ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 132


[ 10 ต.ค. 2551 ] - [ 18267 ] LINE it!

ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 132
 
 
    จากตอนที่แล้ว กองทัพของพระเจ้าจุลนีได้เคลื่อนขบวนทัพกลับไปยังที่ตั้งค่ายเดิม เพื่อล้อมมิถิลานครต่อไป ลำดับนั้น พระเจ้าจุลนีจึงทรงหารือกับพราหมณ์เกวัฏว่า “ท่านอาจารย์ เราจะทำอย่างไรต่อไป จึงจะสามารถรุกเข้าไปในเมืองได้เล่า”
 
    พราหมณ์เกวัฏจึงกราบทูลว่า “คราวนี้ เราคงไม่มีทางเลือก แม้ว่าจะละเมิดธรรมเนียมแต่โบราณก็ต้องยอม นั่นคือจะต้องยึดประตูเมืองทุกด้านไว้ ไม่ว่าประตูน้อยหรือประตูใหญ่ ก็ปิดกั้นไม่ให้คนในเมืองออกมาภายนอกได้เลย เมื่อบ้านเมืองถูกปิดล้อมหนาแน่นเช่นนี้ ส่วนคนข้างในก็จะพากันลำบาก จนในที่สุดก็จะพากันเปิดประตูเมืองออกมาเอง ถึงตอนนั้น จะมีใครหนีรอดเงื้อมมือของพระองค์ไปได้ พระพุทธเจ้าข้า”
 
    พระเจ้าจุลนีก็ทรงเห็นชอบด้วย ตรัสว่า “ท่านอาจารย์ อุบายนี้คมคายทีเดียว ตกลงเป็นอันปฏิบัติตามคำของท่านอาจารย์” ตรัสดังนี้แล้ว ก็รับสั่งให้จัดทหารให้เข้าไปคุมประตูทุกด้าน ห้ามมิให้คนข้างในออกมาข้างนอกเด็ดขาด
 
    เพราะเพียงไม่กี่ชั่วยาม หลังจากที่พระเจ้าจุลนีทรงปรึกษากับพราหมณ์เกวัฏ มโหสถก็ได้รับทราบข่าวคราวจากผู้สืบราชการลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับทุกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอุบายของพราหมณ์เกวัฏในครั้งนี้ จะยิ่งเฉียบคมกว่าอุบายครั้งก่อนหลายเท่านัก ดังนั้น มโหสถจึงตระหนักถึงภัยที่จะเกิดแก่บ้านเมือง จึงคิดหาอุบายพลิกสถานการณ์ร้าย โดยวางแผนที่จะขับไล่กองทัพข้าศึกให้แตกพ่ายไปโดยเร็ว ด้วยการหาคนปลอมเป็นไส้ศึก จึงได้เรียกพราหมณ์ท่านหนึ่งชื่อว่า อนุเกวัฏ ซึ่งเป็นผู้ฉลาดหลักแหลม ได้เล่าสถานการณ์ของบ้านเมืองทั้งหมด และได้ขอร้องให้พราหมณ์อนุเกวัฏ ช่วยทำงานนี้เพื่อชาวมิถิลา
 
    พราหมณ์อนุเกวัฏได้คิดอย่างรอบครอบแล้ว ก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นว่า “ท่านบัณฑิต ความภาคภูมิใจอันใดเล่าในชีวิต ที่จะมาเทียบเท่ากับการที่ได้รับใช้ชาติบ้านเมือง และยังมีส่วนได้ช่วยงานท่านบัณฑิตอีก ท่านจะให้ข้าพเจ้าทำอะไร จงบอกมาเถิด หากว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์แก่แผ่นดินเกิด ต่อให้ต้องสละชีวิต ข้าพเจ้าก็ยินดี” พราหมณ์อนุเกวัฏกล่าวด้วยความเต็มตื้น
 
    มโหสถบัณฑิตกล่าวชื่นชมว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์มาก ข้าพเจ้าคิดไม่ผิดจริงๆ สมแล้วที่ข้าพเจ้าวางใจเลือกท่านมาเพื่อรับหน้าที่อันสำคัญนี้” จากนั้นจึงได้ชี้แจงอุบายที่คิดไว้เป็นขั้นเป็นตอนอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน จนสิ้นข้อสงสัย พราหมณ์อนุเกวัฏเมื่อทราบอุบายอย่างดีแล้ว จึงกล่าวกับมโหสถบัณฑิตว่า…
 
“ข้าพเจ้าพร้อมที่จะทำตามอุบายของท่านแล้ว ขอจงสั่งการมาเถอะ”
มโหสถจึงถามย้ำเพื่อหยั่งความคิดว่า “การที่จะแฝงตัวเข้าไปเป็นไส้ศึกในกองทัพปัญจาละนั้น ท่านอาจารย์คงต้องทนเจ็บหน่อย เพราะต้องมีการกระทำทารุณแก่ท่านบ้าง เพื่อให้อุบายนี้แนบเนียนสมจริงอย่างไรล่ะ”
“จะให้ข้าพเจ้าสละชีวิตหรือไม่ล่ะ” อนุเกวัฏถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ถึงขนาดนั้นดอกท่านอาจารย์ เพียงแต่ท่านจะต้องอดทนต่อการถูกเฆี่ยนเท่านั้นเอง” มโหสถชี้แจง
“เพียงเท่านั้นจะเป็นไรไปท่านบัณฑิต” พราหมณ์อนุเกวัฏกล่าวด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
“ชีวิตของข้าพเจ้าสละแล้วเพื่อแผ่นดิน ฉะนั้น...ท่านจะทำประการใดก็สุดแล้วแต่ท่านเถิด ข้อนี้ข้าพเจ้าไม่ห่วงดอก จะห่วงก็แต่คนในครอบครัวของข้าพเจ้าเท่านั้น ฝากท่านช่วยคุ้มครองดูแลด้วย อย่าให้ต้องเดือดร้อนก็เพียงพอแล้ว” พราหมณ์อนุเกวัฏยืนยันหนักแน่นด้วยความภาคภูมิใจ เยี่ยงทหารหาญที่อาสาสู้ศึกด้วยความยินดีที่จะได้รับใช้แผ่นดินมาตุภูมิอันเป็นแดนเกิด
 
    เมื่อเห็นว่าพราหมณ์อนุเกวัฏมีความเสียสละ และกล้าหาญชาญชัยถึงเพียงนั้น มโหสถก็ยิ่งมีความปลาบปลื้มยินดี จึงเป็นฝ่ายยืนยันอย่างแข็งขันเช่นกันว่า จะรับอุปการะครอบครัวของพราหมณ์อนุเกวัฏอย่างดีที่สุด พร้อมกับกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “คราวนี้ล่ะ กองทัพของพระเจ้าจุลนีจะต้องหนีเตลิดไปเหมือนฝูงกาที่ถูกขว้างด้วยก้อนดิน ไปเถิดท่านอาจารย์ อย่ามัวช้าอยู่เลย เราจะต้องเริ่มดำเนินการตามอุบายนี้โดยเร็วที่สุด จะได้ช่วยกันถอดถอนความลำเค็ญเข็ญใจของพี่น้องชาวมิถิลา เพื่อถวายความสวัสดีแก่เจ้าเหนือหัวของเรา และเพื่อความสุขสงบร่มเย็นแก่ชาววิเทหรัฐสืบไป”
 
    นับจากวันนั้นมา พราหมณ์อนุเกวัฏก็ได้เริ่มดำเนินการตามอุบายของมโหสถบัณฑิตทันที...แล้วในวันหนึ่ง ขณะที่ทหารฝ่ายมิถิลาซึ่งรักษาการอยู่ตามป้อมและกำแพง กำลังพักทานอาหารกัน คงเหลือแต่ทหารเวรยามรักษาการณ์ตามหน้าที่
 
    พราหมณ์อนุเกวัฏจึงได้ถือโอกาส ในขณะที่เวรยามเผลอ ปรากฏตัวขึ้นที่ชายกำแพงต่อหน้าทหารฝ่ายแห่งปัญจาละ แล้วหยิบขนมบ้าง ปลาบ้าง เนื้อบ้าง โยนไปให้แก่ทหารฝ่ายปัญจาละ พร้อมตะโกนบอกแก่ทหารฝ่ายศัตรูว่า “มาเถิดพวกท่าน มาทางนี้เร็ว จงมารับขนม ปลา และเนื้อเหล่านี้ ไปแบ่งกันกินให้อิ่มหนำสำราญเถิด” ทหารฝ่ายปัญจาละได้ยินดังนั้น ก็พากันเข้ามารับของกินเหล่านั้นไปด้วยอาการงงๆ
 
    แล้วตะโกนบอกไปอีกว่า “ขอพวกท่านจงเฝ้าอยู่ ณ ที่นี้ไปอีกสักหน่อย รอคอยอีกเพียงสักสองสามวันเท่านั้น ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเท่าใด ท่านก็จะสามารถเข้าตีมิถิลานครได้แน่ เพราะบัดนี้ชาวเมืองกำลังกระวนกระวายใจเหมือนฝูงไก่ที่ถูกขังอยู่ในกรง ไม่ช้าดอกจะต้องเปิดประตูเมืองอย่างแน่นอน ทีนั้นล่ะ พวกท่านจะสามารถจับพระเจ้าวิเทหราชและมโหสถได้ตามสบาย”
 
    ทหารฝ่ายมิถิลาที่ไม่รู้อุบายมาก่อน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของพราหมณ์อนุเกวัฏ และได้เห็นอนุเกวัฏโยนเสบียงให้แก่ฝ่ายศัตรู ก็พากันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงต่างกรูกันเข้าไปคว้าตัวอนุเกวัฏมา ด่าทอตวาดขู่สารพัดอย่าง แล้วก็จับกุมตัวไปยังกองบัญชาการรบในที่สุด
 
    ฝ่ายมโหสถบัณฑิตเมื่อได้รับแจ้งเรื่องนี้แล้ว ก็เรียกพราหมณ์อนุเกวัฏเข้ามาไต่สวนความผิดท่ามกลางเหล่าเสนามนตรีและพลทหาร ส่วนว่ามโหสถบัณฑิตกับพราหมณ์อนุเกวัฏจะมีวิธีการอย่างไรต่อไป เพื่อให้สถานการณ์ดูแนบเนียนที่สุดเป็นไปตามอุบายที่วางไว้ โปรดติดตามตอนต่อไป
 
 
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 133ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 133

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 134ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 134

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 135ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 135



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก