จากตอนที่แล้ว พระเจ้าวิเทหราชได้รับรายงานจากราชองครักษ์ประจำพระองค์ว่า มีชาวปาจีนยวมัชฌคามมาขอเข้าเฝ้า พระองค์ก็รับสั่งให้นำตัวเข้ามาได้ทันที แล้วก็ทรงมีพระดำรัสถาม ว่า เจ้าน่ะรึ มาจากปาจีนยวมัฌชคาม แล้วเจ้ามีธุระอันใดกันเล่า
เขาได้กราบทูลด้วยท่าทีมั่นใจว่า ตามที่พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้ชาวปาจีนยวมัชฌคามช่วยกันหาโคนหาปลายของท่อนไม้ตะเคียนนั้น บัดนี้พวกข้าพระบาททราบคำตอบแล้ว ด้านที่ทำเครื่องหมายไว้เป็นด้านโคนพระเจ้าข้า ว่าแล้วก็ส่งท่อนไม้นั้นให้เจ้าพนักงานที่รอรับอยู่ด้านข้าง
พระเจ้าวิเทหราชได้ทอดพระเนตรแล้วก็ทรงปลื้มพระทัย ตรัสรับรองว่า ใช่จริงๆด้วย แล้วเจ้ารู้ปริศนานี้ได้อย่างไร เขาก็รีบกราบทูลว่า ข้าพระองค์เป็นเพียงตัวแทนของชาวปาจีนยวมัชฌคามเท่านั้น ผู้ที่ไขปริศนานี้ คือมโหสถกุมาร บุตรของท่านสิริวัฒกเศรษฐี พระพุทธเจ้าข้า
ครั้นทรงสดับว่า มโหสถกุมารเป็นผู้ไขปริศนานี้ ก็ทรงพอพระทัย ครั้นส่งตัวบุรุษนั้นออกไปแล้ว ก็ทรงผันพระพักตร์ไปทางท่านเสนกะ ตรัสพลางแย้มพระสรวลไปด้วยว่า “ยังไงล่ะท่านอาจารย์ อย่างไรเสียมโหสถก็ต้องรู้”แล้วก็ทรงหารือว่าจะทดลองปัญญาของมโหสถอย่างไรต่อไป
นับแต่นั้นมา พระเจ้าวิเทหราชก็ได้ผูกปัญหาส่งไปทดสอบชาวปาจีนยวมัชฌคามอย่างต่อเนื่องเช่นปัญหาเรื่องกะโหลกศีรษะอันไหนของบุรุษของสตรี ปัญหาเรื่องงูตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมีย ถ้าตอบไม่ได้ จะถูกปรับสินไหม ๑,๐๐๐ กหาปณะ ซึ่งมโหสถก็ไขปัญหานั้นได้ทั้งหมด
ส่วนปัญหาเรื่องโคนั้น เรื่องมีอยู่ว่า พระราชาทรงมีรับสั่งให้ชาวปาจีนยวมัชฌคาม ส่งโคมงคลตัวผู้ซึ่งมีสีขาวทั้งตัวไปถวายพระองค์ แต่ทว่าประสงค์เฉพาะตัวที่มีเขาที่เท้า มีโหนกที่ศีรษะ และร้องเพียงวันละ ๓ เวลาเท่านั้น หากไม่สามารถหามาถวายได้ ก็จะต้องถูกปรับ ๑,๐๐๐ กหาปณะ
ชาวบ้านที่น้อมรับพระบรมราชโองการมานั้น ต่างพากันนิ่งอึ้งไปตามๆกัน รำพึงรำพันอยู่ว่า “ตั้งแต่เกิดมาจนอายุปูนนี้ ก็ยังไม่เคยได้เห็นโคประหลาดเช่นนี้เลย”
หลายคนต่างพากันเป็นทุกข์เป็นร้อน บ้างก็ตีโพยตีพายว่า “ช่างเป็นกรรมของพวกเราแท้ๆ ที่มีพระราชาชอบตั้งปัญหาอะไรแผลงๆ เหมือนกับว่าจะจงใจแกล้งพวกเราให้เดือดร้อนให้ได้”
“ก็ไม่เห็นว่าพวกท่านจะต้องเดือดร้อนอะไรนี่นา เพราะเมื่อพระราชาทรงส่งปัญหาอะไรมา ก็ไม่เห็นมีใครแก้ได้สักครั้งนอกจากพ่อมโหสถ ครั้งนี้ก็คงต้องพึ่งพ่อมโหสถอีกเช่นเคย” อีกคนกล่าวเตือนขึ้น
ในที่สุดปัญหาที่พิสดารนั้น ก็มาถึงมโหสถให้ต้องรับภาระคลี่คลายปมปริศนาอีกเช่นเคย มโหสถใช้เวลาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่เท่านั้น ก็สามารถที่จะเฉลยคำตอบในทันทีว่า
“เรื่องนี้ไม่ยากดอก อย่าเดือดเนื้อร้อนใจไปเลย เพราะอันที่จริง โคมงคลที่พระราชาตรัสถามถึง ทรงหมายเอาไก่สีขาวปลอดนั่นเอง เพราะตามธรรมดา ไก่ย่อมมีเขาที่เท้าคือเดือย มีโหนกที่ศีรษะคือหงอน และขันวันละ ๓ เวลาเป็นปกติ ฉะนั้น ท่านจงทำตามคำของเราก็แล้วกัน” กล่าวดังนี้แล้ว ก็ให้คนส่งไก่สีขาวปลอดตัวหนึ่งไปถวายแด่พระราชา พร้อมกับแนะบุรุษนั้นว่า
“ท่านจงกราบทูลแด่พระราชาอย่างนี้ว่า ‘ข้าพระองค์เป็นตัวแทนชาวปาจีนยวมัชฌคาม ได้นำโคพิสดารมาถวาย พระพุทธเจ้าข้า’ เมื่อพระราชาตรัสถามว่า ‘ทำไมเจ้าจึงเรียกไก่นี้ว่าโคพิสดาร’ ก็ให้อธิบายไปตามที่เราบอก เพียงเท่านี้พระองค์ก็จักทรงพอพระทัย” แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พระราชาเมื่อทรงสดับคำตอบที่หลักแหลมเช่นนั้น ก็ทรงมีพระหฤทัยยินดี ตรัสถามว่า “อุบายนี้ใครเป็นต้นคิด”
ครั้นทรงสดับว่ามโหสถเป็นต้นคิดเท่านั้น พระองค์ก็ทรงแย้มพระสรวล ตรัสว่า “มโหสถบัณฑิต อีกแล้วหรือนี่ พ่อช่างฉลาดปราชญ์เปรื่องจริงหนอ” ตรัสชมเช่นนี้แล้ว ก็รับสั่งให้ส่งตัวบุรุษนั้นกลับไป
ภายหลังจากนั้นไม่นานนัก คณะราชบุรุษก็ได้อัญเชิญพระบรมราชโองการมาป่าวประกาศแก่ชาวปาจีนยวมัชฌคามอีกครั้ง พวกชาวบ้านพอเห็นหน้าราชบุรุษคนเดิมเทียวไปเทียวมาบ่อยๆ ก็ซุบซิบกันทันทีว่า “คราวนี้คงมีปริศนาที่ยากกว่าเดิมมาทดสอบภูมิปัญญาพวกตนอีกเป็นแน่”
เมื่อพวกราชบุรุษเข้ามาใกล้จึงกล่าวทักขึ้นว่า “ใต้เท้าขอรับ ท่านมาคราวนี้ เห็นทีคงจะมีพระบรมราชโองการมาอีกแล้วกระมัง”
ราชบุรุษคนเดิมกล่าวย้อนด้วยท่าทีขึงขังว่า “พวกท่านรู้แล้ว ยังจะต้องถามอีกหรือ” พลางคลี่พระบรมราชโองการเพื่อเตรียมประกาศแก่ชาวปาจีนยวมัชฌคาม ซึ่งต่างกำลังรอรับฟังพระกระแสของเจ้าเหนือหัวด้วยความหวั่นใจ
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงชาวบ้านหลายคนจับกลุ่มซุบซิบกันเบาๆ ว่า “ทำไมหนอ หมู่นี้พระราชาของพวกเราถึงได้มีพระบรมราชโองการมาถี่เหลือเกิน”
“เห็นทีว่าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าชาวเราเป็นพิเศษกระมัง” อีกคนหนึ่งกระซิบตอบ
“เงียบซะทีเถอะ คราวนี้พวกเราจะรอดหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้” เสียงหนึ่งตวาดขึ้นด้วยความรำคาญ
“ชาวปาจีนยวมัชฌคามจงฟัง” ราชบุรุษเริ่มอัญเชิญพระบรมราชโองการ ด้วยน้ำเสียงเข้มขลังน่าเกรงขาม ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างนิ่งเงียบไม่ไหวติง ราวกับถูกมนต์สะกด
“เรา..พระเจ้าวิเทหราช มีแก้วมณีที่รักมากอยู่ดวงหนึ่ง เป็นสมบัติล้ำค่า ซึ่งเลื่องลือกันมานาน ว่าเป็นแก้วมงคลที่องค์อัมรินทรเทวาธิราชประทานแด่พระเจ้ากุสราชพระเจ้าปู่ของเรา เพื่อเป็นเครื่องอำนวยสิริ ถึงกาลบัดนี้จึงตกทอดมาถึงมือเรา”
กล่าวถึงตอนนี้ ราชบุรุษก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆเปิดกล่องทองคำ แล้วบรรจงหยิบแก้วมณีดวงนั้นออกมา ชูขึ้นเหนือศีรษะ แล้วจึงประกาศต่อไปว่า “มณีรัตนะนี้ชื่อว่าเป็นดวงแก้วธรรมดาก็หาไม่ ภายในยังมีรูเป็นเกลียวคดโค้งถึง 8 เกลียว ในเกลียวเหล่านั้นมีด้ายร้อยไว้จากรูข้างหนึ่งไปทะลุอีกข้างหนึ่ง แต่บัดนี้ด้ายที่ร้อยไว้แต่เดิมก็เปื่อยเต็มที ในที่สุดก็ขาด ไม่อาจใช้งานได้ดังเดิม”
ทุกคนต่างพากันจ้องมองแก้วมณีในมือราชบุรุษนั้นด้วยความฉงนใจ แต่แล้วก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพระราชาจะทรงพระประสงค์สิ่งใดกันแน่ จึงได้แต่รอฟังราชบุรุษ ซึ่งเตรียมจะกล่าวต่อไป
“เราปรารถนาจะเห็นแก้วมณีดวงนี้ กลับคืนสู่สภาพดีดังเดิม จึงได้มอบภาระในการคิดหาวิธีร้อยด้ายใหม่ ให้เป็นหน้าที่ชาวปาจีนยวมัชฌคามทุกคน เราเชื่อมั่นว่า จักต้องมีผู้ทำสำเร็จแน่นอน แต่หากว่า ชาวปาจีนยวมัชฌคามไม่อาจจะกระทำได้ ก็จะต้องถูกปรับสินไหม 1000 กหาปณะ”ปัญหาซึ่งดูเหมือนจะพ้นวิสัยคงต้องมาถึงมโหสถอีกครั้ง ท่านจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)