ศีล และ สมาธิ เป็นเรื่องสากล


[ 13 ส.ค. 2553 ] - [ 18265 ] LINE it!

ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2553
ตอน ศีล และ สมาธิ เป็นเรื่องสากล
 
 
 
ศีล และ สมาธิ เป็นเรื่องสากล
  พระธรรมเทศนา โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
 
        วันนี้ มีเรื่องที่อยากจะมาฝากกับพวกเรา ความจริงแล้วเรื่องนี้ผู้ที่มักจะเจอบ่อยๆ และน่าเห็นใจมากๆ คือ พี่ๆน้องๆนักสร้างบารมีของพวกเราที่อยู่ต่างประเทศ เพราะจะเจอปัญหานี้บ่อย แม้พวกเราที่อยู่เมืองไทย เวลาไปทำหน้าที่เป็นผู้นำบุญก็ตาม เวลาไปทำหน้าที่ไปตามหมู่คณะที่ยังมาไม่ถึง ให้มาบวชแสนรูปก็ดี ให้มาบวชอุบาสิกาแก้วก็ดี มักจะเจอกับการที่มีผู้มาถามปัญหาแบบเดียวกับที่หลวงพ่อได้เจอมา
 
        ถ้าหากเป็นคนไทยด้วยกันในประเทศไทย เวลาอธิบายจึงไม่ยากจนเกินไป เพราะว่าเราคุ้นกันอยู่แล้ว แต่ในกรณีที่เป็นชาวต่างชาติมาที่ประเทศไทย หรือมาที่วัดของเราก็ตาม กรณีที่พวกเราที่อยู่ต่างแดน ไปทำหน้าที่ในประเทศต่างๆก็ตาม ถ้ากรณีนี้หนักหน่อย เพราะว่าผู้ที่มาถามส่วนมาก พื้นฐานทางพระพุทธศาสนาไม่มี ตรงนี้เองเมื่อหลวงพ่อได้เจอมาสดๆร้อนๆ จึงอยากจะเอามาฝากเอาไว้กับพวกเรา ทั้งที่ทำหน้าที่ในต่างแดน และทำหน้าที่อยู่ในประเทศไทย เพราะการที่จะอธิบาย การที่จะตอบปัญหาในแบบที่หลวงพ่อเจอมานี้ ให้กับผู้ที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา และอยู่นอกประเทศด้วยนั้น เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่
 
        ท่านผู้ที่ถามคำถามกับหลวงพ่อ เป็นเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติ และมีความสนใจทางด้านสังคม ทางด้านแม่และเด็ก รวมทั้งมีความสนใจทางด้านการศึกษาด้วย เขาทำงานอยู่ในสหประชาชาติ และจากการที่ไปทำงานนี้เอง ทำให้ต้องไปทำงานในประเทศอิตาลีด้วย เขาเพิ่งจบปริญญาโท สาขาทางด้านจิตวิทยา จากประเทศอิตาลี และได้มาร่วมฝึกสมาธิกับชาวต่างชาติด้วยกันสดๆร้อน เพิ่งกลับมาจากภูเรือ ปรากฏว่าเขานั่งสมาธิได้ดี นอกจากจะชุ่มอกชุ่มใจอย่างที่พวกเรานั่งกันแล้ว ยังได้พบความสว่างพบดวงสว่างเป็นครั้งคราว จึงมีความรู้สึกรักการฝึกสมาธิ แต่คำถามก็เกิดขึ้นกับตัวเขา
 
        เขาถามหลวงพ่อว่า...ในโลกแห่งความวุ่นวาย  ทำอย่างไรเขาจึงจะสามารถรักษาระดับสมาธิของเขาเอาไว้ได้ เมื่อกลับไปปฏิบัติภารกิจในหลายๆประเทศด้วยกัน เพราะต้องไปทำงานจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่งอยู่บ่อยๆ และทำอย่างไร เขาจึงจะสามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์ หรือรักษาความบริสุทธิ์ของกาย-วาจา-ใจให้ได้ เพราะว่าการที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์โดยที่คนรอบๆข้างไม่เข้าใจ มันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสของเขา ตั้งแต่...ไม่ต้องมากเพียงแค่การปฏิเสธไม่จิบเบียร์เท่านั้น...เป็นเรื่องใหญ่ คุยกันไม่รู้เรื่องเลย เพียงแค่นี้ก็ย่ำแย่แล้ว หลวงพ่อพอจะมีคำแนะนำอะไรให้เขาบ้าง
 
        เขาได้พูดชัดเจนว่า บุคคลที่เขาต้องไปเจอในหลายๆประเทศนั้น บุคคลเหล่านี้ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร ศีลคืออะไร อะไรคือบุญ อะไรคือบาป ไม่ต้องพูดกันเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง ในกรณีนี้หลวงพ่อจะให้คำแนะอย่างไร
 
        ถ้าเป็นคนไทยเราคงพอจะตอบได้ง่าย แต่เขาเป็นชาวต่างชาติ ยิ่งกว่านั้นยังนับถือศาสนาอื่น เพราะฉะนั้นเวลาจะพูดอะไรอธิบายอะไร จะต้องให้เป็นสากลอย่างที่สุดถึงที่สุดกันทีเดียว ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการคุยข่มกันระหว่างศาสนาต่อศาสนา แทนที่จะได้กัลยาณมิตร กลับจะได้อย่างอื่น หรือแทนที่จะได้พันธมิตร กลับจะได้ปัจจามิตร จึงต้องตอบด้วยความระมัดระวัง และมีความจำเป็นที่จะตอบกันสั้นๆ ต้องมีความชัดเจน
 
เรื่องของสมาธิ 
 
        หลวงพ่อก็เริ่มง่ายๆ ด้วยการตกลงกับก่อนเขาว่า ก่อนที่จะตอบปัญหานี้ ขอให้เขามองธรรมชาติแท้ๆของมนุษย์เสียก่อน ให้ลืมไปเลยว่าเขานับถือศาสนาอะไร และให้ลืมไปเลยว่าขณะนี้ หลวงพ่อหรือก็คือผู้ที่พูดอยู่ต่อหน้าเขานี้เป็นพระในพระพุทธศาสนา ให้ถือว่าเป็นคนคนหนึ่งในโลกนี้ และรักความบริสุทธิ์ รักสมาธิ อยากเห็นคนทั้งโลกมีความสุข และมีสมาธิให้ใจชุ่มชื่นอยู่ทั้งวันทั้งคืน ให้คิดเพียงเท่านี้
 
        จากนั้น หลวงพ่อบอกกับเขาว่า ต้องยอมรับความจริงกันว่า “มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้”_(ที่ต้องเริ่มตรงนี้ เพราะกลัวมากๆว่าเขาจะหาว่า เราว่าเขาโง่ ถ้าใครมาถึงพอเริ่มคุยกันก็ชี้หน้ากันว่า “คุณมันโง่”_มันคงคุยกันไม่รู้เรื่อง)_ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ทุกอย่างที่เรารู้กันในปัจจุบัน แม้กระทั่งตัวเขาเองที่ไปทำงานมาทั่วโลกและเพิ่งได้รับปริญญาโทมา ที่เรามารู้อะไรต่างๆ เรามาเรียนรู้หลังจากเกิดมาแล้วทั้งนั้น ทุกคนมีธรรมชาติอย่างนี้
 
        ถ้าเราสังเกต เราก็จะพบอีกว่า สิ่งที่เราเรียนรู้แล้วนี้ บางทีรู้ผิดๆก็มี บางคนภูมิใจเหลือเกินในเรื่องที่ตัวเองรู้ เอาไปคุยโขมงโฉงเฉง ไปคุยข่มคนโน้นคนนี้มากมาย วันร้ายคืนร้าย...ถึงได้รู้ว่าที่ได้พูดไปนั้นผิด เพราะมีทฤษฎีใหม่เกิดขึ้นมาแล้ว, ความรู้เมื่อต้นปี เราภูมิใจเหลือเกิน แล้วเราก็มาพบเมื่อกลางปีว่า ความรู้นั้นผิด มีความรู้ใหม่มาแทนที่เสียแล้ว เราก็เชื่อหัวปักหัวปำว่านี่เป็นความรู้ที่แสนวิเศษ นำไปคุยโขมงโฉงเฉงอีก แต่พอปลายปีก็มาพบว่า ความรู้นี้ผิด มีทฤษฎีใหม่เกิดขึ้น
 
        นอกจากเราจะมารู้ที่หลังแล้ว เรามักจะรู้ผิดๆเสียเป็นส่วนมาก นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ แต่คนฉลาดก็จะมีข้อคิดว่า เมื่อรู้ว่าอะไรใหม่นั้น มันดีมันถูก แม้ยังไม่ถูกที่สุด แต่มันถูกกว่าที่ผ่านมา เขาก็จะเปลี่ยนความคิดเดิมมารับเรื่องใหม่แทน แม้มันจะต้องเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ ปีละกี่ครั้งก็ยอมได้ คนฉลาดจะยอมรับความจริง ไม่ดื้อไม่รั้น รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ความถูกต้องเพิ่มขึ้นเป็นอย่างนี้ แต่พวกดื้อที่ไม่ยอมรับก็มี คงต้องปล่อยเขาไปก่อน วันดีคืนดีค่อยไปตามเขา ไปอธิบายใหม่ ก็พอลากพอจูงกันได้ แต่วันร้ายคืนร้าย ไปตามบางคน เขาก็ตะเพิดเอา สิ่งที่ยอมรับกันอย่างยิ่ง คือ คนส่วนมากในโลกนี้  ไม่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ นี่เป็นเรื่องใหญ่
 
        สำหรับพวกเรา ตอนนี้ติดตามดีเอ็มซี ติดตามพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ คุณยายอาจารย์ ฟังคำสอนคำอบรมของท่านเป็นประจำ วันนี้เราจึงรู้แล้วว่า “ตัวเองยังไม่รู้”_แค่นี้ก็วิเศษขึ้นมาเยอะแล้ว เมื่อก่อนรู้อะไรนิดหน่อย แถมรู้ผิดๆอีกด้วย เราก็ภูมิใจ วันนี้เราเลิกเป็นบุคคลประเภทนั้น เพราะรู้แล้วว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ จึงต้องมาเข้าโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
        จากตรงนี้เอง ขอให้ยอมรับกันว่า คนส่วนมากในโลกนี้ ไม่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ เพราะต้นทุนของเราเมื่อเกิดมาเกี่ยวกับด้านความรู้ เราไม่มีเลย เรามีแต่ความไม่รู้
 
        ความไม่รู้อะไร บางอย่าง...ไม่รู้ก็ช่างมันได้ เช่น แผ่นดินจะหนาเท่าไหร่ ฟ้าจะกว้างใหญ่แค่ไหน ไม่ต้องรู้ก็ได้ มีเรื่องเยอะแยะทั้งวิทยาศาสตร์ ทั้งไสยศาสตร์ ที่เราไม่รู้เสียบ้างก็ไม่เดือดร้อน แต่มีสิ่งหนึ่งไม่รู้ไม่ได้ สิ่งนั้น คือ อะไรดีอะไรชั่ว ตรงนี้ต้องรู้ไม่รู้ไม่ได้ ประเด็นอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ไปทำไม่ดีเข้า ก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม เดี๋ยวนี้แม้ไม่ใช่ชาวพุทธ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องกฎแห่งกรรม เขารับกันได้ทั่วโลก
 
        เรารู้กันอยู่แล้วว่า ถ้าทำชั่วผลจะเป็นความทุกข์ ถ้าทำดีผลจะเป็นความสุข กฎแห่งกรรมบอกไว้อย่างนี้ แต่จะให้ชัดเจนลงไปว่าอะไรดีอะไรชั่ว หาคนตัดสินได้ยาก รู้ประมาณๆว่าอย่างนี้ดี รู้ประมาณๆว่าอย่างนี้ชั่ว...อย่างนี้เป็นไปได้ แต่ให้ชัดเจนลงไปเลยว่า อย่างนี้คือดี อย่างนี้คือชั่ว ทุกเรื่องทุกราว...อย่างนี้ยาก ต้องทำความเข้าใจว่า การที่จะรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วอย่างชัดเจนนั้นเป็นสิ่งที่ยาก เพราะเหตุนี้หลายๆคนจึงไปทำชั่วทั้งๆที่อยากดี แล้วเขาก็ได้ผล คือ ความทุกข์ แล้วเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าที่เขาทุกข์นั้นเพราะเขาไปทำชั่ว เนื่องจากหลงเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ทำนั้นดี จึงเป็นทุกข์เดือดร้อนย่ำแย่กันไปตลอดชาติ และไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร แต่แน่นอน ถ้าใครไปทำความดีทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเป็นความดี ยังออกผลเป็นสุขได้
 
        จากตรงนี้เอง อันตรายจึงเกิดขึ้นว่า เราต้องรู้ให้ได้ชัดๆว่าดี-ชั่ว ที่แน่นอนที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร แต่ต้องรับทราบไว้ว่า มันมีเรื่องแปลกที่ว่า ในเรื่องดีเรื่องชั่วนี้ แม้เราไม่อาจตัดสินได้อย่างชัดเจนแน่นอน แต่เราก็ยังแบ่งว่าคนโน้นดีคนนี้ชั่ว เพราะฉะนั้น บางคนดีแต่ถูกกล่าวหาว่าชั่วก็มี บางคนชั่วแต่ได้คำยกย่องว่าดีก็มี
 
        โลกวุ่นวายขณะนี้ เพราะแยกชั่วไม่ออก และวิธีตัดสินดี-ชั่วยังใช้ไม่ได้ ในโลกนี้มีเครื่องวัดสิ่งต่างๆมากมาย อยากจะรู้อะไรเป็นอะไรมีเครื่องวัด อยากจะรู้ว่าความยาวเท่าไหร่ก็วัดกันได้เป็นฟุตเป็นเมตรเป็นวา อยากจะรู้ว่าน้ำหนักหนักเท่าไหร่ก็มีปอนด์มีกิโลกรัม อยากจะรู้ปริมาตรเท่าไหร่ก็มีลิตรมีถังมีแกลลอนเอามาตวงกัน อยากจะรู้ความร้อนความเย็นก็มีปรอทมาวัดกัน อยากจะรู้ไฟฟ้าก็มีแอมป์มิเตอร์มีโวลท์มิเตอร์มีวัตต์มาวัดกัน อยากจะรู้อะไรมีเครื่องวัดหมด แต่ไม่มีมิเตอร์วัดดี-ชั่ว
 
        ปัจจุบัน การวัดผิด-ถูก รวมไปถึงดี-ชั่ว วัดโดยอาศัยกฎหมาย ถ้าจะหย่อนลงไปสักหน่อยก็วัดกันด้วยจารีตประเพณี กฎหมายของแต่ละประเทศนั้นเปลี่ยนเรื่อยๆ และระหว่างประเทศก็ไม่ตรงกันอีกด้วย แสดงว่าการวัดด้วยกฎหมายนั้นเชื่อถือไม่ค่อยได้ เพราะคนที่ออกกฎหมายนั้น บางทีตอนต้นปีเขาเป็นฝ่ายรัฐบาล เขาก็ว่าอย่างนี้ถูก เพราะเขาได้ประโยชน์ พอปลายปีเขาเป็นฝ่ายค้าน เขาก็ว่าอย่างนี้ผิดต้องเปลี่ยนใหม่ คนเราก็ขึ้นๆลงๆอย่างนี้ แม้จารีตก็มาจากคน เพราะฉะนั้น การวัดผิด-ถูก ดี-ชั่ว ด้วยกฎหมาย ด้วยจารีต ในความเป็นจริงก็ใช้ไม่ได้ แต่ว่ามันจนใจมันจำใจต้องใช้ ต้องทำความเข้าใจกันตรงนี้ก่อนว่า ขณะนี้ ทั้งกฎหมายทั้งจารีตอยู่ในสภาพที่จำใจต้องใช้วัดดี-ชั่ว
 
        เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเอาอะไรที่จะมาวัดได้ชัดเจนลงไปจริงๆจังๆ ก่อนที่จะเฉลยให้ทราบ เรามาดูความจริงกันก่อน กล่าวคือ
 
1.คนที่ใส่แว่นตา ถ้าใส่แว่นตาสีอะไรก็จะเห็นอะไรเป็นสีนั้นๆไปหมด เพราะฉะนั้น สีของแว่นทำให้เห็นผิดจากความเป็นจริง
 
2.ถ้าแว่นมีฝุ่นจับ ก็จะเห็นผิดจากความเป็นจริง
 
        สองประการนี้ ทำให้คนที่ใส่แว่นนั้น เห็นไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้าใคร...ใจของเขาไม่ใสและไม่สะอาด จะตัดสินดี-ชั่ว ไม่ได้ เขาจะเห็นดี-ชั่ว ไม่ตรงตามความเป็นจริง ความไม่ใสความไม่สะอาดของใจมนุษย์ อธิบายเป็นขั้นเป็นตอนได้ ดังนี้
 
1.ความไม่ใสของใจคน คือ ใจถูกย้อมสีเหมือนแว่น ด้วยนิสัยเสียๆนิสัยที่ไม่ดีของแต่ละคน ใจได้ถูกใส่สีไปแล้ว
 
2.นิสัยนั้นใช้ได้ แต่อารมณ์ตอนนั้นไม่ค่อยดีมันขุ่นๆอยู่ เวลาโกรธใคร ไม่ว่าเขาจะพูดดีพูดถูกต้องอย่างไร มันรับไม่ได้ทั้งนั้น เพราะฝุ่นมันจับ มันไม่สะอาด หรือรักใครมากๆชอบใจอะไรมากๆ ดูทีไรมันดีไปหมด สรุปง่ายๆก็คือ  เวลาความโลภ ความยากได้ (Greedy)_เกิดขึ้นก็ดี เวลาความโกรธ (Angry)_เกิดขึ้นก็ดี เวลาความหลง (Delusion)_เกิดขึ้นก็ดี หรือความอิจฉา (Jealousy)_เกิดขึ้นก็ดี ใจมันไม่สะอาด เหมือนอย่างกับฝุ่นจับแว่น เห็นอะไรมันจะไม่ตรงตามความเป็นจริง ดีก็เห็นเป็นชั่ว ชั่วก็เห็นเป็นดี ความโลภ ความโกรธ ความหลง เหมือนฝุ่นเปื้อนใจ นิสัยไม่ดี เหมือนเอาสีเปื้อนๆย้อมใจ
 
        มาถึงตรงนี้ หลวงพ่อถามเขาว่า “ลองถามตัวเองว่า เวลาเราไปร้านเพชรร้านพลอย ไปเจอแหวนไปเจอสร้อยที่สวยๆที่อยากได้มากๆ ตอนนั้นใจอยู่กับตัวหรือใจอยู่ที่เพชร”
 
เขาตอบว่า “ยังไง...ใจก็ต้องอยู่ที่เพชร”
หลวงพ่อถามต่อไปอีกว่า “พอกลับบ้านมานอน ใจมันตามมาด้วยไหม”
เขาตอบว่า “บางทีใจก็ยังอยู่ที่ร้านเพชร”
 
        หลวงพ่อจึงชี้ให้เขาเห็นว่า เมื่อเราไปเจออะไรที่ถูกใจ เดี๋ยวใจจะแล่นออกไปนอกตัว แล้วถ้าไม่ได้ขึ้นมา เดี๋ยวความทุกข์ก็เกิด
 
หลวงพ่อถามเขาอีกว่า “ในเวลาเดียวกัน เวลาโกรธใคร จนกระทั่งอยากจะต่อยปากเขา ตอนนั้น ใจอยู่กับตัวหรืออยู่ที่ปากอยู่ที่หน้าของคนคนนั้น”
เขาตอบทันที่ว่า “อยู่ที่หน้าคนคนนั้น”
 
        สรุปได้ว่า ครั้งใดที่ใจแล่นออกไปนอกตัว มันก็ง่ายที่จะโลภ จะโกรธ จะหลง แต่ถ้าใจนิ่งๆ ไม่หนีไป อยู่ในตัว ในตอนนั้น เราจะเป็นคนมีเหตุมีผลขึ้นมาทันที เพราะใจมันเป็นกลางๆ มันก็ยากที่จะโลภ จะโกรธ จะหลง มันเริ่มมองเห็นว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร โดยไม่ต้องไปเอามิเตอร์ที่ไหนมาวัด เพราะใจตอนนั้นมันใสๆ มันไม่มีความเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง เพราะธรรมชาติของใจที่ตอนนิ่งๆ ไม่หนีไปนอกตัว ทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง นี้คือเหตุที่เราต้องมาทำสมาธิ
 
        สมาธิ คือ การเก็บใจเอาไว้ในตัว ไม่ยอมให้ใจหนีเตลิดเปิดเปิงไป เดี๋ยวมันไปโลภ มันไปโกรธ มันไปหลง และนี่คือที่มาของการฝึกสมาธิ
 
        ในเมื่อการที่เราทำใจให้มันอยู่ในตัว ให้มันอยู่นิ่งๆ แล้วทำให้เราเห็นว่าอะไรดีอะไรชั่วได้ชัดเจนอย่างนี้ สิ่งนี้เป็นของเพื่อชีวิต เพราะฉะนั้นการฝึกสมาธิจึงเป็นงานเพื่อชีวิต ไม่ใช่งานสมัครเล่น ไม่ใช่งานที่ทำยามว่าง เมื่อสมาธิทำให้เราเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่า อะไรผิด-ถูก อะไรดี-ชั่ว เพราะฉะนั้น คนฉลาด ถ้าต้องการความสุขตลอดชีวิต เขาต้องเห็นว่าการทำสมาธินั้นเป็นงานเพื่อชีวิต ไม่ว่าโลกนี้จะวุ่นวายหรือไม่วุ่นวายก็ตาม มันเป็นหน้าที่ที่จะต้องฝึก เหมือนกับเรามีหน้าที่ที่จะต้องหายใจ ถ้าโลกนี้วุ่นวาย เราจะเลิกหายใจหรือไม่
 
        ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในโลกนี้ มันเป็นภาระ มันเป็นหน้าที่ มันเป็นความจำเป็น ที่จะต้องฝึกสมาธิ เพราะเป็นเรื่องเพื่อชีวิต เป็นเรื่องของความจำเป็น ไม่ใช่เป็นเรื่องของความต้องการ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฝึกตลอดไป
 
เรื่องของศีล 
 
        ศีล ไม่ได้ขึ้นกับพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ศีลห้าเป็นมิเตอร์สากล เป็นเครื่องมือสำหรับวัดความดีความชั่วแบบสากล มีก่อนพระพุทธศาสนา มากี่พันกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านปีนั้น ไม่อาจทราบได้ ทราบแต่ว่า ครั้งใดที่ใครก็ตามนั่งสมาธิทำใจให้ใสๆ...พอใจใสๆวางใจนิ่งๆแล้ว เขาจะเห็นตรงกันว่า ศีลห้านี้ดี จำเป็น และใช้เป็นเครื่องวัดความดีความชั่วได้
 
        ลองถามตัวเองว่า ตั้งแต่เกิดมาเรารักใครมากที่สุด หรือรักอะไรมากที่สุด มีความรู้สึกว่าถ้าขาดสิ่งนี้ไปเราคงตายแน่ๆ
 
        หากไม่ได้ไปโกรธไปเกลียด หรือไปหลงรักใครจนหัวปักหัวปำ เราก็จะได้คำตอบว่า เรารักชีวิตของเรามากที่สุด ด้วยเหตุที่ใครๆก็รักชีวิตของตัวเองมากที่สุด เพราะฉะนั้น คนที่ใจใสๆ ใจทั้งใส (Clear)_ทั้งสะอาด (Clean)_เขาก็จะต้องรักชีวิตของตัวเองทั้งนั้น และเขาก็จะรู้ว่านอกจากเขาจะรักชีวิตของตัวเอง คนอื่นๆก็รักชีวิตของตัวเองด้วย เพราะฉะนั้น เขาตัดสินในได้เลยว่า ใครๆก็ต้องไม่ฆ่าใคร นี้คือศีลข้อที่หนึ่ง มันเกิดขึ้นมาจากใจใสๆใจสะอาดๆ
 
        ถ้าใครใจใส ในเบื้องต้น อย่างน้อยที่สุดเขาจะรู้ว่า คนต้องไม่ฆ่าคน ไม่ว่าคนคนนั้นจะนักถือศาสนาเดียวกับเขาหรือนับถือต่างศาสนาก็ตาม เขาจะมีใจที่เป็นธรรม
 
        ถ้าใครใจใส มากขึ้น เขาจะมองเลยไปกว่านี้อีกว่า แม้แต่สัตว์ก็รักชีวิตเหมือนกับคนเช่นกัน แม้มันพูดมันบอกไม่ได้ แต่เราสังเกตออก เมื่อสัตว์ใดจะถูกทำร้าย มันก็จะหนีเอาชีวิตรอด ดังนั้น เมื่อใครใจใสใจสะอาดยิ่งขึ้น เขาจะรู้ว่า คนต้องไม่ฆ่าสัตว์
 
        ถ้าใครใจใส ยิ่งขึ้นไปอีก เขาจะรู้ว่า ทั้งคนทั้งสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก จะต้องไปช่วย เพราะใครๆก็ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากเดือดร้อน ไม่อยากเป็นทุกข์
 
        เพราะฉะนั้น ศีลข้อที่หนึ่ง เกิดด้วยอาการอย่างนี้...ใครที่ใจทั้งใสทั้งสะอาด ศีลข้อที่หนึ่งจะผุดขึ้นมาในใจ ถ้าใครใจใสมาถึงระดับนี้แล้ว ศีลข้อที่สอง...เขาจะรู้จักเองโดยอัตโนมัติ กล่าวคือ เขาจะเห็นว่าคนเรานั้น ชีวิตอยู่ได้ด้วยทรัพย์ด้วยสมบัติ ขาดสมบัติเสียแล้วอยู่ไม่ได้ ไม่มีข้าวปลาอาหาร ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีบ้านอยู่ ป่วยแล้วไม่มียารักษา ถ้าไม่มีสมบัติชีวิตนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้ แม้ไม่ฆ่าเขาแต่เอาทรัพย์เขามา เขาก็เดือดร้อน ดังนั้น ใครที่ใจใสใจสะอาด จะรู้โดยปริยายว่า ใครๆก็ต้องไม่โกงไม่ขโมยไม่ลักของใคร นี้คือที่มาของศีลข้อที่สอง
 
        มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นว่า ศีล เกิดจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์ในตัวคนเรานี่เอง คนเราไม่ว่าใคร นอกจากจะรักชีวิตของตัวเองแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นคนชาติใดภาษาใด ไม่ว่าเขาจะนับถือหรือไม่นับถือศาสนาใด ไม่ว่าเขาจะผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง จะเหมือนกันหมดว่า คนที่เขารักมากตามมา คือ เมียรัก ผัวรัก ลูกรัก สามรักนี้ ถ้าใครมาแย่ง...มันยอมกันไม่ได้ ถ้าใครมาพราก มาแย่ง เมียรัก ผัวรัก ลูกรัก แม้ไม่ตาย...แต่มันเจ็บยิ่งกว่าตาย
 
        ในเมื่อ เมียรัก ผัวรัก ลูกรัก เป็นของแสนรักแสนหวงของผู้เป็นเจ้าของ ศีลข้อที่สามจึงเกิดขึ้นว่า ใครๆก็ต้องไม่ไปล่วงเกินคู่ครองของใคร และลูกของใครโดยที่พ่อแม่ของเขาไม่อนุญาต ใครที่ใจใสๆจะยอมรับได้ในทันที ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าใจใสมากๆขึ้นไปอีก อย่าว่าแต่เป็นสามีของเขา เป็นภรรยาของเขา เพียงแค่รู้ว่านี่เป็นแฟนของใคร แม้เขายังไม่ได้แต่งงานกัน ถึงจะชอบจะถูกใจแฟนของเขา แต่คนที่ใจใสๆจริงๆ เขาก็ไม่ไปแย่งของใครมาหรอก เขาไม่ทำ เพราะว่ามันเห็นใจ เพราะฉะนั้น ที่ตบกันฆ่ากัน เพียงแค่แย่งแฟนกัน มันไม่มีหรอกสำหรับคนที่ใจใสใจสะอาด
 
        ไม่เพียงเท่านั้น แม้บางคน ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นแฟนของคนอื่น เพราะทั้งสวยทั้งหล่อขนาดนั้น ใจมันอยากได้ แต่เขายังยั้งใจได้ ด้วยวิธีคิดง่ายๆว่า ที่เห็นว่าทั้งหล่อทั้งสวยนั้น แต่ข้างใน ใครจะไปรู้ว่าใจเขาจะใสจะสะอาดหรือไม่ เขาอาจจะโหดขนาดฆ่าคนฆ่าสัตว์ก็ได้ เขาอาจจะโลภขนาดลักขโมยของใครก็ได้ และเขาอาจจะมีอะไรไม่ดีอีกหลายอย่างก็ได้ แค่คิดเท่านี้ก็ตัดใจแล้ว ถ้าใคร ใจใสใจสะอาดอย่างนี้แล้ว จะมีเครื่องวัดดี-ชั่ว ผุดขึ้นมาในใจทันที
 
        ในประเทศไทย ตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดของเรา มีอยู่ประโยคหนึ่งว่า “ความบริสุทธิ์ความสะอาดของร่างกาย ไม่ใช่อยู่ที่น้ำ ไม่ใช่อยู่ที่การอาบน้ำ แม้จะอาบน้ำวันละร้อยครั้ง แต่ยังฆ่า ยังลัก ยังประพฤติผิดในกาม ได้ชื่อว่า กายยังสกปรกอยู่ เพราะกรรมทางกายของเขา...มันไม่ดี แต่ในทางตรงกันข้าม จะเป็นเศรษฐีก็ตาม จะเป็นกรรมกรก็ตาม แม้วันนั้นไม่ได้อาบน้ำ แต่ถ้าเขาไม่ได้ฆ่า ไม่ได้ลัก ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม กายของเขาสะอาด”
 
        คนเราจะรักกันได้ ต่อเมื่อจริงใจต่อกัน แม้จะเป็นสามี แม้เป็นภรรยา แม้เป็นลูก แม้เป็นญาติ แม้เป็นเพื่อน รักแสนรักแค่ไหนก็ตาม ถ้าหมดความจริงใจต่อกันแล้ว...มันก็หมดรัก นอกจากหมดรักกันแล้ว หากไปพบความไม่จริงใจมากๆเข้า อาจถึงกับเป็นศัตรูกัน อาจถึงกับฆ่ากันได้ ดังนั้น เพื่อรักษาความรักความหวังดีของกันและกันเอาไว้ เราจึงจำเป็นต้องรักษาความจริงใจต่อกันเอาไว้ให้ดี สัญลักษณ์ หรือเครื่องบอกเหตุว่าความจริงใจกำลังหมดไปแล้ว คือ การพูดเท็จ การโกหก
 
        ถ้าโกหกกันเสียแล้ว แสดงว่าความจริงใจมันกำลังจะหมดไปแล้ว ยิ่งโกหกเรื่องใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งพบว่าช่องว่างระหว่างใจของกันและกัน มันห่างกันออกไปเรื่อยๆ พร้อมจะเป็นศัตรูกันทีเดียว เพราะฉะนั้น เพื่อรักษาความจริงใจ รักษาความรักความหวังดีของกันและกันเอาไว้ คนที่ใจใสใจสะอาด จะเห็นตรงกันหมดว่า ใครๆก็ต้องไม่โกหกใคร
 
        ใครที่ตั้งใจฝึกสมาธิไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสว่างภายในมากๆ จะพบได้ด้วยตนเองว่า ครั้งใดที่เราคิดจะพูดอะไรกับใคร ภาพจะปรากฏขึ้นในใจชัดเหมือนในจอทีวี ดังนั้น เมื่อใครจะโกหก เขาจะต้องลบภาพนั้นทิ้ง สร้างภาพหลอกขึ้นมาแทน โกหกแต่ละครั้ง เท่ากับลบภาพจริงทิ้ง สร้างภาพหลอกขึ้นมาแทน เมื่อเป็นอย่างนี้บ่อยเข้า ในใจของเขาจะมีแต่ภาพล้มๆทั้งนั้น เหมือนเราเปิดทีวีที่เครื่องเสีย จะมีแต่ภาพล้มๆ
 
        ใครที่โกหกบ่อยๆ แม้วันหลังพูดจริง แม้ตัวเองก็ยังสงสัยว่าที่พูดไปนั้น...จริงหรือโกหก เพราะฉะนั้น คนประเภทนี้ต่อไปข้างหน้ากำลังใจของเขาจะหมดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่กล้าตัดสินใจ ยิ่งไปกว่านั้นบั้นปลายชีวิต มีสิทธิ์เป็นโรคอัลไซเมอร์ และเราคงเห็นกันมาแล้ว ผู้ชายบางคนตัวเบ้อเร่อ แต่ว่ากลัวเมียตัวนิดเดียว คนพวกนี้ส่วนมากจะเป็นเพราะโกหกเมียไว้เยอะ เมียจับได้ ก็เลยกลัวเมีย คนหมดกำลังใจ ถึงตัวจะใหญ่แค่ไหนก็ใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ศีลข้อที่สี่นี้สำคัญ ถือเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
 
         ปู่ย่าตาทวดของคนไทย กล่าวไว้ประโยคหนึ่งว่า “แม้แปรงฟันวันละพันหน แต่ถ้ายังโกหกอยู่ ถือว่าปากไม่สะอาด”
 
        นี้คือที่มาของศีลข้อที่สี่ มาด้วยเหตุมาด้วยผล แต่เป็นเหตุผลของคนที่ใจใสใจสะอาด ดังนั้น การทำใจให้ใสให้สะอาดเป็นประจำนั้น เป็นความจำเป็นจริงๆ และใจจะทั้งใสทั้งสะอาดอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อ...ใจอยู่ในตัว...ใจเป็นสมาธิ...ทั้งใสทั้งสะอาดทั้งวันทั้งคืน
 
        ความดีทั้งสี่ประการที่กล่าวมานี้ จะเสียไปทันทีถ้าคนคนนั้นขาดสติ ถ้าคนเราขาดสติความดีทั้งสี่ประการที่เรารักษาได้ ความเข้าใจถูกเรื่องดีเรื่องชั่ว ทั้งหมดนี้สูญหมดเสียหายหมด และศัตรูของสติ หรือสิ่งที่ทำลายสติได้อย่างง่ายดาย ก็คือสุรา แอลกอฮอล์ และสิ่งเสพติดทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ศีลข้อที่ห้าได้เกิดขึ้นมาเพื่อว่า อย่าไปแตะต้องสุรา แอลกอฮอล์ และสิ่งเสพติดทั้งหลาย เพราะต้องการจะรักษาความดีสี่ข้อแรกเอาไว้ ถ้าไปแตะต้องเมื่อไหร่ วันนี้ ดื่มเข้าไปเสพเข้าไป แม้ยังรักษาสี่ข้อนั้นไว้ได้ แรกๆดื่มนิดหน่อยเสพนิดหน่อย ก็ว่ามันยังไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวก็เพิ่มอีกทีละนิดไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็ต้องเผลอจนได้ แล้วเครื่องมือสำหรับวัดดี-ชั่ว คือ ใจใสๆของเราก็จะเสียไปอย่างน่าเสียดาย
 
         ด้วยเหตุดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การรักษาศีลห้า ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นความจำเป็นของชีวิต แต่อย่างไรก็ดี เราอาจจะไม่สามารถอธิบายเรื่องเหล่านี้ ให้แก่คนรอบข้างบางคนเข้าใจได้ หากเรายังจำได้...เวลาเปลี่ยนทฤษฎี หรือค้นพบความถูกต้องของความรู้ใหม่ๆขึ้นมาเมื่อไหร่ คนมีปัญญาจะโยนของเก่าทิ้งแล้วรับของใหม่ หากมีการเปลี่ยนแปลงอีก มีความรู้ที่ถูกต้องมาอีก เขาก็โยนของเก่าทิ้งแล้วรับของใหม่อีก โดยไม่เสียดายของเก่าเลย แต่ก็มีคนบางพวกยังเสียดายของเก่าอยู่
 
        โลกนี้วุ่นวายแค่ไหนก็ตามก็เป็นเรื่องของโลกนี้ แต่เรื่องของเรา เรามีหน้าที่จะต้องรักษาเครื่องมือวัดความดีความชั่วของเราไว้ เพื่อชีวิตของเราเอง เราต้องทำสมาธิ เพราะมันเป็นชีวิตขอเรา เราต้องรักษาศีลห้า เพราะมันเป็นชีวิตของเรา เราต้องหายใจ เพราะมันเป็นชีวิตของเรา มันไม่เกี่ยวว่าโลกวุ่นวายหรือไม่ ถ้าโลกนี้วุ่นวายแล้ว เราไม่หายใจ เราก็ยอมไม่ได้
 
        ยิ่งไปกว่านั้น ความเข้าใจผิดเดิมๆ...เราต้องทิ้งไป แล้วรับเอาความเข้าใจถูกต้องใหม่ๆ...เข้ามาแทน แต่คนบางคนเสียดายความผิดเก่าๆ เก็บเอาไว้ ไม่ยอมรับความถูกต้องใหม่ๆเข้ามา อย่างนี้...มันก็เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องไปเตือนเขา วันนี้เตือน เขายังรับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ก็ไปเตือนใหม่ เขาอาจจะรับได้ หรือแม้เขายังรับไม่ได้ไปตลอดปีตลอดชาติ แต่คนอื่นที่รับได้ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น เราก็มาช่วยกันรักษาศีล ตั้งใจทำสมาธิ เป็นต้นแบบใหม่เป็นต้นแบบที่ถูกต้องให้ชาวโลกดู
 
        การที่เจอของที่ถูกต้อง แล้วโยนของที่ถูกต้องทิ้ง ไปทำของผิดๆตามเดิม เพราะคนส่วนมากในโลกนี้เขายังทำของไม่ถูกต้องนั้นอยู่ ถ้าอย่างนี้...มันก็กลายเป็นว่า ให้คนโง่จูงคนฉลาด แต่ถ้าจะให้ถามแบบไทยๆก็ต้องถามว่า “จะเป็นคนจูงควาย หรือจะให้ควายจูงคน”
 
        ชีวิตของคนแต่ละคนเหมือนเดินทวนน้ำ ถ้าใครเดินตามน้ำ ไม่ช้าก็ตกทะเลตาย เพราะที่สุดของน้ำ...ไปลงทะเลลึก ถ้ายืนอยู่เฉยๆ วันหนึ่งก็ไหลตามน้ำ...ก็หมดแรง หรือไม่ก็หนาวตาย แต่ถ้าเดินทวนน้ำไป วันหนึ่งมีโอกาสขึ้นฝั่งได้ หรือแม้ว่ายังขึ้นฝั่งไม่ได้แต่ก็ได้สู้แล้ว ถ้าจะตายในระหว่างทางก็ดีกว่าไปยอมแพ้อะไรกันง่ายๆ ยอมแพ้ในวันนี้เดี๋ยวจะแพ้ไปทุกชาติ และถ้าเราไปชวนคนมามากๆ ให้มารักษาศีลให้มานั่งสมาธิ ก็เหมือนกับเราชวนคนมาช่วยกันสร้างเขื่อนกั้นน้ำ
 
        สุดท้ายนี้ ต้องขอบอกกันก่อนว่า ความรู้ทั้งหมดที่ได้มานี้ ไม่ใช่ของหลวงพ่อ ทั้งหมดนี้คุณยาย ท่านให้มา ตอนที่หลวงพ่อยังไม่ได้บวช คุณยายได้ให้หลักไว้ว่า “เวลาเจอปัญหาอะไรก็ตาม เจอคำถามอะไรก็ตาม ที่เราไม่เคยนึกมาก่อน หรือบางทีเคยนึกมาก่อนแต่ยังหาคำตอบไม่ได้ เมื่อจำเป็นจะต้องหาคำตอบให้ได้ จำไว้เลย...เข้ากลางของกลางไปเถอะ เดี๋ยวคำตอบออกมาเอง”_เพราะฉะนั้น ที่หลวงพ่อตอบไปทั้งหมดนั้น ใจก็เข้ากลางไปเรื่อยๆ มองหน้าเขาแต่ใจก็อยู่ตรงกลางของเรา ก็ขอฝากพวกเราไว้ด้วย...วิธีนี้ใช้ได้ตลอดกาล คุณยายยังย้ำว่า “จริงๆแล้ว ในชีวิตของคนเราอยู่ที่ตรงเข้ากลางนี้เอง ถ้าหลุดออกจากกลาง ความชั่วก็ครอบงำ ถ้าเข้ากลางได้ ความชั่วก็ทำอะไรไม่ได้ บุญก็เกิดอยู่ตรงนี้แหละ พระอรหันต์ คือ ผู้ที่เข้ากลางได้อย่างถาวร”
 
****************
    
ชม Video ศีล และ สมาธิ เป็นเรื่องสากล
 
 
 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
อินเดีย อบรมอุบาสกอุบาสิกาแก้วครั้งแรกอินเดีย อบรมอุบาสกอุบาสิกาแก้วครั้งแรก

บรรพชาธรรมทายาทชาวญี่ปุ่น ครั้งที่ 2บรรพชาธรรมทายาทชาวญี่ปุ่น ครั้งที่ 2

ผลการปฏิบัติธรรม พระเชวลิต ชวธมฺโมผลการปฏิบัติธรรม พระเชวลิต ชวธมฺโม



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ช่วงเด่นฝันในฝัน