ศีลภรตคืออะไร ต่างจากศีลห้าอย่างไร? - หลวงพ่อตอบปัญหา


[ 14 ส.ค. 2553 ] - [ 18266 ] LINE it!

หลวงพ่อตอบปัญหา 

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
 
คำถาม: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าคะในรายการตอนก่อนๆ ลูกเคยได้ยินหลวงพ่อพูดคำว่า ศีลภรต นะคะแต่ไม่ได้ขยายความไว้ ลูกอยากขอความเมตตาจากหลวงพ่อ ช่วยอธิบายคำว่าศีลภรต คืออะไร ต่างจากศีลห้าอย่างไรเจ้าคะ
 
คำตอบ: เจริญพร ศีลภรต คืออะไร ต่างจากศีลห้าอย่างไร เอาขั้นต้นก่อน คำว่าศีลภรต มุ่งไปถึงศีลของนักบวชเป็นหลักต่างจากศีลของชาวบ้าน คือ ชาวบ้านเขารักษากันแค่ศีลห้า ศีลห้าคุณโยมคงเข้าใจอยู่แล้ว ธรรมดาชาวบ้าน ชาวโลก เขารักษากันแค่ศีลห้า แต่ว่าที่ นักบวช คือ ผู้ที่จะกำจัดกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษนั้นแค่ศีลห้าไม่พอ ก็ต้องมีศีลภรต คือศีลที่ยิ่งขึ้นไปกว่าศีลห้า ส่วนมีอะไรบ้าง เดี๋ยวค่อยว่ากัน ลองดูตรงนี้ก่อน
            ศีล ทำไมจึงต้องมาแบ่งเป็นศีลทั่วไปของชาวบ้าน และ ศีลของนักบวชด้วยดูตรงนี้ให้ชัด ทหาร เขามีวิธีการทำความดีของเขาอยู่สองระดับ
            ระดับแรก เมื่อมีข้าศึกมาโจมตี ความดีความชอบของทหารระดับแรกก็คือ รักษาค่าย รักษากองทัพ รักษาชีพ ต้องตั้งมั่นเอาไว้ให้ได้ ไม่ยอมให้ข้าศึกมาตีแตก พูดง่ายๆคือรักษาดินแดน รักษาพื้นที่เอาไว้ ถึงแม้ว่าจะทำลายล้างข้าศึกศัตรูไม่ได้ แต่ข้าศึกศัตรู ก็บุกรุกไม่ได้อีกเหมือนกัน ถามว่าอันนี้เป็นความดีความชอบของทหารไหม ตอบว่า เป็น คือรักษาฐานไว้ได้ แต่ว่าเป็นความดีขั้นพื้นฐาน
            ทั้งนี้ความดีที่ยิ่งขึ้นไปของทหาร คือ เมื่อได้จังหวะก็รุกไล่ บดขยี้ จนข้าศึกศัตรูพินาศทำลายไป กินดินแดนมาได้ตั้งเยอะ ศัตรูก็หายไปหมดแล้วอันนี้เป็นความดีระดับสูงขึ้นมาอีกของทหารเขา แบบนี้เป็นต้น
            พวกเราก็เหมือนกัน การรักษาศีลห้าของพวกเราในวันธรรมดา จึงจัดว่าเป็นความดีเบื้องต้นของชาวโลก คือ ยันกิเลสเอาไว้ ไม่ให้บีบคั้นเราได้พอวันพระ บางท่านก็วันโกน บางท่านก็วันพระ เราอยากจะทำความดีตามพระท่านบ้าง พระท่านมาบวชทำไม ท่านจะมารุกไล่ใคร รุกไล่ปราบกิเลสให้สิ้นเชื้อ ไม่เหลือเศษให้ได้ นั่นคือพระ ถ้าทำไม่ได้อย่างพระทั้งหมด ก็เลียนแบบพระอาจารย์บ้างก็แล้วกันคือ วันโกน วันพระ หรืออย่างน้อยก็วันพระ ขอถือศีลภรต ตามหลวงพ่อท่านบ้างทำอย่างไร จากศีลห้ามาเป็นศีลแปดบ้าง
            ศีลข้อที่หก ว่าอย่างไร เอาคำแปลก็แล้วกัน หลังเที่ยงวันไปไม่ทานอาหารอย่างมากก็แค่เครื่องดื่มนิดๆหน่อยๆก็พอแล้วเพราะอะไร เพราะมาคำนึงว่าอาหารทั้งสองมื้อนั้น มันพอแล้วสำหรับที่จะยังชีวิตของเรา ส่วนอาหารมื้อที่สามนั้น ถ้าเราสวดมนต์ ภาวนา รักษาศีล ทำสมาธิ อย่างนี้ ไม่ได้ใช้แรงมาก สองมื้อแรกนั้นก็ควรพอแล้ว มื้อที่สามมันกลายเป็นอาหารส่วนเกิน อาหารส่วนเกิน มีสิทธิจะกลายเป็นพลังงานส่วนเกิน จากพลังงานส่วนเกินนี้ จะทำให้ใจฟุ้งซ่าน ต้องเลิก หยุด ไปเลย
            ศีลข้อที่เจ็ด ไม่ให้ร้องรำทำเพลง ไม่ให้ แต่งหน้า ไม่ให้ดูละคร การละเล่นต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้ใจมันฟุ้งซ่าน งดมันไปซะ
            ศีลข้อที่แปด ไม่นอนในที่นอนนุ่มๆ หนาๆ เพราะจะทำให้ใจมันฟุ้งซ่านง่ายเช่นกัน เมื่อเรางดไปใน ข้อที่หก เจ็ด แปด นี้ได้ จะช่วยให้ใจไม่ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัยรุ่น โอกาสที่จะฟุ้งซ่านในเรื่องเพศ นี้ง่ายมาก ปู่ ยา ตา ทวด เรา พออายุสมควรท่านก็เริ่มเข้าวัดกันแล้ว ถือหลักง่ายๆ ถ้าลูกคนโตแต่งงานเมื่อไหร่ไม่ว่าลูกสาว หรือ ลูกชายก็ตาม คุณพ่อ คุณแม่ รีบเข้าวัดรักษาศีลแปดกันแล้ว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะต้องเตรียมตัวเป็นปู่ ย่า ตา ยาย ที่เป็นต้นแบบศีลธรรมให้เขาดูนั่นเอง
            นอกจาก ศีลข้อที่หก เจ็ด แปด เพิ่มขึ้นมาแล้ว ศีลข้อที่สาม ในครอบของศีลห้า ที่บอกว่า “พอใจในคู่ครองของตน ไม่เจ้าชู้นั้น” พอในครอบของศีลแปด หรือศีลภรตนี้ กลายเป็นว่ายกระดับให้สูงขึ้นคือ แม้แต่มีคู่ครองก็ไม่ร่วมหลับนอนกับคู่ครองของตน ทำตัวเหมือนกับพระ ทำตัวเหมือนกับหลวงพ่อ เลียนแบบหลวงพ่อไปเลย
            ศีลภรต คืออะไร คือศีลที่มุ่งปราบกิเลส ไม่ใช่แต่ศีลห้าที่ยันกับกิเลสเท่านั้น ถ้าถามว่าต่างกับศีลห้าอย่างไร ศีลห้านั้น ยันกับกิเลส ศีลภรตนั้น จะล้างผลาญกับกิเลสให้มันสิ้นซากให้ได้
 
คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ มีคนถามลูกว่า จุดประสงค์ของการรักษาศีลแปด คือการประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าเขาสามารถ รักษาศีลข้อที่สามได้ ข้อย่อยๆอย่างอื่น เช่น ข้อหก ข้อเจ็ด ข้อแปด ไม่ต้องรักษาก็ได้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ
 
คำตอบ: โยม...ทำอะไร ทำให้มันครบชุดของเข้าไว้ อย่าให้ตกหล่นไป กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงบัญญัติ ศีลแต่ละข้อขึ้นมา พระองค์ได้ทรงคิดแล้วคิดอีกปกติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอยู่ประการหนึ่งที่รู้กันไปทั่วคือ ท่านจะไม่ตรัส ไม่พูดอะไรเพ้อเจ้อ พูดง่ายๆ อะไรไม่จำเป็นแม้ครึ่งคำพระองค์ก็ไม่พูด พูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้นแหละ นี่คือพระจริยวัตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
            เพราะฉะนั้น การที่พระองค์บัญญัติจากศีลที่มีอยู่ ห้า ข้อแล้ว มาเป็น แปด ข้อนี่ แสดงว่าจำเป็นจริงๆ ไปตัดข้อใดข้อหนึ่งของพระองค์ไม่ได้หรอก ทำไมจึงตัดไม่ได้ ต้องมองว่าอย่างนี้ โดยหลักการก็คือ การที่กำหนดให้มีศีลภรต คือ ข้อที่หก ข้อที่เจ็ด ข้อที่แปด ไล่ไปเรื่อยๆ ของพระมีตั้ง 227 ข้อนะ เกินกว่าศีลห้าอีก ได้บอกแล้วว่าศีลในระดับนี้ เป็นศีลเพื่อรุกไล่ กำราบ ปราบกิเลส ให้มันสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษไป เมื่อต้องปราบปรามกันให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษนี่ มันจะต้องเป็นการปฏิบัติการ ประเภทให้มันสิ้นซากกันไปเลย ไม่ใช่ฉาบฉวย เพราะกิเลสที่เกิดในใจมนุษย์นั้นดูกันอย่างนี้
            1.     เราเกิดมากิเลสอยู่ในใจ เป็นเชื้อฝังใจ หาทางจะให้เราจะกำเริบอยู่เรื่อย บีบคั้นใจเราตลอด ถ้ามันยังทำอะไรใจเราไม่ได้ มันก็จะมีเหยื่อมาล่อ สำนวนศาสนาบอกว่า “มารเอาเหยื่อมาล่อ” โยมคงเข้าใจคำว่าเหยื่อนะ เอาของเล็กน้อยมาล่อ เพื่อให้ของใหญ่เสียหายไป
            เช่นชาวประมง เขาก็เอาเหยื่อเกี่ยวเบ็ดมาล่อปลาตัวใหญ่ เอาปลาตัวเล็กๆ มาเกี่ยวเบ็ด ปล่อยไปเดี๋ยวปลาใหญ่ก็กินเบ็ด เขาก็ได้ปลาใหญ่เอามาแกงกิน นี่คือเหยื่อ เรารู้จักแต่เหยื่อปลา แต่เราไม่รู้จักเหยื่อที่เอามาล่อใจมนุษย์
            พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงชี้เหยื่อที่มาล่อใจมนุษย์ไว้ชัดเจน มีอะไรบ้าง
            เหยื่อล่อทางตา ก็คือรูปสวยๆ เอามาล่อตาเข้า ตามันชอบ มันก็กระทบใจปุ๊บ ใจก็ฟุ้งขึ้นมาเลย ติดเหยื่อซะแล้ว นอนไม่หลับ
            เหยื่อล่อทางหู เอาเสียงมาล่อทางหู พอติดใจเสียงเข้าไป ก็นอนไม่หลับอีกแล้ว
            เหยื่อล่อทางจมูก เอากลิ่นหอมๆ มากระทบจมูกเข้า ใจก็ฟุ้งอีกเช่นกัน
            เหยื่อล่อทางลิ้น เอาอาหารถูกปากมาล่อ พออาหารกระทบลิ้นเท่านั้น ใจฟุ้งอีกแล้ว
            เหยื่อล่อทางกาย เอาของนุ่มๆ นิ่มๆ เอามาล่อ เป็นเหยื่อกระทบกายก็ติดใจ นอนไม่หลับ ต้องตามไปถึงเจ้าตัวอีก
            มารเอาเหยื่อมาล่อ ทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ล่อแล้วทำให้ใจฟุ้งซ่านวัตถุประสงค์ในการที่จะรักษาศีลภรต ต้องการที่จะกำจัดกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เมื่อจะให้สิ้นซากไป ก็ต้องกำจัดเหยื่อที่มาล่อนั่นด้วย
            เพราะฉะนั้น ถ้าใครตั้งใจรักษาศีลแปด ว่าก็รักษาศีลข้อสาม มาได้ดีแล้วนี่ ข้อที่ หก เจ็ด แปด ไม่ต้องรักษาได้ไหม ขอตอบว่าไม่ได้ เพราะถ้าไม่รักษาข้อที่ หก เจ็ด แปด ให้ดีเดี๋ยวจะติดเหยื่อ ถ้าใครพลาดท่าเหยื่อทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อไหร่ ที่เหลืออีกกี่ข้อนั้นก็รักษาไม่อยู่หรอก โยนศีลทิ้งกันหมด อย่าว่าแต่ศีลแปดเลย ศีลห้าทำท่าจะไม่อยู่เอาซะอีกนะ
            เพราะฉะนั้น รักษาศีล ประพฤติพรหมจรรย์ หรือรักษาศีลภรต ตั้งแต่ศีลแปดไป ห้ามยกเว้นเด็ดขาด ห้ามต่อรอง ถ้ารักษาศีลห้า ก็ต้องเป็นห้า ศีลแปดก็ เป็นแปด ถ้าต่อรองเดี๋ยวติดเหยื่อ ตั้งใจจะให้หลุดออกจากเหยื่อ แล้วจะได้ปราบมารประหารกิเลสให้สิ้นเชื้อ ไม่เหลือเศษ ได้โดยง่ายไปทุกภพทุกชาติ แล้วฝากพวกเราทุกคนเอาไว้ด้วยว่า บางยุคบางสมัย ถ้าคนกิเลสไม่มากเกินไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคนั้นๆ พระองค์ทรงสอนแค่ศีลแปด เท่านั้น พระในยุคนั้นๆ รักษาศีลแปด ก็ไปเป็นพระอรหันต์ได้แล้ว พวกเราตอนนี้กิเลสมันหนาไปหน่อย พระก็ต้อง 227 เพราะฉะนั้น โยมศีลแปด บ้างก็ดีแล้วนะ
 
คำถาม: ลูกเคยชวนเพื่อนมานั่งสมาธิ เขาบอกว่า คนทางโลกอย่างเขา ทำทาน รักษาศีล ก็พอแล้ว ทำไมต้องมานั่งสมาธิด้วย จะอธิบายให้เขาเข้าใจได้อย่างไรเจ้าคะ
 
คำตอบ: ก็ต้องดูว่า โดยสภาพใจของเขาแล้ว เขาอยู่ตรงไหน ในการตอบให้คนเห็นความสำคัญของสมาธิ ดูอย่างนี้ก่อน ดูว่าธรรมดาแล้ว เขาเองสนใจคำสอนของพระพุทธศาสนามากน้อยแค่ไหน คือคนบางพวก เขาไม่ค่อยสนใจคำสอนในพระพุทธศาสนามากนักหรอก แต่ก็ตักบาตร ให้ทาน รักษาศีล ตามประเพณีไป นี่พวกหนึ่ง
            พวกที่สอง ทั้งตั้งใจให้ทาน รักษาศีล แล้วก็ศึกษาธรรมะด้วย ศึกษาว่าทำอย่างไร ศีลจึงจะดี มีกฎเกณฑ์อย่างไร ทำอย่างไรทำทานจึงจะได้บุญมาก แต่ว่ามองไม่เห็นคุณค่าของสมาธิ จริงๆแล้วที่ศึกษา เพราะมีครูบาอาจารย์บางท่าน เป็นพระด้วยซ้ำ ท่านมักจะพูดว่า ถึงท่านไม่ฝึกสมาธิ ท่านก็มีสมาธิ ท่านดีอยู่แล้ว จะต้องฝึกไปทำไม อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน
            อีกกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มที่ให้ทาน รักษาศีล ตามประเพณี ก็ทำตามกันสืบๆ กันมา ในกรณีนี้ต้องชี้แนะให้เขาดูว่า ทานที่เขาทำนั้น ถ้าจะให้ได้บุญมากขึ้น  ก่อนทำทาน ให้นั่งสมาธิก่อน ใจจะได้ใสใส แล้วจะได้บุญที่มีคุณภาพมากกว่าทำทานอย่างเดียว หรือ เขาก็รักษาศีลของเขาดี ทำนองเดียวกัน รักษาศีลดีแล้วก็นั่งสมาธิอีกหน่อย ใจก็จะได้ใสใส สมาธิก็จะได้มั่นคงยิ่งขึ้น พวกนี้คงอธิบายให้เขาได้ ในระดับนี้
            หลังจากที่เขานั่งสมาธิไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็อธิบายให้เขาฟังเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ตามจะเห็นสมควร เอาประสบการณ์ที่เรามีในการนั่งสมาธิเป็นแรมปีนั้น ค่อยๆอธิบายให้เขาฟัง เขาก็จะเข้าใจได้ง่ายเอง
            ส่วนในกรณีของพวกที่ตั้งใจศึกษาธรรมะนั้น เรื่องทาน ศีล ก็ตั้งใจศึกษาค้นคว้า ตำราก็ชอบอ่าน แต่เขาไม่ชอบนั่งสมาธิ เพราะเขาเห็นว่า ไม่สำคัญ นั่นเอง
            สำหรับพวกที่ไม่เห็นความสำคัญของสมาธินั้น ถ้าพวกนี้ไม่ถึงกับต่อต้าน ก็พอที่จะอธิบายได้ในระดับหนึ่ง เช่น คนเราถึงแม้จะให้ทานเพื่อกำจัดความตระหนี่ ไปได้แล้วก็ดี ตั้งใจรักษาศีล ก็ทำให้เราตั้งใจควบคุมกริยามารยาท ควบคุมความวิกฤต ทางกาย วาจา ใจ ได้ ก็ดี แต่ใจยังใสไม่พอ ยกตัวอย่างง่ายๆ ขณะนี้คุณตั้งใจให้ทาน รักษาศีลเป็นประจำ แต่หลายๆครั้งก็มีเรื่อง กระทบกระทั่ง ทำให้ขุ่นใจ ทำให้นอนไม่หลับ ฟุ้งซ่าน ทำให้บางครั้งมีการกระทบกระทั่ง แตกหักกับพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ ไม่คิดจะแก้ไขสิ่งเหล่านี้บ้างหรือ
            วิธีแก้ไขง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ก็มาฝึกสมาธินั่นเอง ถือว่าการฝึกสมาธิ เป็นเรื่องของการฝึกหักห้ามใจ ลักษณะนี้ถือว่า ให้สติเขา ให้มาฝึกสมาธิ สำหรับว่าใช้เป็นเครื่องหักห้ามใจ
            อีกพวกหนึ่ง ได้ชวนเขามาฝึกสมาธิ ในลักษณะไหน คือถ้าเขาเป็นนักทำงาน แล้วเขาก็ไม่ได้มีเรื่องกระทบกระทั่งกับใคร แต่นักทำงาน พอถึงจุดหนึ่งมันจะล้า แล้ววิธีที่จะให้ใจหายล้าง่ายๆ ไม่มีอะไรเกินสมาธิ ในฐานะที่จะทำให้เขาหายเหนื่อยล้าหรือเบื่อหน่าย เป็นเรื่องของกำลังใจ เป็นการฟื้นฟู ฟอกใจ ให้กำลังใจตัวเองขึ้นมา พูดง่ายๆก็คือ หาอานิสงค์ของการฝึกสมาธิในแง่มุมต่างๆ มาอธิบายให้เขาฟังให้เหมาะกับ จริต อัธยาศัยของเขาให้ได้ เมื่อไปพบที่พอเหมาะกันตรงไหนก็ใช้ตรงนั้นเลย แล้วจะสามารถชวนให้เขาเข้าวัดปฏิบัติธรรม นั่งภาวนาร่วมกันไปได้ไม่ยาก
            และในวาระที่จะชวนคนได้ง่ายๆนั้น ก็มักจะเป็นช่วงที่
            1. ตอนป่วย
            2. ตอนมีทุกข์  ทุกข์จากครอบครัว ที่ทำงาน ฯลฯ  มักต้องการหาที่พึ่ง ตอนป่วยก็ทุกข์กาย ต้องการหาที่พึ่ง ไม่ว่าทุกข์กายทุกข์ใจ ต้องการหาที่พึ่ง จังหวะนั้นจะชวนเขาทำสมาธิ ก็ไม่พลาดสักรายเลย
 
 

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ชาวต่างชาติอยากจะให้ญาติมิตรได้เข้าใจถึงเรื่องทานบารมี ควรจะทำอย่างไร - หลวงพ่อตอบปัญหาชาวต่างชาติอยากจะให้ญาติมิตรได้เข้าใจถึงเรื่องทานบารมี ควรจะทำอย่างไร - หลวงพ่อตอบปัญหา

พระสงฆ์ที่ท่านเดินบิณฑบาตเจ้าค่ะ ท่านจะสามารถสวมรองเท้าได้ หรือไม่เจ้าคะ เพราะว่าในสภาพปัจจุบันนี้พื้นที่บางแห่งไม่เหมาะสมที่จะเดินเท้าเปล่าเจ้า ค่ะ -  หลวงพ่อตอบปัญหาพระสงฆ์ที่ท่านเดินบิณฑบาตเจ้าค่ะ ท่านจะสามารถสวมรองเท้าได้ หรือไม่เจ้าคะ เพราะว่าในสภาพปัจจุบันนี้พื้นที่บางแห่งไม่เหมาะสมที่จะเดินเท้าเปล่าเจ้า ค่ะ - หลวงพ่อตอบปัญหา

ทำไมคนไทยเมืองพุทธถึงกลับมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจน้อยกว่าประเทศทางตะวันตก - หลวงพ่อตอบปัญหาทำไมคนไทยเมืองพุทธถึงกลับมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจน้อยกว่าประเทศทางตะวันตก - หลวงพ่อตอบปัญหา



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

หลวงพ่อตอบปัญหา