เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 9 ส.ค. พ.ต.ท.พิพัฒน์ ชุ่มมณีกูล รอง
ผกก.ป.สภ.อ.พระนครศรีอยุธยา
รับแจ้งจากประชาชนว่ามีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศโชว์ภาพสักเป็นรูปไม่เหมาะสมให้กับประชาชนชมอยู่ภายในวิหารพระมงคลบพิตร
ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ในเขตโบราณสถาน จึงพร้อมด้วย
พ.ต.ท.ภูมิพัฒน์ พรใหญ่พงษ์ สวป. และประสานกับ พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ ศรีอัศวอมร
สว.ทท.1 เดินทางไปยังบริเวณดังกล่าว พบว่าที่วิหาร
มีประชาชนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงขรม หลังจากได้เห็นภาพสักของ
นักท่องเที่ยวสาวชาวเยอรมัน
โดยนักท่องเที่ยวรายนี้ได้โชว์ภาพรอยสักบนเรือนร่างที่แขนซ้าย
เป็นภาพพระพุทธเจ้าโอบกอดกับผู้หญิงลักษณะเหมือนสัมผัสริมฝีปากกัน
เท่านั้นยังไม่พอได้ถลกกระโปรงโชว์ขาขวา
พบเป็นรอยสักภาพพระพุทธเจ้าอยู่กับดอกไม้ตั้งแต่ช่วงโคนขาจนเกือบถึงเข่า
สร้างความสะเทือนใจให้ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้แสดงตัว
และเชิญนักท่องเที่ยวคนดังกล่าวมาทำการสอบสวน ทราบว่าชื่อ น.ส.มาตินา
แล็กเกล อายุ 23 ปี เป็นชาวเมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี
ให้การด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า ตนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 8
ส.ค. เข้าพักในย่านถนน ข้าวสาร กท. จากนั้นได้เดินทางกับเพื่อน ๆ
นักท่องเที่ยวด้วยกัน 26 คน
เพื่อมาเที่ยวชมความงามโบราณสถานวัดวาอารามในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ซึ่งตนชื่นชอบพระพุทธเจ้ามาก จึงได้เข้าไปชมพระในวิหารพระมงคลบพิตร
ระหว่างนั้น มีคนเห็นรอยสักที่แขนเป็นรูปพระพุทธเจ้า จึง
ได้อวดให้ชมโดยบอกว่าที่ต้นขาก็มีแล้วก็เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวชม โดยไม่คิดว่าจะเกิดความเสียหายอะไร
เนื่องจากไม่เข้าใจวัฒนธรรมของคนไทย ซึ่งรอยสักดังกล่าว
ตนสักมาจากร้านชื่อ “วิซาวาจาว่า” ในเมืองไฟร์บวร์ก ในประเทศ เยอรมนี
และไม่คิดว่าจะเสียหายอะไรเพราะที่เมือง ไฟร์บวร์กมีคนสักภาพเช่นนี้มากมาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ชี้ให้เห็นว่า
พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจสำหรับชาวพุทธ
หากชอบและจะต้องการสักขอให้สักเป็นรูปพระพุทธเจ้าอย่างเดียวอยู่ที่ไหล่
หรือแขนเพื่อความเหมาะสม
ส่วนที่สักไปแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสมขอให้รีบไปลบออก
ก่อนที่จะออกจากประเทศไทย
หลังจากนั้นตำรวจได้บันทึกถ้อยคำและทำประวัติไว้ก่อนที่จะปล่อยตัวไป เมื่อ
น.ส.มาตินา รับทราบเหตุผล ถึงกับร้องไห้และรับปากที่จะไปลบออก
โดยบอกว่าตนเองเสียใจที่ทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์
นายสมชาย มีชูพร วัฒนธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เปิดเผยว่าหลังจากทราบข่าวแล้วได้ประสานกับตำรวจท่องเที่ยวเพื่อขอรายละเอียดเพื่อจะรายงานให้กับทางกระทรวงวัฒนธรรม
ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศไปตรวจสอบ
และตักเตือนร้านสักในประเทศเยอรมนีต่อไป.