ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 41


[ 12 ม.ค. 2551 ] - [ 18266 ] LINE it!

 
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 41

        จากตอนที่แล้ว  มโหสถซึ่งถูกหัวเราะเยาะท่ามกลางข้าราชบริพาร ในฐานะที่เข้าไปนั่งแทนที่ของบิดา จึงลุกขึ้นทูลถามพระเจ้าวิเทหราชว่า “บิดาเท่านั้นประเสริฐกว่าบุตรในที่ทั้งปวง บิดาเท่านั้นสูงส่งกว่าบุตร ไม่ว่าในฐานะไหนๆ อย่างนั้นหรือ”

        ท้าวเธอก็ทรงยืนยันหนักแน่นว่า “แน่นอนสิ บิดาย่อมอุดมกว่าบุตรในทุกที่ทุกสถาน บุตรจะดีไปกว่าบิดาได้อย่างไร”

        มโหสถได้รับพระราชดำรัสยืนยันเช่นนั้น จึงหันไปสั่งบริวารว่า “ท่านทั้งหลายจงนำเครื่องบรรณาการพิเศษเข้ามายังท้องพระโรงเถิด” ครู่เดียวลาตัวนั้นก็ถูกหามมาวางตรงเบื้องพระพักตร์มโหสถก็ทูลว่า “นี้เป็นลามหัศจรรย์  ขอพระองค์โปรดช่วยตีราคาลาตัวนี้ ว่ามีราคาสักเท่าไร”

        พระราชาทรงตอบมโหสถไปว่า “ถ้ามันใช้งานได้ดีจริงๆ ราคาก็เพียง ๘ กหาปณะเป็นอย่างมาก”
 
        มโหสถจึงทูลถามต่อไปว่า “ถ้าเป็นม้าอัสดรที่ถือกำเนิดจากท้องของแม่ม้าอาชาไนย โดยมีลาตัวนี้เป็นพ่อ จักมีราคาสักเท่าไร”  ซึ่งก็ได้รับพระราชดำรัสยืนยันว่า ม้าอัสดรนั้นหาค่ามิได้เลย

        ท้าวเธอได้ตรัสอธิบายว่า “ในบรรดาสัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะนั้น ม้าอัสดรชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะเป็นสัตว์ที่อดทนต่อการฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งเป็นม้าฝีเท้าดี สีสวย ลำตัวใหญ่ เปี่ยมด้วยพละกำลัง เหนือกว่าม้าสามัญโดยทั่วไป ดังนั้น เราจึงกล่าวว่า ม้าอัสดรนั้นหาค่ามิได้”

        มโหสถจึงทูลถามพระองค์ว่า “ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า ก็เมื่อสักครู่ก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า บิดาประเสริฐกว่าบุตรในที่ทุกสถานมิใช่หรือ พระเจ้าข้า”

        “ก็ใช่น่ะสิ” พระองค์ยังทรงรับรองเช่นเดิม แต่คราวนี้พระสุรเสียงนั้นเริ่มแผ่วเบา เหมือนไม่ทรงมั่นพระทัยเท่าใดนัก

        มโหสถเห็นว่าเป็นโอกาสของตน จึงทูลแย้งขึ้นด้วยวาจาฉะฉานว่า “ถ้าพระดำรัสของพระองค์เป็นเช่นนั้นจริง พระองค์ก็ควรจะตีราคาม้าอัสดรไว้เพียง 2-3 กหาปณะเท่านั้น ไม่พึงให้เกินกึ่งหนึ่งของราคาลาตัวนี้ เพราะม้าอัสดรเป็นเพียงลูกของลา จักดีกว่าพ่อมิได้  ข้าพระองค์ไม่เข้าใจเลยว่า เหตุไฉนพระองค์จึงกลับทรงตีราคาม้าอัสดรสูงลิบลิ่วกระทั่งหาค่ามิได้ พระดำรัสของพระองค์จะไม่ขัดแย้งกันดอกหรือ พระเจ้าข้า”

        ท้าวเธอทรงจำนนต่อเหตุผลที่มโหสถกล่าวมา จึงทรงนิ่งไปชั่วขณะ มโหสถจึงอาศัยช่วงโอกาสนั้น กราบทูลต่อไปอีกว่า “ข้าแต่สมมติเทพ หากพระองค์จะทรงสำคัญว่า บิดาย่อมประเสริฐกว่าบุตรในที่ทั้งปวง นั่นก็หมายความว่า พ่อลาตัวนี้ย่อมประเสริฐกว่าลูกม้าอัสดร ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์โปรดทรงรับลาตัวนี้ไว้เถิด ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมถวาย

        แต่หากว่าพระองค์จะทรงสำคัญว่า บุตรอาจประเสริฐกว่าบิดาได้บ้างในบางกรณี เมื่อเป็นเช่นนั้น ม้าอัสดรก็ควรค่าที่พระองค์จะทรงรับไว้แทนลาตัวนี้ ทั้งหมดที่ข้าพระองค์กราบทูลมานี้ ก็สุดแล้วแต่พระองค์จะทรงพระดำริเลือกเอาระหว่างลากับม้าอัสดรเถิดพระเจ้าข้า”

        สิ้นคำกราบบังคมทูลของมโหสถ พระองค์จึงทรงโสมนัสยิ่งนัก เพราะยิ่งทรงดำริตามคำทูลของมโหสถ ก็เห็นว่าเป็นจริงตามนั้นโดยมิอาจปฏิเสธได้ พระพักตร์ที่โศกสลดอยู่ บัดนี้ก็กลับเปล่งปลั่งขึ้นอย่างเช่นได้ชัด

        ข้าราชบริพารทั้งปวงในที่นั้น ได้ฟังวาทะย้อนปัญหาของมโหสถแล้ว ก็ปีติยินดี พากันปรบมือเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ยกผืนผ้าชูขึ้นเหนือศีรษะแล้วโบกสะบัดแสดงความยินดี  บ้างก็เปล่งเสียงแซ่ซ้องสาธุการสนั่นท้องพระโรงว่า “พ่อมโหสถบัณฑิต ท่านช่างแก้ปัญหาได้เฉียบขาดจริงๆ”

        มาถึงตรงนี้ หลายท่านอาจนึกแคลงใจว่า ธรรมดาพระโพธิสัตว์ย่อมจะรู้อุปการะคุณของบิดามารดา มีความเคารพในบิดามารดาอย่างยิ่งมิใช่หรือ เมื่อเป็นดังนี้ การที่มโหสถบัณฑิตนั่งในที่สูงกว่าบิดา และกราบทูลพระราชาเช่นนั้น จะถือว่าเป็นดูหมิ่นบิดาของตนหรือไม่

        ข้อนี้ถือว่าไม่เป็นการดูหมิ่นบิดาของตนแต่อย่างใด เหตุที่มโหสถต้องกราบทูลไปเช่นนั้น เพราะปัญหาที่อาจารย์เสนกผูกขึ้นครั้งนี้ ได้แฝงเงื่อนงำที่ซับซ้อนอยู่ไม่น้อย จำต้องแก้ปมปัญหาให้ตรงตามวิถีแห่งปัญหานั้น มิได้ประสงค์จะดูหมิ่นบิดาของตนแต่อย่างใด 

        การที่ผู้ใดจะสามารถคลายปมปัญหาให้กระจ่างในท่ามกลางมหาสมาคมนั้น  มิใช่ว่าจะกระทำกันได้ง่ายๆ   นี้ชื่อว่าเป็นความยากขั้นหนึ่ง     และยิ่งเมื่อต้องโต้กลับ จากที่เพลี่ยงพล้ำ ทำให้พลิกฟื้นขึ้นมาเป็นฝ่ายชนะด้วยวาทะอันคมคาย จนกระทั่งข่มรัศมีของผู้ผูกปัญหาด้วยแล้ว  จึงนับว่าเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง

        ด้วยเหตุนี้เอง มโหสถจึงจำเป็นต้องคิดหาอุบายที่แยบคาย เพื่อจะคลี่คลายปัญหานั้นให้กระจ่าง ดุจดังนายขมังธนูผู้เชี่ยวชาญในศรศิลป์ ยิงลูกศรขึ้นไปในอากาศเพียงดอกเดียว แต่สามารถประหารนกได้ถึงสองตัวฉะนั้น

        ครั้นเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนี้ ปุโรหิตาจารย์ทั้ง ๔ จึงต่างหมดท่า หน้าเสียไปตามๆกัน ยิ่งอาจารย์เสนกะบัณฑิตด้วยแล้ว บัดนี้กลับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ มีสีหน้าซีดเผือด เหงื่อตก จิตใจว้าวุ่นกระสับกระส่ายด้วยความขุ่นแค้น  เพราะแทนที่จะได้โอกาสหยามมโหสถ แต่กลับถูกมโหสถผู้มีวัยคราวลูกคราวหลาน เย้ยหยันด้วยเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จนถึงกับต้องยอมจำนนในที่สุด

        ในเวลานั้น พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระราชหฤทัยโสมนัสเป็นที่ยิ่ง ถึงกับตรัสเรียกท่านสิริวัฒกเศรษฐีเข้ามาเฝ้า ณ ที่ใกล้ ทรงจับพระสุวรรณภิงคารคือพระเต้าทองคำอันเต็มด้วยน้ำหอม แล้วหลั่งรินลงในมือของสิริวัฒกเศรษฐี พร้อมมีพระบรมราชโองการว่า “สิริวัฒกเศรษฐีผู้เป็นศรีสง่าของชาวปาจีนยวมัชฌคาม ขอท่านจงปกครองบ้านปาจีนยวมัชฌคามเยี่ยงพระราชาเถิด  แม้เหล่าอนุเศรษฐีทั้งหลายในปาจีนยวมัชฌคาม ก็จงเป็นข้าเฝ้าของท่านแต่เพียงผู้เดียวเถิด” 

        ตรัสดังนี้แล้ว ท้าวเธอก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานเครื่องประดับอันงดงาม สมควรเป็นเครื่องประดับของพระเทวี  โดยรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดส่งไปพระราชทานแก่นางสุมนาเทวีผู้เป็นมารดาของมโหสถถึงปาจีนยวมัชฌคามในทันที  และเพราะเหตุที่ทรงพอพระทัยใน
ตัวมโหสถยิ่งนัก พระราชาจึงมีรับสั่งกับท่านเศรษฐีว่า “ท่านคฤหบดี ขอท่านจงให้มโหสถแก่เราเถิด เราปรารถนาจะรับเธอไว้ในฐานะราชกุมารของเราเลยทีเดียว”
 

        ท่านสิริวัฒกเศรษฐีนั้นมีความรักในมโหสถเป็นกำลัง ไม่ปรารถนาจะให้พลัดพรากจากตนไปตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเยาว์ ด้วยคิดว่าลูกของเรายังตัวเล็กแค่นี้ เขาจะเข้ารับราชการสนองงานของพระราชาได้อย่างไร แต่ท่านเศรษฐีจะกล้ากราบทูลปฏิเสธหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป
 
 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 42ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 42

ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 43ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 43

ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 44ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 44



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก