว่าง ทรงทำพระปาฏิหาริย์มากมาย ทรงปราบเหล่าพระญาติให้หมดมานะด้วยพุทธานุภาพ

    

     ขณะนั้นเองมหาเมฆอันตั้งขึ้นในทวีปทั้ง ๔ ได้ยังฝนโบกขรพรรษให้ตกลงแล้ว ได้ตรัสเทศนาเวสสันดรชาดก ว่าด้วยการสร้างมหาทานบารมีครั้งยิ่งใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทรงทำ เหล่าศากยะทุกๆ พระองค์ได้ละมานะทิฏฐิอันเกิดจากชาติตระกูลได้แล้ว ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ

     ในกาลนั้นพระเจ้าสุทโธทนะได้ตรัสว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน มีจักษุโดยรอบ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ ที่หม่อมฉันถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระองค์ คือในครั้งที่พระองค์ประสูติ ได้เกิดแผ่นดินไหว หม่อมฉันก็ได้ถวายบังคม และครั้งที่มีพระราชพิธิแรกนาขวัญ เงาไม้หว้าอันเป็นที่ประทับนั่งของพระองค์ไม่เอนเอียงไป หม่อมฉันก็ได้ถวายบังคมพระองค์” ในครั้งนั้น พระโลมสกังคิยเถระมีบุญตา ได้เห็นพุทธานุภาพนั้นแล้ว เป็นผู้อัศจรรย์ใจ จึงได้บรรพชา เป็นคนบูชามารดา จึงได้อาศัยอยู่ในพระนครกบิลพัสดุ์นั่นเอง

     พอบวชได้ไม่นาน จันทนเทพบุตรได้เข้ามาถามถึงนัยแห่งผู้มีราตรีเดียวเจริญทั้งโดยย่อและพิสดาร ท่านถูกจันทนเทพบุตรเข้ามาถามแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ได้สดับภัทเทกรัตตสูตร เป็นผู้สลดใจ ปรารถนาจะอยู่ในป่า จึงบอกลามารดาว่า จักอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว แต่ถูกมารดาห้ามปรามว่า พระลูกชายเป็นคนละเอียดอ่อนจะอยู่ได้หรือ ท่านก็ตอบว่า "อาตมาจะทำกิเลสดุจหญ้าคาให้แหลกละเอียดด้วยใจ พอกพูนวิเวก ขอโยมแม่อย่าได้เป็นห่วงเลย"

     ท่านได้เข้าป่าไปหาความสงบ นึกถึงคำสอนของพระพิชิตมาร คือ ภัทเทกรัตตสูตร ที่มีใจความย่อว่า "ผู้มีปัญญาไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละไปแล้ว และสิ่งใดที่ยังมาไม่ถึง สิ่งนั้นก็ยังไม่ถึง...นั้นแลว่า ผู้มีราตรีเดียวเจริญ" เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ด้วยการปฏิบัติตามพุทโธวาทอย่างเคร่งครัด คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว

     เราจะเห็นว่า ผู้ที่อยู่ไกลถึงในป่า ห่างจากพระบรมศาสดา ก็เหมือนอยู่ใกล้ ก็เพราะว่า ถ้าคนที่อยู่ใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ใส่ใจที่จะนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มาประพฤติปฏิบัติ แต่กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ผู้คนเหล่านั้นก็ชื่อว่า อยู่ใกล้ก็เหมือนอยู่ไกล และไม่ใช่อยู่ไกลธรรมดา

     ส่วนผู้ที่อยู่ไกลก็เหมือนอยู่ใกล้นั้น คือ ผู้ที่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่นิ่งเฉย จดจำสิ่งเหล่านั้นมาประพฤติปฏิบัติตาม จนได้ดื่มรสพระธรรม รสแห่งความสุขที่แท้จริง และกําจัดกิเลสให้หมดสิ้นไปได้ในที่สุด เหมือนพระเถระองค์นี้ ที่ท่านได้ประพฤติปฏิบัติตามโอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

     พวกเราก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธ เป็นพุทธศาสนิกชน เป็นสาวกของพระบรมศาสดา ก็ต้องหมั่นทำตามโอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มากเข้าไว้ โดยเฉพาะการทำทานรักษาศีล และการเจริญภาวนา พยายามทำให้เต็มที่ให้สม่ำเสมอ แล้วเราจะเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้พระพุทธองค์ เมื่อได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน ก็เหมือนได้นั่งใกล้อยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์ทีเดียว

 

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๗๒ หน้า ๓๙๖
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
พรรณนาพุทธคุณหนุนส่งถึงนิพพานพรรณนาพุทธคุณหนุนส่งถึงนิพพาน

ถึงพระรัตนตรัยได้ไปสวรรค์ถึงพระรัตนตรัยได้ไปสวรรค์

ผลแห่งการเข้าถึงพระรัตนตรัยผลแห่งการเข้าถึงพระรัตนตรัย



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน