พระพุทธคุณ ตอน พระคุ้มครอง
จุดหมายปลายทางของทุกชีวิต คือ การไปสู่อายตนนิพพาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นต้นแบบของบุคคลที่สมบูรณ์ ได้บรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิตแล้ว ในระหว่างที่ทรงสร้างบารมี พระองค์ต้องเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏอันยาวไกล เกิดเป็นอะไรต่ออะไรมากมาย พระองค์ทรงพบว่าชีวิตเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเกิดเป็นพระราชามหากษัตริย์ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ ดังนั้น พระองค์จึงทรงสละราชสมบัติอันเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของมนุษย์ แล้วทรงแสวงหาหนทางพ้นทุกข์มุ่งสู่พระนิพพาน
ชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนมีความทุกข์เป็นพื้นฐาน จึงต้องแสวงหาที่พึ่งเพื่อให้เกิดความอบอุ่นใจและปลอดภัย แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักที่พึ่งที่แท้จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อถูกภัยคุกคามย่อมยึดเอาภูเขาป่าไม้ว่าเป็นที่พึ่ง แต่ที่พึ่งนั้นไม่เกษม ไม่อุดม เพราะบุคคลอาศัยแล้วย่อมไม่พ้นจากทุกข์ไปได้ ส่วนผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ที่พึ่งนั้นแลเป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันอุดม เมื่อบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”
พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่แท้จริง เป็นแหล่งกำเนิดของความสุขที่มีอยู่ในตัวของเราทุกคน เมื่อเข้าถึงแล้วเราจะมีความสุข จะรู้สึกปลอดภัย ภัยอันตรายใดๆ จะไม่มากลํ้ากราย เพราะฉะนั้น บุคคลใดปรารถนาความสุขความสำเร็จ และความปลอดภัยในชีวิต หรือแม้ปรารถนาความหลุดพ้นจากภัยในวัฏสงสาร หากหมั่นระลึกถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก บุคคลนั้นย่อมสมความปรารถนาได้ ดังเช่นลูกชายของคนตัดฟืน ดังเรื่องมีอยู่ว่า
* ในกรุงราชคฤห์มีเด็กชาย ๒ คน เป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งเป็นลูกของชาวพุทธ นับถือพระพุทธเจ้า อีกคนหนึ่งเป็นลูกของคนมิจฉาทิฏฐิ เด็กชายทั้ง ๒ คนนี้ ชอบเล่นขลุบด้วยกันเสมอ เด็กคนที่นับถือพระพุทธเจ้าจะระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า โดยกล่าวว่า "นโม พุทฺธสฺส" ทุกครั้งก่อนจะทอดขลุบ ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งจะระลึกถึงคุณของเดียรถีย์ก่อนจะทอดขลุบเช่นกัน
ผลการแข่งขันปรากฏว่า เด็กที่นับถือพระพุทธเจ้าชนะทุกครั้ง เด็กที่นับถือเดียรถีย์จึงคิดว่า "เพื่อนคนนี้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าก่อนทอดขลุบ จึงชนะเราทุกครั้ง เราจะต้องทำอย่างนั้นบ้าง” เขาเริ่มระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าบ้าง ซึ่งเป็นการสั่งสมพุทธานุสติโดยที่เขาไม่รู้ตัว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
วันหนึ่ง พ่อของเขาได้เทียมเกวียนออกไปตัดฟืนนอกเมืองโดยพาเขาไปด้วย เมื่อได้ฟืนเต็มเกวียนแล้ว ระหว่างเดินทางกลับได้หยุดพัก และปล่อยโคให้พักกินน้ำกินหญ้าในที่ใกล้ๆป่าช้านั้น โคของเขาได้ตามฝูงโคอื่นๆ เข้าเมืองไป เมื่อรู้ว่าโคของตนหายไป พ่อจึงให้ลูกชายเฝ้าเกวียนไว้ ส่วนตนออกเที่ยวตามหาโคจนเย็น ครั้นจะกลับออกไปนอกเมือง ประตูเมืองปิดเสียก่อน จึงออกไปไม่ได้ ฝ่ายลูกรอจนง่วง จึงคลานเข้าไปนอนหลับอยู่ใต้เกวียนเพียงลำพัง
สมัยนั้นในกรุงราชคฤห์ เวลากลางคืนจะเต็มไปด้วยอมนุษย์ คืนนั้นมียักษ์ ๒ ตน ออกหากินในป่าช้า ตนหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ อีกตนหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยักษ์มิจฉาทิฏฐิเห็นเด็กนอนหลับก็ตรงเข้าไปจะจับเด็กกินเป็นอาหาร ยักษ์สัมมาทิฏฐิรีบห้ามไว้ แต่ยักษ์มิจฉาทิฏฐิไม่ฟังตรงเข้าไปลากเด็กออกมา เด็กตกใจจึงอุทานด้วยความคุ้นเคยว่า "นโม พุทฺธสฺส" เพราะความที่ตนได้สั่งสมพุทธานุสติอยู่เนืองนิตย์ ทันทีที่ยักษ์ได้ยินพระนามของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ก็สะดุ้งหวาดกลัวรีบถอยห่างออกมาทันที
ยักษ์สัมมาทิฏฐิจึงบอกว่า “ท่านได้ทำกรรมหนักเสียแล้ว ได้ล่วงเกินเด็กผู้มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ จะต้องทำความดีเพื่อไถ่บาป” จึงได้ยืนคุ้มครองเด็กน้อย ส่วนยักษ์มิจฉาทิฏฐิได้เข้าไปในเมือง นำอาหารรสเลิศซึ่งเป็นของพระราชามา แล้วปลุกเด็กขึ้นมากินอาหาร เมื่อเด็กน้อยกินอิ่มก็หลับต่ออย่างสุขสบาย
ยักษ์ทั้งสองทำตัวเหมือนเป็นมารดาบิดาของเด็ก โดยยืนอารักขาตลอดทั้ง คืนเพื่อไม่ให้เด็กน้อยได้รับอันตรายใดๆ ครั้นรุ้งเช้าก่อนที่จะอันตรธานหายไป ยักษ์ได้จารึกเรื่องทั้งหมดที่ถาดอาหารพลางอธิษฐานว่า “ขอให้พระราชาเท่านั้นที่เห็นตัวอักษรเหล่านี้”
รุ่งขึ้น พวกราชบุรุษตามหาถาดทองคำ ซึ่งเป็นภาชนะสำหรับเสวยของพระราชา ได้พบถาดทองคำบนเกวียนบรรทุกฟืนที่เด็กนั้นนอนหลับอยู่ จึงจับเด็กไปเข้าเฝ้าพระราชา พระเจ้าพิมพิสารทอดพระเนตรเห็นตัวอักษรที่ถาดทองคำ จึงตรัสถามว่า “นี่คืออะไร เด็กกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ไม่ทราบ แต่เมื่อคืนมารดาบิดาของข้าพระองค์ ได้นำถาดอาหารนี้มาให้ แล้วยืนดูแลอยู่ ข้าพระองค์ทราบเพียงเท่านี้ พระเจ้าข้า”
เมื่อมารดาบิดาของเด็กตามมาพบลูกในพระราชวัง พระราชาทรงถามเรื่องราว ทั้งหมดพลางดำริว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา จะต้องมีผู้ประสงค์จะประกาศคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เนื่องจากพระราชาเป็นโสดาบันแล้ว จึงมีความเลื่อมใสมั่นคงในพระรัตนตรัย ยิ่งทอดพระเนตรอักษรที่จารึก ก็ยิ่งบังเกิดความปีติโสมนัสเป็นที่สุด
พระราชาได้พาคนทั้งสามไปเฝ้าพระบรมศาสดา และทูลถามพระพุทธองค์ว่า“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระพุทธเจ้ามีคุณอย่างน่าอัศจรรย์ ข้าพระองค์อยากทราบว่า พุทธานุสติเท่านั้นหรือ ที่สามารถปกป้องคุ้มครองรักษาผู้ที่ระลึกถึง ถ้าหากเจริญอนุสติอื่นๆเป็นสรณะ จะสามารถช่วยป้องกันภัยได้หรือไม่ พระเจ้าข้า”
พระบรมศาสดาตรัสว่า“มหาบพิตร ไม่ใช่แต่เพียงพุทธานุสติเท่านั้น แต่จิตของชนเหล่าใดที่อบรมดีแล้วด้วยฐานะทั้ง ๖ ชนเหล่านั้นไม่ต้องใช้มนต์หรือโอสถอื่นมารักษาเลย” แล้วตรัสพุทธพจน์ว่า
“สติของชนเหล่าใด เป็นไปแล้วในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และในกายเป็นนิจ มีใจยินดีแล้วในความไม่เบียดเบียน ยินดีในการภาวนา ชนเหล่านั้นเป็นสาวกของเรา เขาย่อมตื่นอยู่ด้วยดีในกาลทุกเมื่อ”
เมื่อจบพระธรรมเทศนา เด็กและบิดามารดาได้บรรลุธรรมเป็นโสดาบันบุคคล ต่อมาภายหลังคนทั้งสามได้บวช และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้น พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์จึงมีอานุภาพมาก เป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุด อีกทั้งความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ก็มีอานิสงส์มากสุดที่จะนับจะประมาณได้ สามารถขจัดทุกข์โศกโรคภัยต่างๆได้ ถ้าเข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว เราจะประสบแต่ความสวัสดีมีชัยตลอดไป
เพราะฉะนั้น พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์จึงมีอานุภาพมาก เป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุด อีกทั้งความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ก็มีอานิสงส์มากสุดที่จะนับจะประมาณได้ สามารถขจัดทุกข์โศกโรคภัยต่างๆได้ ถ้าเข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว เราจะประสบแต่ความสวัสดีมีชัยตลอดไป
เราทุกคนเป็นผู้นับถือพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ให้ตรึกระลึกถึงท่านตลอดเวลา มหากุศลจะบังเกิดขึ้นทุกครั้งที่เรานึกถึง จะทำให้จิตใจเราบริสุทธิ์ขึ้น และความบริสุทธิ์จะทำให้เราเข้าถึงพระรัตนตรัยที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป
ดังนั้น เราจึงไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ควรรีบปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย คือพุทธรัตนะที่อยู่ภายใน ซึ่งเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา เมื่อเข้าถึงพระธรรมกายแล้ว เราจะเข้าใจแจ่มแจ้ง และซาบซึ้งในคุณของพระรัตนตรัย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้น ขอให้หมั่นปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ ฝึกใจให้หยุดนิ่งไปทุกๆวัน ไม่ช้าจะสมปรารถนากันทุกคน
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
* มก.เรื่องนายทารุสากฏิกะ เล่ม ๔๓ หน้า ๑๖๙