ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 16


[ 28 พ.ย. 2549 ] - [ 18271 ] LINE it!

  
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มหาชนก   ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี  ตอนที่ 16
 
 
    จากตอนที่แล้ว พระมหาชนกราชทรงยืนระลึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วเปล่งอุทานว่า  “บัณฑิตทั้งหลาย ผู้มีปกติหลีกเร้น ปราศจากเครื่องผูกคือกิเลส อยู่ที่ไหนหนอ   ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ท่าน ใครหนอจะสามารถนำเราไปสู่สถานที่อยู่ของบัณฑิตเหล่านั้นได้”

     พระมหาชนกทรงเจริญธรรมอยู่บนปราสาท จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป ๔ เดือน พระราชนิเวศน์ที่งดงามดุจดาวดึงส์พิภพกลับปรากฏดุจโลกันตนรก ทำให้พระองค์มีพระหฤทัยเบื่อหน่าย มุ่งตรงต่อการบรรพชา  ได้ทรงพรรณนาถึงความมั่งคั่งรุ่งเรืองของกรุงมิถิลา ซึ่งได้มาพร้อมกับภาระผูกพันที่มากมายว่า“เมื่อไรหนอ  เราจึงจะได้สละกรุงมิถิลาราชธานีแห่งนี้ ซึ่งนายช่างผู้ฉลาดได้จัดสร้างไว้อย่างดี มีประตูถนน มีกำแพงและหอคอยเป็นจำนวนมาก”

    พระมหาชนกราชทรงรำพึงรำพันอย่างนี้เป็นประจำ หลังจากที่ทรงเจริญสมณธรรมอยู่บนปราสาทแล้ว พระราชหฤทัยไม่ทรงยินดีในเบญจกามคุณอีกเลย ทรงคิดหาทางที่จะออกผนวชตลอดเวลา  แต่เนื่องจากพระองค์เป็นพระราชา การที่จะเสด็จออกผนวช  ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ  พระองค์จะต้องถูกคัดค้านจากพระอัครมเหสี จากเสนาบดีและเหล่าอำมาตย์ จากพสกนิกรและหมู่อาณาประชาราษฎร์อีกมากมาย  ดังนั้น พระองค์จึงทรงไตร่ตรองอยู่นานจนวันคืนล่วงไป

    แต่เมื่อยังทรงนึกหาทางออกไม่ได้ ก็ทรงรำพึงรำพันไปเรื่อยๆ  วันสุดท้ายพระองค์ทรงเปล่งอุทานว่า 
 
“เมื่อไรหนอ  เราจึงจะได้ปลงผม ห่มผ้ากาสายะ
ทรงผ้าสังฆาฏิที่ทำด้วยผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งไว้ตามถนนหนทาง อุ้มบาตร เที่ยวเดินบิณฑบาต 
 
เมื่อไรหนอ เมื่อฝนตก ๗ วัน เราจะเป็นผู้มีจีวรเปียกชุ่ม มีความเย็นกายเย็นใจเที่ยวบิณฑบาต
จะจาริกไปตามร่มไม้ ตามราวป่า ทั้งกลางวันและกลางคืน เที่ยวไปโดยไม่กังวลถึงกิจการงานใดๆ

เมื่อไรหนอ เราจึงจะได้ละความกลัวและความขลาดได้เด็ดขาด
ได้อยู่ผู้เดียวตามภูเขาและสถานที่อันสงบ จะทำจิตให้ตรง ดุจคนดีดพิณ ดีดสายทั้ง ๗ ให้เป็นที่รื่นรมย์ใจ

ความประสงค์นั้นจะสำเร็จได้เมื่อไรหนอ และเราจักตัดกามสังโยชน์ทั้งที่เป็นของมนุษย์และที่เป็นของทิพย์
เป็นผู้ไม่มีความอาลัยในโลกทั้งปวงได้เมื่อไรหนอ”
 
    พระองค์ทรงหวนรำลึกถึงต้นมะม่วง ที่มีผลดกแต่ถูกทำลายไป ทรงยกเอาต้นมะม่วงนั้นมาเป็นครู ความรู้สึกสลดใจยังฝังแน่นอยู่ในพระราชหฤทัยของพระองค์เสมอมา    แม้เวลาจะผ่านเลย ๔ เดือนไปแล้วก็ตาม  แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พระองค์ทรงสลดพระราชหฤทัย ไม่มีความอาลัยในราชสมบัติอีกแล้ว ดำริจะออกผนวชเพียงอย่างเดียว เพราะทรงเห็นว่าเพศของนักบวชเท่านั้น ประเสริฐกว่าเพศของพระราชา

    ในระหว่างนั้นพระองค์ก็ทรงพิจารณาว่า บัดนี้พระโอรสก็เติบใหญ่แล้ว สมควรที่จะครองราชสมบัติแทนเราได้แล้ว เราไม่มีห่วงกังวลอันใดอีก

    ครั้นดำริฉะนี้แล้วจึงรับสั่งราชบุรุษผู้รับใช้ใกล้ชิด เป็นความลับว่า “เจ้าจงไปหาผ้าย้อมฝาดและบาตรดินมาให้เรา และอย่าให้ใครรู้เด็ดขาด”

    ราชบุรุษก็ทำตามรับสั่งทุกประการ จากนั้นทรงโปรดให้เรียกเจ้าพนักงานภูษามาลาเข้ามาเฝ้า ให้ปลงพระเกศาและพระมัสสุ

    ทรงโปรดให้บ้านส่วยแก่นายภูษามาลาเป็นเครื่องตอบแทน  แล้วทรงอนุญาตให้เขากลับไป

    ทรงนุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ทรงห่มผืนหนึ่ง ทรงพาดผืนหนึ่งที่พระอังสา ทรงอุ้มประคองบาตรดินอย่างสง่างาม จากนั้น ก็เสด็จจงกรมในปราสาท เหมือนพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังออกเดินบิณฑบาต 

    ด้วยความที่ทรงมีปีติในบรรพชาเพศ จึงทรงเปล่งอุทานว่า  “โอ บรรพชาเป็นสุขจริงหนอ เป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสุขอันประเสริฐ...” 
 
     พระมหาสัตว์เจริญธรรมอยู่ในปราสาทนั้น ตลอดทั้งวัน ทรงปรารภจะเสด็จลงจากปราสาทในวันรุ่งขึ้น ทรงทำสมาธิเจริญภาวนาตลอดคืนยันรุ่ง แล้วพระองค์ก็ทรงตัดสินพระราชหฤทัยเด็ดขาดที่จะเสด็จออกจากพระราชวัง โดยไม่ต้องอำลาใคร

และในวันนั้นเอง พระนางสีวลีเทวีทรงรู้สึกหวั่นพระหฤทัยอยู่ลึกๆ  เพราะไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระราชามานานถึง ๔ เดือน  จึงตรัสเรียกสตรีคนสนิท ๗๐๐ คน เข้าพบเป็นการด่วน
 
    พระนางทรงรับสั่งว่า “พวกเราไม่ได้เห็นพระราชามานานแล้ว วันนี้พวกเราจะไปเข้าเฝ้าพระราชากัน แต่ให้ทุกคนตกแต่งด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง แสดงกิริยาอาการร่าเริง พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ  และขับร้องด้วยลีลาที่งดงาม  เพื่อช่วยกันผูกใจของพระองค์ไว้”
 
    ส่วนพระเทวีก็ทรงประดับตกแต่งพระองค์อย่างสวยงามราวเทพธิดา  แล้วเสด็จก็ขึ้นปราสาทกับเหล่าสตรีทั้ง ๗๐๐ นาง 

    ในขณะที่เสด็จขึ้นบนปราสาทนั้น ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พระราชาเสด็จลงมาพอดี แต่พระเทวีก็ไม่ได้เฉลียวพระหฤทัย เห็นแต่กิริยาอาการที่สงบสำรวมเหมือนกับสมณะที่บวชมานาน ก็ทรงจำไม่ได้ 

    พระเทวีได้แต่ทรงนึกว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าที่มาสนทนากับพระราชาเป็นประจำ  จึงทรงหลีกทางและทรงนั่งลงพนมมือไหว้ด้วยความเคารพ จากนั้นก็เสด็จลุกเดินขึ้นไปบนปราสาท

    เมื่อเสด็จขึ้นไปถึงที่ประทับ ก็ไม่ทรงเห็นใครเลย   ทอดพระเนตรเห็นเพียงเส้นพระเกศาที่วางไว้อยู่บนพระแท่นสิริไสยาสน์ และห่อเครื่องราชาภรณ์ 
 
ทรงคาดการณ์ว่า นี้จะต้องเป็นเส้นพระเกศาของพระราชสวามี พระองค์ทรงปลงพระเกศาแล้วก็ทรงเปลี่ยนชุดเป็นบรรพชิต สละเครื่องราชาภรณ์วางไว้แล้วก็เสด็จลงจากพระราชวังไป

ก็ทรงทราบได้ว่า “บรรพชิตรูปนั้น คงไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าเสียแล้ว จะต้องเป็นพระราชสวามีสุดที่รักของเราอย่างแน่นอน”

    เมื่อดำริดังนี้แล้ว จึงทรงร้องสั่งพวกกำนัลในทั้งหลายว่า “บรรพชิตรูปนั้น ต้องเป็นพระราชาแน่พวกเราต้องรีบไปทูลให้พระองค์เสด็จกลับ เร็วเข้าเถิด”
 
รับสั่งแล้วก็รีบเสด็จลงจากปราสาททันที  ส่วนว่าพระนางจะมีโอกาสได้พบพระราชสวามีอีกหรือไม่  โปรดติดตามตอนต่อไป....

โดย : หลวงพ่อธัมมชโย

 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก  ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี  ตอนที่ 17ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 17

ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี  ตอนที่ 18ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 18

ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 19ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 19



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก