ความกตัญญูกตเวทีดีอย่างไร - หลวงพ่อตอบปัญหา


[ 9 ส.ค. 2553 ] - [ 18280 ] LINE it!

คำถาม: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ  ลูกขอเรียนถามท่าน คนโบราณบอกไว้ว่าคนที่มีความกตัญญูกตเวที  ชีวิตของเขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง  ลูกอยากทราบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นคะ 
 
คำตอบ: เจริญพร คนที่มีความกตัญญูกตเวทีก็คือคนที่รู้คุณ แล้วก็รักที่จะประกาศคุณ  ซึ่งเคยได้รับมาจากผู้อื่น  พูดอีกทีหนึ่ง  คนที่มีความกตัญญูกตเวที  เขาเป็นคนโชคดีตั้งแต่เริ่มต้น  โชคดีตรงไหน  โชคดีตรงที่เขาเกิดมา  เขาก็ได้เจอคนดี คนมีน้ำใจ  เพราะเขาเคยได้รับน้ำใจมาจากคนดี 
 
        บางคนตลอดชีวิตไม่เคยมีใครหยิบยื่นพระคุณมาให้กับเขาเลย  ไม่ว่าเขาจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไร  ไม่เคยมีใครหยิบยื่นมาโอบอุ้ม มาช่วยเหลือ มาหอบหิ้วเขาเลย  เมื่อเป็นเช่นนั้น  เขามีความรู้สึกอย่างไร?  เขาจะรู้สึกว่าโลกทั้งโลกมีแต่ความแห้งแล้ง  มีแต่คนใจแคบ  มีแต่ตัวใครตัวมัน  แต่ว่าเขาเป็นคนโชคดี เขาได้เจอคนดี ที่พร้อมจะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้  แล้วเขาก็ได้รับด้วยตัวของเขาเอง 
 
        ถ้าคนๆ นี้เขาได้คิดอย่างที่ว่านี้  เพราะว่าเขาได้รับความมีน้ำใจมาแล้ว  เมื่อเขาได้รับความมีน้ำใจมาแล้ว  เขาก็รู้คุณค่าของความมีน้ำใจนั้นด้วย  นั่นแหละเขาเรียกว่าคนมีความกตัญญู  คือคนรู้คุณ  ที่เขาเคยทำให้กับตัวเอง
 
        แต่ถ้าคนไหน ทั้งๆ ที่เขายื่นมือมาช่วยเหลือ  ทำให้ตัวพ้นทุกข์พ้นยาก  แล้วก็ยังนึกถึงคุณเขาไม่ออก  ฟ้องว่าอะไร?  ฟ้องว่าคนนี้ใจบอดเสียแล้ว  ตาของเขาอาจจะยังดีอยู่  แต่ใจของเขามันบอด  บอดตรงที่มองความดีของคนอื่นไม่เห็น  ทั้งๆ ที่ความดีนั้นได้ถูกหยิบยื่นมาให้ตัวเขาเอง  คนประเภทนี้อันตราย  ทำไม? 
 
        ๑.  เพราะเขาจะมองคนทั้งหลายที่ไม่เคยหยิบยื่นความสุข  ความสะดวกสบายให้เขามาเลย  เหมือนคนไม่รู้จัก หรือบางทีอาจเห็นเป็นศัตรูไปเลย
 
        ๒.  แม้แต่คนที่หยิบยื่นให้ความช่วยเหลือเขามาแล้ว เขาก็ยังมองไม่เห็นความดีอีก  เมื่อเป็นเช่นนี้  โลกทั้งโลกได้กลายเป็นโลกมืดสำหรับเขาเสียแล้ว  คนประเภทนี้จึงไม่มีความสุขตลอดชีวิต  นี่คือสภาพจิตใจของคนเรา ที่มันแตกต่างกันระหว่างคนมีความกตัญญู กับคนไม่มีความกตัญญู 
 
        ๓. บางคนมีความกตัญญู  รู้ว่าเขามีคุณกับเรา  แต่ว่าแค่นี้ยังไม่พอ  มันต้องยิ่งกว่านั้น  เช่น สุนัขบางตัวที่เราเลี้ยงให้อาหาร  ถึงเวลามันยังรู้คุณเรา  เพราะฉะนั้นถ้าคนไหน  ใครเขาทำความดีให้แล้วไม่รู้คุณ   คนไทยหรือว่าคนโบราณจึงมีคำพูดหนักๆ กับคนไม่รู้คุณคน  เขาเปรียบเทียบเอาไว้มาก  ในขณะที่สุนัขบางตัวอีกเหมือนกัน นอกจากรู้คุณเจ้าของแล้ว   มันยังช่วยเฝ้าบ้านได้ด้วย  นั่นก็เป็นวิธีตอบแทนคุณอย่างหนึ่งของสุนัข  มันทำได้แค่นั้น
 
        คนเรานั้น เมื่อรู้คุณแล้วไม่คิดตอบแทนคุณ  ตรงนี้มันไม่ใช่แล้ว  เขาก็มีจิตใจดีงาม  ดีงามขนาดไหน?  ขนาดรู้คุณนั่นก็คือขนาดชั้นอนุบาล  เมื่อรู้คุณแล้ว  แต่ว่าถ้าเมื่อไหร่คิดตอบแทนคุณ  แค่คิดตอบแทนคุณเท่านั้น เพราะเขามีพระคุณต่อเรา  เมื่อมีโอกาสเราต้องตอบแทนคุณเขา นี่คือธรรมะประจำใจหรือจิตใจของเขา   ระดับธรรมะในจิตใจของเขาก็ยกขึ้นสู่ชั้นประถมได้แล้ว  เมื่อไหร่ลงมือประกาศคุณของผู้ที่มีพระคุณแก่เรา ให้ชาวโลกรู้ ประกาศคุณก่อน  ว่าท่านผู้นั้นหรือท่านผู้นี้ เคยมีพระคุณกับเราอย่างนั้นอย่างนี้  จิตใจหรือธรรมะประจำใจของคนๆ นี้ จะยกระดับอีกขั้นขึ้นสู่ระดับชั้นมัธยมเลย 
 
        ถ้าจะให้ดีเยี่ยม  ระดับอุดมศึกษาเลย เป็นอย่างไร? ลงมือตอบแทนพระคุณท่านให้สมกับที่ท่านเคยมีพระคุณต่อเรา  คนที่มีจิตใจระดับนี้ฟ้องว่าอย่างไร?  ฟ้องว่าในใจของเขาไม่เคยคิดเรื่องร้าย   คิดแต่เรื่องดี  มองโลกในแง่ดี ตรงตามความเป็นจริง โลกนี้สวยงาม   มองคนก็มองในแง่ดี  โลกนี้ยังมีคนดีอยู่  แล้วเราเองก็จะต้องเป็นคนดีอีกคนหนึ่งในโลกนี้ให้ได้   แล้วเมื่อความคิดอย่างนี้เกิดขึ้น การทุ่มเทค้นหาศักยภาพในตัวเองไปทำความดีมันก็เกิด  เมื่อคนเราค้นหาศักยภาพในตัวเองให้ทำแต่เรื่องดีๆ  คนๆนั้นจะไม่มีเวลาฟุ้งซ่าน  หรืออิจฉาตาร้อนใคร มีแต่เวลาสำหรับคิดดี พูดดี ทำดี แล้วก็จะต้องได้อย่างเดียว  คือได้ดี ได้ความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป
 
        เพราะฉะนั้นบรรพบุรุษของเราพูดถูก  ว่าคนมีความกตัญญูกตเวทีแล้วจะต้องรุ่งเรือง  เรามีปู่ย่าตายายดีๆ ฉลาดๆ อย่างนี้  ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะเชื่อท่าน  แล้วก็ทำตามท่านให้ดีที่สุด  แล้วบ้านเมืองไทยจะเจริญ
 
 
คำถาม: หลวงพ่อเจ้าค่ะ  หลวงพ่อเคยเทศน์ไว้ว่า   ความกตัญญูทำให้เกิดปัญญา  อยากถามว่าความกตัญญูจะทำให้เกิดปัญญาได้อย่างไรคะ?
 
คำตอบ: เจริญพร  “ความกตัญญู” เป็นต้นเหตุสำคัญที่จะทำให้คนเกิดปัญญา  ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างขั้นต้น   พระสารีบุตร ได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปรียบเสมือนแขนขวาของพระองค์  เลิศด้วยปัญญา   ตลอดชีวิตของพระสารีบุตร  ท่านมีแต่ความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ของท่านเป็นอย่างยิ่ง 
 
        เรื่องได้เคยบันทึกเอาไว้ในพระไตรปิฎก  ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านเคยมีครูอยู่ในศาสนาอื่น  ต่อมาท่านก็พบว่าคำสอนในลัทธิ ศาสนานั้นช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ ท่านก็ลาอาจารย์เที่ยวแสวงหาอาจารย์ใหม่จนกระทั่งมาเจอพระอรหันต์รูปหนึ่ง  พระอรหันต์รูปนั้นสอนพระสารีบุตรสั้นๆ แล้วก็ได้  บรรลุธรรมขั้นต้นเป็นพระโสดาบัน 
 
        พอบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันขั้นต้นแล้ว   ท่านก็รีบไปหาอาจารย์เก่าของท่าน  พยายามไปชักชวนให้อาจารย์เก่าของท่าน ไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้พ้นทุกข์ตามมา  แต่ว่าไปด้วยอำนาจแห่งความกตัญญูกตเวทีของท่าน  แต่น่าเสียดายครูเก่าของท่านไม่ยอมไป  ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า  พระสารีบุตรท่านทำดีที่สุดแล้ว
 
        จากนั้นมาเมื่อท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว  ทุกคืนก่อนที่ท่านจะจำวัด ท่านจะต้องนั่งเข้าที่ทำสมาธิตรวจดูก่อนว่าอาจารย์ของท่านที่เป็นพระอรหันต์  ไปประกาศศาสนาอยู่ทางทิศไหน  ไปโปรดชาวโลกอยู่ทางทิศไหน  เมื่อพบแล้ว  ท่านก็หันศีรษะไปทางนั้นก่อนนอน  กราบเสร็จก็หันศีรษะไปทางครู  คือถ้ายังทำอะไรอยู่  อย่างน้อยก็เอาอวัยวะส่วนที่สูงที่สุดในร่างกายคือศีรษะหันไปบูชาครู  นี่คือจิตใจของท่าน
 
        ส่วนอะไรที่ทำให้กับครูบาอาจารย์ท่านได้  ท่านทำเต็มที่  ถ้าวันนั้นทำไม่ได้  อย่างน้อยหันศีรษะไปบูชาครูก่อนนอนก็ยังดี  นี่คือจิตใจของท่าน และตรงนี้เองที่เป็นนิสัยติดตัวของท่านมาข้ามภพข้ามชาติ คือมากด้วยความกตัญญูกตเวที ข้ามภพข้ามชาติ  มาชาตินี้จึงยิ่งด้วยปัญญา ยิ่งกว่าพระสาวกองค์อื่น
 
        ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  ทำไมความกตัญญู  จึงทำให้มีปัญญาขึ้นมาได้ ?  ดูง่ายๆ อย่างนี้  คือพระคุณของคนที่ทำกับเรา  ใครทำความดี ใครช่วยเหลือ ใครเกื้อกูลกับเรามาก่อน  นั่นคือพระคุณที่เราได้รับ  ทีนี้เพราะได้รับพระคุณอย่างนั้น   ทำให้เราบางคนเมื่อได้พระคุณที่เขาทำมา ทำให้รอดชีวิตบ้าง บางทีก็ทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมบ้าง ให้ได้ธรรมะเพิ่มเติมบ้าง ให้ได้ความดี ความสามารถเพิ่มเติมบ้าง ก็ชีวิตของเรา ความรู้ ความดี ความสามารถ สิ่งเหล่านี้เงินซื้อไม่ได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของเรา ใครจะเอาสมบัติทั้งโลกมาแลก   เราก็ไม่เอา  เราเอาชีวิตดีกว่า  พระคุณชดใช้กันไม่หมด  เมื่อใครมีพระคุณต่อเราแล้ว ใช้ท่านไปตลอดชีวิต  ถ้ายังไม่ตาย  ท่านยังไม่ตาย หรือเรายังไม่ตาย   มีโอกาสเป็นต้องตอบแทนพระคุณกัน
 
        แม้ที่สุดท่านตายแล้ว  เรายังอยู่ก็ต้องหาทางตอบแทนพระคุณ เช่น  ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ก็ยังดี  การที่เราจะต้องค้นหาศักยภาพในตัวของเราไปตอบแทนพระคุณท่านตลอดชีวิตนี่แหละ  มันทำให้เราจะต้องเค้นสติปัญญา สะสมสติปัญญาเพิ่มพูน  เค้นสติปัญญาที่มีแต่เดิม  เอามาหาทางตอบแทนพระคุณท่านซึ่งเคยมีต่อเรา  เพียงท่านใดท่านหนึ่งมีพระคุณต่อเรา  เราก็ถูกบังคับให้ต้องเค้นสติปัญญาขึ้นมา  เพื่อหาทางไปตอบแทนพระคุณท่าน 
 
        สติปัญญา เป็นของแปลก  ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม  เหมือนอะไร?  ก็เหมือนกับนักกีฬา ยิ่งออกกำลังกายยิ่งเหนื่อย ยิ่งได้กำลังกายเพิ่มขึ้น  ทำนองเดียวกัน  เราเค้นสติปัญญาออกมามากเท่าไหร่?  เพื่อหาทางตอบแทนพระคุณท่าน  สติปัญญาของเราก็เพิ่มพูนขึ้นมาเท่านั้น 
 
        แต่คนเรานั้น  กว่าจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ ได้รับพระคุณมาจากผู้อื่นนั้น  นับไม่ถ้วน  ตั้งแต่
 
        ๑. พ่อแม่ จนกระทั่งลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตาทวด  นั่นสายหนึ่งแล้ว นับตัวตนไม่ถ้วนเลย
 
        ๒. สายครูบาอาจารย์ นับอีกไม่ไหวทีเดียว  กว่าจะจบการศึกษามาได้  โบราณเรานับจนกระทั่งถึงแม้เป็นวัวควาย ที่มาช่วยไถนาให้เรา  ยังถือว่าเป็นสัตว์มีพระคุณ   เมื่อผู้มีพระคุณต่อเราที่เป็นคน  และสัตว์มีคุณต่อเรา ก็ยังนับไม่ไหวเหมือนกัน
 
        ดังนั้น คนที่มีความกตัญญูกตเวทีแล้ว แทบจะทุกลมหายใจเข้าออก เป็นเรื่องการหาช่องทาง ทุ่มเทสติปัญญาความรู้ความสามารถ ไปตอบแทนคุณ จึงเป็นการเพิ่มพูนสติปัญญาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ  นี่คือที่มา
 
 
คำถาม: หลวงพ่อเจ้าขา  สังคมปัจจุบันนี้เกิดปัญหาลูกขาดความกตัญญูต่อพ่อแม่มากขึ้น   หลวงพ่อจะมีวิธีสอนให้ลูกหลานของเราเป็นคนดี  มีความกตัญญูได้อย่างไรบ้างคะ?
 
คำตอบ:     การที่ลูกหลานยุคนี้ไม่ค่อยจะมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ ปู่ย่าตาทวดของตัวเอง   ถ้าจะว่าไปแล้ว ประเด็นใหญ่ๆ ยังมี ๒ ประเด็นก็คือ
 
        ๑.  เขานึกถึงคุณของพ่อแม่ไม่ออก  และ
        ๒.  แม้นึกออก  แต่ว่าไม่รู้วิธีที่เหมาะสมที่จะไปตอบแทนพระคุณพ่อแม่
พ่อแม่มีพระคุณต่อลูก เรื่องหลักๆ ๓ เรื่องด้วยกัน
 
        ๑.  ให้ชีวิต  เมื่อท่านรู้ตัวว่าเราอยู่ในครรภ์ท่าน  ถ้าท่านไม่คิดจะเอาเราไว้แล้ว   มีวิธีทำให้ตายมากมาย  แล้วเขาก็ทำกันมาเยอะแล้ว ไม่ต้องอธิบาย  แต่คุณพ่อคุณแม่เรา ให้เรามีชีวิตอยู่มาถึงขนาดลืมตาดูโลกได้  พระคุณข้อที่ ๑. คือเปิดโอกาสให้เรามีชีวิตมาลืมตาดูโลกนี้
 
        ๒.   ท่านให้ต้นแบบร่างกายที่เป็นคน   ซึ่งเหมาะในการที่จะประกอบ
คุณงามความดีทั้งหลาย  ต่างกว่ารูปร่างที่เป็นสัตว์โลกชนิดอื่น 
 
        ๓.  เมื่อคลอดแล้ว ท่านก็ไม่ได้ดูดาย  คอยสอนจิตใจที่เป็นมนุษย์ให้  ให้เรารู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้ถูก รู้บุญ รู้บาป   คือเป็นต้นแบบทางจิตใจให้ 
 
        บางคนคุณพ่อมาตายก่อนที่ตัวเองจะคลอด  เกิดมาก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ  ถึงกระนั้น คุณพ่อก็ยังมีพระคุณ  มีตรงไหน?  ก็ให้ชีวิตมา ไม่เช่นนั้นเราก็เกิดไม่ได้ แล้วก็ให้ต้นแบบร่างกายมนุษย์แก่เรามา พระคุณเพียง ๒ ข้อแรกนี้ก็มากล้นแล้ว  แต่มนุษย์ยุคนี้มองพระคุณหลักนี้ไม่ออก อุตริไปดูของเล็กๆ น้อยๆ ว่าเป็นเรื่องใหญ่ ท่านมีสมบัติ มีมรดกให้  ให้การศึกษา ให้โน่นให้นี่ นั่นเรื่องรอง  นี่เรื่องหลักนะ ให้ชีวิต ให้กายมนุษย์  ตรงนี้ต้องจำไว้ให้ดี     แล้วให้จิตใจที่มีศีลมีธรรม ตรงนั้นพระคุณหลัก
 
        ทำอย่างไร?  จะให้ลูกเกิดความซาบซึ้งในพระคุณ แล้วก็คิดจะตอบแทนคุณกัน  ตรงนี้ก็ต้องมีต้นแบบกันคือ  ต้นแบบทางความประพฤติ ก่อนนี้ได้กายมนุษย์  คือได้ต้นแบบทางร่างกาย  ส่วนต้นแบบทางจิตใจเป็นอย่างไร?  คุณพ่อคุณแม่เองก็จะต้องแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อปู่ย่าตาทวด   ต่อคุณตาคุณยายให้ลูกของตัวเองดู  แล้วก็จับลูกฝึกตั้งแต่เล็ก  พอลูกรู้ความ ก็พาลูกนั่นแหละไปกราบปู่ กราบย่า กราบตา กราบยาย  สำหรับคนที่อยู่ต่างบ้านกัน  ถ้าอยู่บ้านเดียวกัน ก่อนนอนพาไปกราบถึงเท้าเลย  กราบถึงเท้าปู่ย่าตายายเสียให้เรียบร้อย  แล้วค่อยมากราบเท้าแม่ กราบเท้าพ่อ แล้วค่อยนอน 
 
        ยังไม่พอ  เราเองถ้าพ่อแม่อยู่ด้วยกันกับเรา  สิ่งที่ต้องจำไว้เสมอ  ทุกเช้าเมื่อเราเป็นเด็กพ่อแม่มักจะให้เรากินข้าวกินนมก่อนที่ท่านจะกินข้าวเอง  วันนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ทำให้สมกัน ก่อนเราจะกินข้าว อาหารเช้า  ให้เรารีบเอาไปให้พ่อให้แม่ก่อน  เพราะนั่นคือพระอรหันต์ในบ้าน  เอาอาหารไปให้พ่อแม่ ก็คือไปให้ปู่ ให้ย่า ให้ตา ให้ยาย ของลูกเรานั่นแหละ  เอาไปให้ท่านก่อนเลย  ทำให้ลูกเราดูเป็นตัวอย่าง  ให้เขาเห็นตั้งแต่เล็กๆ
 
        พอลูกรู้ความขึ้นมาอีกหน่อย ก็บอกลูกยกข้าวปลาอาหารไปให้คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย   ค่อยๆฝึกทีละขั้น  นอกจากสอนให้รู้  ทำให้ดู แล้วก็เคี่ยวเข็ญจนกระทั่งลูกเป็น  เมื่อเราทำอย่างนี้  ลูกเราก็จะรู้คุณพ่อคุณแม่  แต่ว่าที่เป็นปัญหาก็คือ  บัดนี้มักจะเป็นครอบครัวเล็ก  พ่อแม่อยู่ทาง ลูกอยู่ทาง  บางทีพ่อแม่เราอยู่ต่างจังหวัด  เราอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง  หรือบางทีก็มาทำงานในกรุงเทพฯ  แล้วเราก็มาตั้งครอบครัวใหม่  ลูกของเราเกิดมานี่  ไม่เคยเห็นว่าเราปรนนิบัติดูแลปู่ย่าของเขาอย่างไร?  เราดูแลพ่อแม่เราอย่างไร?   ปู่ย่าตายาย ลูกของเราอย่างไร?   ลูกเราไม่เห็น  เพราะฉะนั้นเขาจึงทำไม่เป็น
 
        ตรงนี้ต้องบอกว่า  แม้บ้านใกล้เรือนเคียง ที่เขามีคนอายุรุ่นพ่อรุ่นแม่  หรือ เขามีปู่ มีย่า มีตา มียายอยู่ข้างบ้าน  ก็พาลูกของเราไปดูข้างบ้านเขาดูแลปู่ย่าตายายเขาอย่างไร?  แม้เราเองสังคมไทย  ถือกันว่าอย่างไร  ถ้าเป็นเพื่อนบ้านกัน  สนิทชิดชอบกัน  แม้พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเพื่อน ก็เหมือนกับเป็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา  เราก็ดูแลท่านเหล่านั้นเหมือนอย่างกับเราดูแลพ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเราเองด้วยเมื่อมีโอกาส  แล้วก็พาลูกตัวเล็กๆ ของเราไปด้วย เขาก็จะได้รู้หน้าที่ เรียนรู้หน้าที่ไป  ว่าเขาจะต้องทำอย่างไรกับเรา  เมื่อตอนเราแก่ชรา
 
        และแน่นอน  ถึงเวลาเราก็ต้องพาลูกของเรา  ไปเยี่ยมปู่ ย่า ตา ยาย ตัวจริงของเขา  แล้วเราเองก็ดูแลปู่ย่าตายายของลูกเรา หรือก็คือพ่อแม่ของเราเองให้ดีที่สุดให้ลูกเห็น  ยิ่งกว่านั้นหากมีโอกาส  ก็เชิญคุณพ่อคุณแม่ของเรามาค้างที่บ้านเราบ้าง  แม้จะเป็นชั่วครั้งชั่วคราวก็ดูแลท่านให้เต็มที่  แล้วก็ใช้ลูกของเรานั่นแหละให้ช่วยกันปรนนิบัติให้เต็มที่ด้วย 
 
        ถ้าทำอย่างนี้ ก็กลายเป็นการถ่ายทอดความรู้ความดี ถ่ายทอดศีลธรรมอันดี คือความกตัญญูกตเวที  จากชั่วคนหนึ่งไปสู่อีกชั่วคนหนึ่งด้วยวิธีง่ายๆ อย่างนี้   เริ่มทำตั้งแต่วันนี้  อยากจะให้ลูกของเราดีต่อเราอย่างไร?  ก็ให้เราทำต่อพ่อ ต่อแม่ของเราให้ดีอย่างนั้น  แล้วเราจะไม่ผิดหวัง   
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทำไมคนเราชอบทำความผิด ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดี - หลวงพ่อตอบปัญหาทำไมคนเราชอบทำความผิด ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดี - หลวงพ่อตอบปัญหา

เจ้าชายสิทธัตถะเมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ 7 ก้าวจริงหรือ? - หลวงพ่อตอบปัญหาเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ 7 ก้าวจริงหรือ? - หลวงพ่อตอบปัญหา

ศีลภรตคืออะไร ต่างจากศีลห้าอย่างไร? - หลวงพ่อตอบปัญหาศีลภรตคืออะไร ต่างจากศีลห้าอย่างไร? - หลวงพ่อตอบปัญหา



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

หลวงพ่อตอบปัญหา