มงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต - ผู้นำบุญของโลก


[ 27 ก.ย. 2550 ] - [ 18274 ] LINE it!


 
มงคลที่ ๑๐

มีวาจาสุภาษิต - ผู้นำบุญของโลก

บุคคลควรเปล่งแต่วาจาที่ไพเราะเท่านั้น
ไม่ควรเปล่งวาจาที่ไม่ดีเลย
การเปล่งวาจาไพเราะ
ทำให้ประโยชน์สำเร็จได้
ผู้เปล่งวาจาชั่ว ย่อมได้รับแต่ความเดือดร้อน


        ในการเดินทางไกล เราจำเป็นต้องมีเสบียงติดตัวไป เพื่อหล่อเลี้ยงสังขาร ให้ดำรงอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในโลกนี้ โลกหน้า หรือแม้กระทั่งการเดินทางไปสู่อายตนนิพพาน จำเป็นต้องมีเสบียง คือ บุญ ไว้หล่อเลี้ยงกายและใจ บุญจะช่วยชำระใจของเราให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ และเป็นเครื่องดึงดูดนำความสุขความสำเร็จในชีวิตมาให้ บุญทั้งหลายเกิดจากการบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ซึ่งเป็นทางมาแห่งบุญโดยย่อ คือ การทำทาน รักษาศีลและเจริญสมาธิภาวนา
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ชาดก ว่า
 
"กลฺยาณิเมว มุญฺเจยฺย    น หิ มุญฺเจยฺย ปาปิกํ
โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ    มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ
 
        บุคคลควรเปล่งแต่วาจาที่ไพเราะเท่านั้น ไม่ควรเปล่งวาจาที่ไม่ดีเลย การเปล่งวาจาไพเราะ ทำให้ประโยชน์สำเร็จได้ ผู้เปล่งวาจาชั่ว ย่อมได้รับแต่ความเดือดร้อน"   
 
        วาจาสุภาษิต ไม่ว่าจะพูดด้วยถ้อยคำสำเนียงภาษาใด วาจานั้นย่อมเป็นวาจาชั้นสูง ควรแก่การสรรเสริญของนักปราชญ์บัณฑิต เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างก็ชื่นชมอนุโมทนา สาธุการ เพราะเป็นถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ ยิ่งถ้าเป็นวาจาของกัลยาณมิตร ผู้ประกอบด้วยจิตเมตตา แนะนำให้สร้างแต่คุณงามความดี ยิ่งนับว่าเป็นวาจาสูงสุด เพราะนำไปสู่มรรคผลนิพพานได้ และกัลยาณมิตรผู้กล่าวแต่วาจาสุภาษิตนั้น ย่อมได้รับอานิสงส์อันเลิศเช่นกัน

        *ในสมัยพุทธกาล มีมหาอำมาตย์คนหนึ่ง ชื่อ สันตติ ได้รับราชโองการจากพระราชาแห่งแคว้นโกศล ให้ไปปราบกบฏที่ชายแดน เขาเป็นแม่ทัพนำทหารไปปราบปรามกบฏ จนสามารถ รบชนะข้าศึก ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขร่มเย็น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพอพระทัยมาก จึงพระราชทานราชสมบัติให้ครอบครอง ๗ วัน พร้อมหญิงผู้ฉลาดในการฟ้อนการขับนางหนึ่ง

        มหาอำมาตย์เสวยราชสมบัติด้วยความประมาท ดื่มสุราเมามายทุกวัน ในวันที่ ๗ หญิงนักฟ้อนที่พระราชาประทานให้คนนั้น เกิดเป็นโรคลมในท้องอย่างหนักและเสียชีวิตลงต่อหน้าต่อตา ทำให้มหาอำมาตย์ซึ่งดื่มสุรามึนเมามาหลายวัน หายเมาเป็นปลิดทิ้ง และเกิดความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความอาลัยรัก

        ทั้งพระราชา ทั้งญาติสนิทมิตรสหายของเขา ต่างเข้ามาช่วยกันปลอบใจ แต่ก็ไม่มีใครสามารถเปลื้องทุกข์ของมหาอำมาตย์ให้คลายโศกได้ ท่านเกิดความคิดขึ้นมาว่า "นอกจากพระบรมศาสดาแล้ว คนอื่นไม่อาจทำให้เราหายเศร้าโศกได้"  จึงตรงไปยังวัดพระเชตวันเพื่อเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา และกราบทูลพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หญิงผู้เป็นที่รักของข้าพระองค์ได้ตายจากไปแล้ว ข้าพระองค์มีความทุกข์ใจอย่างยิ่ง ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด"

        พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า "น้ำตาของท่าน ผู้ร้องไห้คร่ำครวญ ในเวลาที่หญิงคนนี้ตายมีมากกว่าน้ำในท้องมหาสมุทร ทั้งสี่เสียอีก ท่านอย่าได้เพิ่มทะเลแห่งน้ำตาให้มากไปกว่านี้เลย ไม่มีใครในโลกที่จะดับทุกข์ได้ด้วยน้ำตา เพราะความโศกเศร้าเสียใจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ใคร แม้กระทั่งตัวของท่านเอง"   
 
        จากนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาถึงความทุกข์ ที่เกิดจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก มหาอำมาตย์จึงคลายจากความโศก หมดความอาลัย ความยึดมั่นถือมั่นในตัวบุคคล สามารถยกจิตขึ้นสู่ไตรลักษณ์ พิจารณาว่า สังขารทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วทำใจหยุดนิ่งตามกระแสธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจบพระธรรมเทศนา มหาอำมาตย์สามารถดับกิเลส ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

        จากนั้นท่านได้พิจารณาดูสังขารของตนเอง ก็รู้ว่าจะต้องปรินิพพานในวันนี้แล้ว จึงกราบทูลลาพระบรมศาสดาเพื่อปรินิพพาน แต่ก่อนที่จะปรินิพพาน ท่านปรารถนาให้มหาชนเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้นไป จึงถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วเหาะขึ้นสู่อากาศสูง ๗ ชั่วลำตาล เล่าเรื่องกุศลผลบุญที่ได้ทำไว้ในอดีต ให้มหาชนฟังว่า

        **ในสมัยของพระวิปัสสีพุทธเจ้า ท่านได้ตั้งใจทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนามิได้ขาด นอกจากนี้ยังได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตร ชักชวนคนอื่นให้มาทำทาน รักษาศีลและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำอีกด้วย ท่านขวนขวายชักชวนเพื่อนบ้านให้มาทำความดี โดยมิได้ว่างเว้นเลยแม้แต่วันเดียว แล้วยังป่าวประกาศคุณของพระรัตนตรัยว่า "พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด สิ่งอื่นที่จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกยิ่งไปกว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว  ขอให้ท่านทั้งหลายจงยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเถิด"

        พระราชาทรงสดับเสียงการชักชวนมหาชน ให้มาทำความดีอย่างท่าน จึงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เมื่อทรงทราบถึง ความตั้งใจอันดีงามของท่านแล้ว พระองค์ทรงเกิดความเลื่อมใส   จึงได้อนุโมทนาบุญ และได้พระราชทานพวงดอกไม่พร้อมทั้งม้า  อีก ๑ ตัว เพื่อเป็นยานพาหนะในการบอกบุญ ท่านก็ยิ่งทำ  หน้าที่ประกาศชักชวนคนให้มาทำความดีมากขึ้น

        ครั้นพระราชาได้สดับเสียงบอกบุญของท่านอีก จึงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า แล้วได้อนุโมทนาในความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นสร้างบารมีของท่าน และทรงพระราชทานรถเทียมด้วยม้าสินธพ ๔ ตัว ท่านก็ยิ่งมีกำลังใจในการทำหน้าที่เพิ่มมากขึ้น ทุ่มเทชีวิตจิตใจทำหน้าที่กัลยาณมิตรอย่างสุดกำลัง เมื่อพระราชาทรงทราบ กิตติศัพท์อันดีงามนี้ จึงพระราชทานทรัพย์สมบัติมากมาย พร้อมทั้งพระราชทานช้างมงคลอีก ๑ เชือก

        ท่านได้ประดับประดาด้วยอาภรณ์อันทรงเกียรติ ทำการป่าวประกาศชักชวนมหาชนให้ทำบุญสร้างบารมีอยู่นานถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ด้วยอานิสงส์บุญนั้น ท่านได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสุคติภูมิเท่านั้น และมีกลิ่นจันทน์หอมฟุ้งออกจากกายตลอดเวลา มีกลิ่นอุบลหอมฟุ้งออกจากปาก ในภพชาติสุดท้ายนี้ ท่านได้มาเกิดเป็นมหาอำมาตย์และในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

        เพราะฉะนั้น อานิสงส์จากการทำหน้าที่ผู้นำบุญ ชักชวนผู้อื่นให้ทำความดีนั้น มีอานิสงส์มาก จะทำให้เราอยู่ใน เส้นทางแห่งความดีตลอดไป เหมือนท่านสันตติมหาอำมาตย์ที่ชักชวนคนทำความดีมาตลอด ๘๐,๐๐๐ ปี เมื่อถึงขีดถึงคราวบุญส่งผล ก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้

        ดังนั้น ขอให้ทุกท่านตั้งใจทำหน้าที่ผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตรอย่างเต็มที่ แม้ในบางครั้งจะได้ยินคำพูด หรือได้เห็นการกระทำ ที่เกิดจากความไม่เข้าใจของผู้อื่น ก็อย่าได้ท้อถอยหรือหวั่นไหวกัน ให้นึกเสมอว่าเราเกิดมาสร้างบารมี  มาปรับปรุงโลกนี้ให้สะอาดบริสุทธิ์ขึ้น
 
 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

*มก. เรื่องสันตติมหาอำมาตย์ เล่ม ๔๒ หน้า ๑๑๓
**มก. เรื่องสันตติอำมาตย์ เล่ม ๔๒ หน้า ๑๑๖ 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
มงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต - ราชฑูตรับใช้ตัวเองมงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต - ราชฑูตรับใช้ตัวเอง

มงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต - พูดดีเป็นศรีแต่ตัวมงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต - พูดดีเป็นศรีแต่ตัว

มงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต - วาจาอันเป็นที่รักมงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต - วาจาอันเป็นที่รัก



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน