วันที่รอคอย


[ 7 ส.ค. 2551 ] - [ 18265 ] LINE it!

วันที่รอคอย
จดหมายจากกัลยาณมิตรอัญชลี
(คุณแม่ของน้องอินลาน และน้องจาชัวร์)
 
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
 
    งานบรรพชาสามเณรลูกชายในปีนี้ ลูกได้รอคอยด้วยใจจดจ่อ ปลาบปลื้มและตื่นเต้น คงเป็นเพราะคุณพ่อบ้านได้มาร่วมงานด้วย ใครจะรู้บ้างว่าตัวลูกใช้เวลาทั้งหมด 3เดือนในการขออนุญาตจากคุณพ่อบ้าน ในวันแรกของการสนทนากับคุณพ่อบ้าน ไม่มีคำตอบอื่นใดเลย นอกจาก “ไม่ได้ ถ้าลูกเราต้องการบวชครั้งที่สอง ต้องข้ามศพผมไปก่อน” ถึงแม้จะมีเหตุผลที่ดีและถูกต้องอย่างไรก็ตาม คำตอบก็คือ No…No…No (ไม่ได้...ไม่ได้...ไม่ได้) น้ำตาของความน้อยใจก็ไม่ทำให้คุณพ่อบ้านใจอ่อนเลย สองชั่วโมงผ่านไปก็ไม่มีท่าทีของการยินยอม เขาบอกว่า “ผมขอโทษและเสียใจที่ทำตามคำขอร้องของคุณไม่ได้ สำหรับลูกของเรา ผมจะบอกเขาเอง”
 
    ปีนี้เป็นปีที่ อิลาน อายุครบสำหรับ “พิธีบามิสว่า” (อายุ 13ปี) การเตรียมตัวก็คือ การศึกษาคัมภีร์โทร่ามากขึ้น สนทนาและถกปัญหา เรื่องการเป็นชาวยิวอย่างเข้มข้น การฉลองจะออกมาในรูปของงานสังสรรค์ อิลานจึงต้องแต่งตัวหล่อเกือบทุกอาทิตย์ สำหรับอิลาน เขาเลือกที่จะเดินทางไปอิสราเอลแทนงาน Party
 
    การได้เรียนรู้เรื่องการสร้างชาติของชาวยิว และสภาพโบราณสถานที่แสดงออกถึงความเป็นชนชาติที่มีความอดทนและฉลาด ทำให้อิลานเกิดความภาคภูมิใจ และต้องการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับบรรพบุรุษของตนให้มากขึ้น การตัดสินใจของอิลานทำให้ตัวลูกได้หยิบยกขึ้นมาบอกคุณพ่อบ้านว่า...
 
“ฉันกำลังเลี้ยงลูกให้เป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้ตาม แต่ผู้นำของฉันต้องรู้ทุกอย่าง และไม่ใช่รู้แบบครึ่งๆกลางๆด้วย”
ความเงียบของคุณพ่อบ้านทำให้ลูกพูดต่อว่า “น่าเสียดายนะคุณ ที่เขา (อิลาน) ต้องมาเสียโอกาสตรงนี้ เพราะความไม่เข้าใจของคุณ และน่าแปลกที่ฉันเข้าใจการเป็นชาวยิวของคุณได้ แต่คุณไม่คิดแม้แต่จะทำความรู้จักในสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุข”
“ก็ผมไม่ได้ให้คำสัญญาที่จะเป็นชาวพุทธนี่” คุณพ่อบ้านตอบ
“ฉันไม่ต้องการให้คุณเป็นพุทธ ฉันขอแค่ความเข้าใจเท่านั้น”
 
    ความเงียบขรึมและไม่ร่าเริงของตัวลูก ทำให้คุณพ่อบ้านสังเกตเห็น
“คุณเป็นอะไร อะไรทำให้คุณไม่มีความสุขหรือ”
ตัวลูกไม่ตอบยังรักษาความเงียบไว้เช่นเดิม รอยยิ้มแบบเศร้าๆ ทำให้คุณพ่อบ้านยิ่งคิดหนักขึ้น
“ตกลงผมจะให้ลูกบวช คุณกับลูกไปเมืองไทยได้”
 
    คำอนุญาตทำให้ตัวลูกดีใจ แต่ก็ต้องทำใจแข็งตอบกลับไปว่า...
“มันไม่มีประโยชน์หรอกคุณ ถ้าคุณไม่เป็นหนึ่งในความสำคัญตรงนี้ ที่สำคัญ คือ มันถึงเวลาที่คุณจะต้องเรียนรู้เรื่องการนั่งสมาธิจริงๆเสียที ขณะที่ลูกๆอยู่ในโครงการบวช คุณกับฉันจะต้องไปปฏิบัติธรรมกัน”
 
 
    ถึงแม้คุณพ่อบ้านจะทราบว่า ตนเองจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมงานบวชของลูกๆ ก็ยังทำใจกับการโกนหัวของลูกๆไม่ได้ ขณะที่เดินประทักษิณ คุณพ่อบ้านก็บ่นเบาๆกับตัวลูกว่า “ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วนะคุณ” ตัวลูกยิ้มไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ความนิ่งสงบทำให้เขาสงบไปด้วย เมื่อเห็นจาชัวร์นั่งคุกเข่าด้วยอาการสงบ น้ำตาของตัวลูกก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ยิ่งคิดว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายในการบวชสามเณร น้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสาย ปากก็พูดกับลูกนาคว่า “ตั้งใจนะคะคนดี”
 
    หันไปมองทั้งอิลานและจาชัวร์ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าที่สดใส สายตาที่นิ่งสงบของอิลาน ทำให้อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกเช่นกัน สายตาของอิลานที่มองไปที่พ่อ ทำให้รับรู้ถึงความดีใจและประหลาดใจ ปากก็กระซิบถามว่า “ทำอย่างไรพ่อถึงยอมใส่ชุดอุบาสกได้” ลูกได้แต่ยิ้ม
 
 
    เมื่อถึงเวลาถวายบาตร จาชัวร์-อิลานแฟนคลับ ก็หลั่งไหลเข้ามาถวายปัจจัยใส่ลงในบาตร คุณพ่อบ้านก็ถามว่า “พวกเขาทำอะไรกันนะคุณ ทำไมพวกเขาถึงต้องให้เงินกันด้วย” เพราะความเชื่อของชาวยิว การให้เงินกันต่อหน้าจะเป็นการได้บุญน้อย ยิ่งมีคนรุมถ่ายรูปสามเณร เขาก็บอกตัวลูกว่า “บอกให้เขาไปถ่ายรูปคนอื่นเถอะคุณ เขาถ่ายรูปจาชัวร์เยอะแล้ว”
 
    ลูกจะคอยบอกและอธิบายเฉพาะช่วงพิธีกรรมเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นให้คุณพ่อบ้านสัมผัสด้วยตัวเอง จะไม่โต้ตอบอะไรนอกจากรอยยิ้ม
 
    ใบหน้าของคุณพ่อบ้านสดใส แสดงความห่วงใยกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของรอยยุงกัด…
“คุณสังเกตยุงกัดหัวลูกหรือเปล่า มันเป็นรอยแดง และที่ลูก (จาชัวร์) เขียนจดหมายถึงคุณ ลูก (จาชัวร์) ร้องไห้ตั้งสามครั้ง มันเหมาะหรือ ผมหวังว่าคุณรู้นะว่ากำลังทำอะไร”
 
    สำหรับจดหมายของอิลาน คุณพ่อบ้านไม่กล่าวถึง เพราะข้อความในจดหมายทำให้เขาเสียใจ…
“ผมไม่เข้าใจอิลานเลย ถ้าเขาเลือกที่จะเป็นพุทธ ผมกับเขาก็คงต้องสิ้นสุดกัน”
“อ้าว...แล้วฉันล่ะ” ลูกถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณก็เหมือนกัน” พูดจบแล้วก็ยิ้ม
 
    ประโยคนี้ลูกได้ยินอีกครั้งในวันอาทิตย์ เมื่อคุณพ่อบ้านเดินผ่าน ลูกเณรก็หยุดสนทนาด้วย
“ลูกชายคุณ เขาอินกับการเป็นคนพุทธจริงๆ ถ้าเขาเลือกเป็นพุทธ เราก็คงจะหมดความเป็นพ่อลูกกัน” สายตาของคุณพ่อบ้านดูเป็นกังวลและเศร้าๆ
 
    เมื่อความเครียดและกังวลเข้ามาคุมใจ คุณพ่อบ้านก็เริ่มมีคำถาม...
“Why do they have to do this? Why do they have to do that? Why? Why? Why?” (ทำไมพวกเขาทำอย่างนี้ ทำไมพวกเขาทำอย่างนั้น ทำไม ทำไม ทำไม”
“ฉันขอตอบคำถามเหล่านี้ หลังจากการไปนั่งสมาธิได้ไหมคะ”
“แล้วผมจะบอกคุณพ่อผมอย่างไร” คุณพ่อบ้านเปรยๆขึ้น ในขณะนั่งรถขึ้นไปสุขสว่าง
“ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณฉลาดพอที่จะให้เหตุผลกับคุณพ่อของคุณได้” ลูกตอบ
 
    การปฏิบัติธรรมเป็นไปได้ด้วยดี เพราะมีสมาชิกที่ร่วมปฏิบัติธรรมไม่มากนัก จึงมีความเป็นกันเองมากขึ้น อารมณ์ของคุณพ่อบ้านดูสบาย นั่งฟังคำบรรยายจากพระอาจารย์ด้วยอาการสงบ เมื่อถึงเวลาก้มกราบพระอาจารย์ เขาก็ทำด้วยอาการนอบน้อม
 
    ผลของการปฏิบัติธรรมในวันแรก เขาบอกว่า “ผมผ่อนคลายได้ในตอนแรก และก็ฟุ้งเสียส่วนใหญ่ ผมสามารถสัมผัสความสงบได้” ในวันที่สองของการปฏิบัติธรรม เขาถามลูกว่า “คุณเป็นอย่างไรบ้าง บางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเบา ตัวขยาย เล็กบ้างใหญ่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงเวลาสั้นๆ” ใบหน้าของคุณพ่อบ้านดูสดใส รอยยิ้มของเขาบ่งบอกถึงความสบายอารมณ์
 
    ขณะที่รับประทานอาหารกลางวัน เขาก็บอกกับตัวลูกว่า “ต่อไปนี้ ผมจะไม่ว่าร้ายใครอีกแล้ว มันเป็นคำสอนของชาวยิวนะ” ลูกได้แต่ยิ้ม เวลาว่างคุณพ่อบ้านก็จะไปเยี่ยมลูกเณรที่ปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้ๆ ความสดใสของสามเณรทำให้คุณพ่อบ้านต้องการไปบ่อยขึ้น และชอบอยู่ด้วยนานๆ เพียงแค่ตัวลูกมองลูกเณรในผ้าชุดสุดท้ายก็ทำให้ลูกมีความสุขแล้ว
 
 
 
    ในวันที่คุณพ่อบ้านต้องเดินทางกลับอเมริกา สามเณรจาชัวร์ได้พูดด้วยความตั้งใจว่า “โยมแม่ผมจะตั้งใจนั่งสมาธิและอธิษฐานให้ได้เป็นพระอรหันต์ก็พอ เพราะการเป็นพระพุทธเจ้าต้องสร้างบารมีอย่างยิ่งยวดอีกสิบอย่าง มันจะใช้เวลานานเกินไป และไม่ต้องห่วง ผมไม่ลืมที่จะอธิษฐานให้ Daddy (คุณพ่อ) เข้าใจพวกเรา”
 
 
    เมื่อลูกติงสามเณรอิลานเกี่ยวกับความซุกซน สามเณรก็ตอบว่า “ไม่ต้องห่วงครับ ผลการปฏิบัติธรรมของผมยังดีอยู่ เข้ากลางได้ องค์พระก็ยังใสและใหญ่เหมือนเดิม”
“ลูกเณรอย่าลืมนะคะว่า Daddy ยังไม่เข้าใจอะไร ต่อต้านและปฏิเสธเรื่องความเชื่อทั้งหมด ถ้าลูกเณรไม่ต้องการให้การบวชครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ลูกเณรก็ต้องตั้งใจเอาบุญใหญ่นะคะ และอย่าลืมด้วยว่า เรากำลังจะเอาการทำสมาธิเข้าไปในโรงเรียนที่อเมริกา อันนี้ต้องใช้บุญมาก เราต้องช่วยกันอธิษฐาน” ลูกย้ำความตั้งใจให้สามเณรอีกครั้ง สามเณรอิลานพยักหน้ายิ้มรับ
 
    ก่อนที่คุณพ่อบ้านจะกลับ ลูกได้นำเขาไปชมสถานที่ปฏิบัติธรรมที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสร้างไว้ให้สาธุชนมาใช้ และในแต่ละที่ก็เป็นสัปปายะ ประกอบกับการอธิบายที่ง่ายๆว่า “คุณนั่งสมาธิได้แค่สองวัน ยังทำให้คุณรู้สึกดี ไม่ต้องการว่าร้ายใครอีก บุคคลเหล่านี้จะนั่งสมาธิถึงหกวัน ความรู้สึกที่ดีย่อมจะมีมากกว่า จากนั้นเขาก็จะไปแนะนำคนอื่น พอจะมองออกไหมคะว่า ถ้ามีคนนั่งสมาธิมากๆแล้ว ประเทศไทยก็จะกลายเป็นประเทศที่สงบ คนก็มีคุณธรรมมากขึ้น คุณพ่อบ้านพยักหน้ารับรู้ แล้วลูกก็ก้มลงกราบเท้าของสามี “ขอบคุณมากค่ะ สำหรับการมาเมืองไทยของคุณ มันมีความหมายมากสำหรับฉันและลูก”
 
    ตัวลูกต้องยอมรับว่า การก้มลงกราบเท้าของสามีนั้น มันยากเย็นเข็ญใจจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ลูกทำได้สำเร็จ คือ ทิฐิในตัวลูกได้หายไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงว่า จะทำตัวอย่างไรให้เป็นลูกที่ดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อต่อไป


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
กัลยาณมิตรคำน้อย แสงใจกัลยาณมิตรคำน้อย แสงใจ

ตักบาตรพระ เยาวราชตักบาตรพระ เยาวราช

น้ำท่วมจังหวัดหนองคายน้ำท่วมจังหวัดหนองคาย



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ช่วงเด่นฝันในฝัน