ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 7


[ 28 ก.ค. 2550 ] - [ 18307 ] LINE it!

 
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 7
 

        จากตอนที่แล้ว พระเจ้าวิเทหราชซึ่งทรงคิดคำนึงถึงบัณฑิตน้อยมายาวนาน เมื่อครบกำหนด ๗ ปีจึงทรงมีรับสั่งให้เรียกอำมาตย์ ๔ คนเข้าเฝ้า แล้วตรัสสั่งให้แยกย้ายกันออกไปสืบหาให้ทั่วทั้ง ๔ ทิศ   อำมาตย์ผู้มุ่งตรงไปทางตะวันออก เมื่อมาถึงหมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคาม ได้เข้าพำนักในศาลาอันวิจิตรตระการตาที่มโหสถกุมารเป็นผู้สร้าง  คิดว่า “ผู้ที่จะสร้างศาลาได้อย่างนี้ต้องเป็นบัณฑิตผู้มีสติปัญญามาก ครั้นได้ทราบว่า มโหสถกุมาร บัณฑิตน้อยอายุ ๗ ขวบ เป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง   ก็มั่นใจว่า  มโหสถกุมารผู้นี้ จะต้องเป็นบัณฑิตที่พระราชาทรงมีพระราชดำรัสให้สืบหาเป็นแน่  จึงได้สืบถามประวัติของบัณฑิตนั้นอย่างละเอียด แล้วก็รีบทำรายงานถวายพระราชาให้ทรงทราบ ท้าวเธอเมื่อได้รับรายงานแล้ว ก็ได้รับสั่งกับอาจารย์เสนกะว่า เราควรจะนำบัณฑิตน้อยนั้นมาได้หรือยัง
 
        อาจารย์เสนกะเมื่อได้ทราบข่าวนั้นก็ตะลึง คิดว่า หากมโหสถกุมารได้เข้ามาอยู่ในราชสำนัก รัศมีของตนก็คงดับวูบ แม้ลาภ ยศ สรรเสริญก็จะสูญสิ้น จึงทูลคัดค้านว่า  เพียงแค่กุมารนี้สร้างศาลาได้ใหญ่โต ก็ยังไม่น่าอัศจรรย์  บุคคลจะเป็นบัณฑิตเพียงเพราะการสร้างศาลา ดูไม่สมแก่เหตุเลย

        พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำคัดค้านของอาจารย์เสนกะแล้ว จึงทรงยับยั้งเรื่องนั้นไว้ก่อน เพียงแต่ทรงมีรับสั่ง ให้ท่านอำมาตย์รออยู่ที่บ้านปาจีนยวมัชฌคามนั้นต่อไป หากมีเหตุการณ์ใดที่เนื่องกับบัณฑิตผู้นั้น ก็จงรีบทูลรายงานให้ทราบ จนกว่าจะมั่นใจว่า มโหสถกุมารคือบัณฑิตที่ทรงตามหา
 
        ในระหว่างที่อำมาตย์ของพระเจ้าวิเทหราชคอยเฝ้าดูมโหสถกุมารอยู่อย่างใกล้ชิดนั้น ก็ได้ปรากฏเหตุมากมายหลายเรื่อง ซึ่งล้วนเป็นประจักษ์พยาน ยืนยันในความเป็นผู้มีปัญญาอันยอดยิ่ง  ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น อำมาตย์ก็จะถือโอกาสนำความนั้นขึ้นกราบทูลพระราชา โดยผ่านทูตผู้ทำหน้าที่ส่งสาสน์ทุกคราวไป ปรากฏเรื่องราวโดยพิสดาร ดังต่อไปนี้
 
        ครั้งหนึ่ง มีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินผ่านโรงฆ่าสัตว์ บังเอิญเห็นชิ้นเนื้อขนาดฝ่ามือ ที่คนฆ่าสัตว์วางไว้บนเขียงเตรียมนำไปขาย ก็หวังจะได้ลิ้มลองโอชารสของเนื้อนั้นให้สมอยาก จึงเฝ้ารอทีเผลอ    เมื่อเห็นคนฆ่าสัตว์ง่วนอยู่กับการลับมีด   ก็รีบโฉบลงตรงชิ้นเนื้อโดยเร็ว  ครั้นคว้าไปได้สำเร็จ ก็ดีอกดีใจ รีบบินหนีอย่างสบายอารมณ์

        ขณะนั้นเอง มโหสถกุมารกับสหายทั้ง ๑,๐๐๐ คน พากันเล่นกันอยู่ในสนามกีฬา  เห็นเหยี่ยวคาบชิ้นเนื้อกะร่องกะแร่งบินผ่านมาในบริเวณนั้น ก็พากันนึกสนุก อยากจะแย่งชิ้นเนื้อจากเหยี่ยว จึงตกลงกันว่า หากใครสามารถจะคว้าชิ้นเนื้อนั้นมาได้ ก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะ

        ในที่สุดก็เลยถือเอาเหยี่ยวเป็นกีฬาไปเสียด้วย ว่าแล้วก็พากันวิ่งตามเหยี่ยวขู่ตวาดโห่ร้องเกรียวกราว เพื่อให้เหยี่ยวตกใจปล่อยชิ้นเนื้อลงมา ต่างคนต่างวิ่งไล่ตามกันสนุกสนาน    แต่ก็พลอยได้รับความลำบากไปตามๆกัน เพราะขณะที่วิ่งตามเหยี่ยวไป ก็แหงนดูตัวเหยี่ยวไปพลาง จึงสะดุดเข้ากับตอไม้ ตกหลุม ตกบ่อ ล้มลุกคลุกคลาน แข้งขาก็ถลอกปอกเปิก มีบาดแผลฟกช้ำดำเขียว สะบักสะบอมกันถ้วนหน้า

        มโหสถกุมารเห็นเช่นนั้น ก็ร้องห้าม บอกให้พวกกุมารเหล่านั้นหยุดเสีย แล้วอาสาจะไล่ตามเหยี่ยวนั้นเอง “หยุดก่อนๆ เราจะไล่กวดให้มันปล่อยชิ้นเนื้อนั้นให้ได้ เพื่อนๆ คอยดูให้ดีนะ”

        กล่าวดังนี้แล้ว มโหสถกุมารก็รีบวิ่งกวดไปโดยเร็วจนสุดกำลัง ราวกับลมพัดผ่านนภากาศ สายตาก็จับจ้องอยู่ที่เงาของเหยี่ยวที่ปรากฏอยู่บนพื้นดิน โดยไม่ต้องแหงนดูบนฟ้าเลย

        กุมารเหล่านั้นเห็นมโหสถกุมารเอาจริง ก็พากันหยุดไล่ กล่าวขึ้นว่า “พวกเราหลีกทางเถอะ ปล่อยให้มโหสถลองดูบ้าง” แล้วก็หลีกให้พ้นทางวิ่ง

        มโหสถกุมารไล่กวดเหยี่ยวนั้นในระยะกระชั้นชิด ไม่ช้าก็เหยียบเงาเหยี่ยวได้ ตบมือผางผาง! ตวาดขึ้นไปด้วยเสียงดังสนั่น

        เสียงนั้นได้ดังกึกก้องสะท้านสะเทือน ชวนให้เสียวสยอง ดุจผ่านเข้าแก้วหูไปคำรามคำรนอยู่ในท้องของมัน จนมันสะดุ้งตกใจด้วยความกลัว แม้จะมีความเสียดายชิ้นเนื้อนั้นสักปานใด ก็จำต้องทิ้งชิ้นเนื้อลงมา แล้วรีบโผบินหนีไปโดยเร็ว
 
        มโหสถมองดูเงาบนพื้นดิน เห็นชิ้นเนื้อกำลังจะหลุดลอยลงมาจากปากเหยี่ยว ก็รีบเอามือรองรับไว้มิทันให้ตกถึงดิน   เหล่ากุมารที่เหลือเห็นความอัศจรรย์เช่นนั้น ก็พากันเปล่งเสียงโห่ร้องอึงคะนึง ปรบมือกันเกรียวกราวด้วยความชื่นชม   มิใช่เฉพาะเหล่าสหายของมโหสถกุมารเท่านั้น แม้แต่ฝูงชนที่ชุมนุมกัน ณ ที่นั้น ก็อดมิได้ที่จะแสดงอาการชื่นชมยินดี
 
 
 
            
 
 
        อำมาตย์ซึ่งเฝ้าดูมโหสถอยู่อย่างไม่ละสายตาตามรับสั่งของพระราชา  ก็เห็นแววความฉลาดเฉลียวของมโหสถกุมารในครั้งนั้นเช่นกัน   จึงเร่งส่งทูตไปกราบทูลเรื่องนี้แด่พระเจ้าวิเทหราช ท้าวเธอทรงสดับคำกราบบังคมทูลนั้นแล้ว ก็ทรงแย้มพระสรวลด้วยความโสมนัสยินดี ในขณะที่ท่านอาจารย์เสนกะกลับนั่งฟังนิ่งๆ ไม่ไหวติงดั่งถูกมนต์สะกด

        ครั้นแล้วพระราชาจึงผินพระพักตร์มาทางอาจารย์เสนกะ ตรัสถามว่า  “เป็นอย่างไรเล่าท่านอาจารย์  พ่อบัณฑิตน้อยนี่ธรรมดาเสียทีไหน ท่านอาจารย์ว่า เท่านี้จะเพียงพอหรือยังที่เราจะรับตัวมโหสถกุมารเข้ามาเสียที”

        “ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้าฯ” ท่านเสนกะกราบทูล “ขอพระองค์ทรงโปรดยับยั้งเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะเหตุเพียงเท่านี้ ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน ข้าพระบาทว่า ทางที่ดีพระองค์น่าจะรอต่อไปอีกหน่อยเพื่อทดลองให้แน่พระหฤทัยก่อน พระพุทธเจ้าข้า”

        พระราชาทรงฉงนพระหฤทัย ถึงกับตรัสว่า “อะไรกันท่านอาจารย์ บุคคลผู้สามารถเล็งเห็นได้ทั้งบนฟ้าและบนดินพร้อมกันเช่นนี้ ควรจะเรียกว่าผู้มีปรีชาญาณอันยอดเยี่ยมมิใช่หรือ”
 
        “ไม่เป็นการยากอันใดดอก พระเจ้าข้า” ท่านเสนกะกราบทูลยืนยัน “เพียงแค่ใช้ความคิดเล็กน้อยเท่านั้น ก็อาจจะกระทำได้ ก็เรื่องนั้นมีเหตุให้ต้องคิด เนื่องด้วยมโหสถกุมารเห็นสหายพากันได้รับความลำบาก จึงได้คิดหาหนทางแก้ไข  ดังนั้น จึงยังถือว่าเป็นความคิดที่มีเงื่อนไขให้คิด เป็นความเห็นที่มีเงาปรากฏอยู่แล้ว จึงหาใช่เรื่องยากที่จะคิดอ่านเช่นนั้น พระเจ้าข้า”

        ท้าวเธอทรงสดับคำอธิบายของอาจารย์เสนกะแล้ว ก็ทรงจำต้องยอมรับในเงื่อนไข ด้วยยังไม่อาจหาเหตุผลอื่นใดมากล่าวอ้างให้ยิ่งกว่านั้น  จึงได้แต่ทรงนิ่งเสีย จากนั้นก็มีรับสั่งให้ทูตนำพระกระแสรับสั่งกลับไปบอกอำมาตย์ผู้นั้นให้ประจำอยู่ไปก่อน เพื่อคอยดูเหตุการณ์ต่อไป ดังนั้นในตอนหน้า มโหสถกุมารจะแสดงอัจฉริยภาพอะไรให้ปรากฏอีกนั้น โปรดติดตามต่อไป

 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 8ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 8

ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 9ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 9

ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 10ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 10



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก