เทคนิคเช็คปริมาณความดีของตัวเอง


[ 29 ก.ค. 2549 ] - [ 18259 ] LINE it!

 
อยากรู้เทคนิคเช็คปริมาณความดีของตัวเอง...ลองอ่านกันดู
 
ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เคยคิดหรือไม่ว่า วันหนึ่งๆ เราได้ทำความดี ความไม่ดีอะไรบ้าง มีสิ่งใดที่ทำแล้วเรารู้สึกอิ่มเอมเปรมใจ  หรือสิ่งใดที่ทำแล้ว ก่อให้เกิดความทุกข์    ความกลุ้มใจบางคนอาจจะเคยคิด แต่เชื่อว่าหลายๆ คนก็อาจมัวแต่ดีใจ เสียใจหรือหมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนไม่ทันคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นดี ร้ายประการใด ในปีนี้เป็นปีมหามงคลฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  กษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย  ได้มีการเชิญชวนให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทำความดีถวายในหลวง อย่างน้อยคนละ 1 อย่าง  ซึ่ง “ความดี” ที่ว่านี้ จะเป็นเรื่องใดก็ได้ที่แต่ละคนสามารถทำได้ 
ดังนั้น  กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงอยากจะขอเสนอแนะ ให้ลองจดความดี ที่เราได้ทำในแต่ละวันลงใน “สมุดบันทึกความดี” โดยจะเป็นสมุดแบบใดก็ได้ คล้ายกับการบันทึกลงในไดอารี  ซึ่ง “สมุดบันทึกความดี” นี้ มาจากแนวคิดในหนังสือเรื่อง “โอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝาน” ที่ถอดความจากต้นฉบับภาษาจีนโดยคุณเจือจันทร์  อัชพรรณ  อันเป็นเรื่องที่อ่านแล้ว น่าจะจุดประกายให้ทุกท่านอยากทำดีเพิ่มขึ้น ดังจะได้เล่าเรื่องย่อให้ฟังดังต่อไปนี้
 

 ท่านเหลี่ยวฝาน เป็นชาวเจียงหนาน (กังหนำ) ถ้ายังมีชีวิตอยู่จนปีนี้ (พ.ศ. 2549) จะนับอายุได้ 457 ปี  ท่านสอบจิ้นซื่อได้ และเข้ารับราชการเมื่ออายุได้ 37 ปี เป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง ลึกซึ้งยิ่ง ท่านเชี่ยวชาญในวิชาการเกือบทุกแขนง นอกจากพุทธธรรม ที่ท่านสนใจมากจนเข้าถึง พระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้แล้ว  ท่านยังเป็นปราชญ์ในทางอักษรศาสตร์   โบราณคดี, คณิตศาสตร์, ดาราศาสตร์, โหราศาสตร์, ไสยศาสตร์, เกษตรศาสตร์, อุทกศาสตร์, ธรณีวิทยา, นิติศาสตร์, รัฐศาสตร์ และปรัชญา เป็นต้น แม้แต่ทางยุทธศาสตร์ท่านก็ช่ำชอง และสามารถใช้ปัญญาเอาชนะโจรสลัด ที่โจมตีในขณะปฏิบัติการทางทหาร ที่ชายแดนได้สำเร็จอย่างงดงาม  ท่านดำรงตำแหน่งทางราชการทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊   ที่น้อยคนนักจะมีความสามารถเช่นนี้ เมื่อท่านถึงแก่อนิจกรรม  แม้จะเป็นเวลาที่มิได้รับราชการแล้ว ฮ่องเต้ก็ยังทรงระลึกถึง คุณงามความดีของท่านอยู่ จึงได้ทรงสถาปนายศ และทรงประกาศเกียรติคุณของท่านให้ปรากฏไปทั่วแผ่นดิน ท่านเป็นคนไม่หวงแหนหรือติดลาภยศ  หากใครทำให้ประเทศเสื่อมเสียเกียรติภูมิ หรือใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ท่านจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง

 
แม้ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม ท่านก็ไม่ยอมสยบให้ ใครจะใส่ร้ายป้ายสีท่านอย่างไร ท่านก็ไม่นำพา อิจฉากันมากนัก ท่านก็ถวายบังคมลากลับไปอยู่ถิ่นเดิม และแต่งหนังสือตำรับตำราไว้มากมาย เป็นเพชรน้ำหนึ่งในสมัยราชวงศ์หมิง  เมื่อครั้งรับราชการเป็นนายอำเภออยู่ภาคเหนือ  ซึ่งเป็นท้องที่ที่เกิดอุทกภัยเสมอๆ ท่านก็ได้ใช้ความรู้ความสามารถจนป้องกันน้ำท่วมได้  โดยการแยกพลังน้ำออกเป็น 3 ทิศทาง  และยังให้ประชาชนปลูกต้นหลิว ตามริมฝั่งแม่น้ำและทะเล กลายเป็นเขื่อนธรรมชาติ ป้องกันน้ำท่วมได้เป็นอย่างดี  ในบั้นปลายชีวิต เมื่อกลับไปอยู่ถิ่นเดิม ท่านก็ไม่นิ่งดูดาย คอยช่วยเหลือดูแลทุกข์สุขของราษฎรอยู่เสมอ ช่วยคิดค้นวิธีทำไร่ไถนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ท่านสอนให้ชาวบ้านมีความรู้กว้างขวาง สอนให้รักกัน  ช่วยเหลือกัน เสียสละ และหมั่นบริจาคจนเป็นนิสัย  แต่ละวันท่านจะทำ ตารางการทำงานส่วนตัว และส่วนที่จะทำเพื่อผู้อื่นไว้ล่วงหน้า  ท่านไม่เคยอยู่นิ่ง  นอกจากนี้ ท่านยังฝึกสมาธิเป็นเวลาสม่ำเสมอจนบรรลุฌาน และเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนบรรลุญาณ  ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่ออายุ 74 ปี  คือ พ.ศ. 2166 
 

 

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนจะรู้สึกว่าท่านเก่ง  แต่ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ  แต่จริงๆ แล้ว  ชีวิตของท่านนั้น  น่ามหัศจรรย์ใจยิ่ง  เพราะแต่เดิมเคยมีท่านผู้เฒ่าที่เก่งทางพยากรณ์ทำนายว่า ท่านจะมีอายุขัยเพียง 53 ปีเท่านั้น  แต่ท่านก็อยู่มาได้ถึง 74 ปี  โดยมิต้องบนบานศาลกล่าว ต่อฟ้าดินหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งไม่ต้องสะเดาะเคราะห์ ปล่อยนกปล่อยปลาแต่อย่างใด  ท่านทำได้อย่างไร จากหนังสือ “โอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝาน” อันเป็นประสบการณ์ของท่านที่เขียน เพื่อสอนลูกหลานของท่านเองว่า  ชีวิตที่อยู่ในกรอบแห่งจริยธรรมก็ดี   หรือจะหลุดจากขอบข่ายทั้งมวลในสังคมก็ดี  ล้วนเกิดจากเจตนารมณ์ของตนเองทั้งสิ้น มิได้ขึ้นอยู่กับลิขิตของฟ้าดิน  ชาตาชีวิตมิใช่ข้อชี้ขาดที่จะแก้ไขมิได้  จะดีจะชั่ว  ใช่ฟ้าดินจะบันดาลให้   โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล  เป็นตัวเราเองต่างหาก คือผู้กำหนดอนาคตของตนเอง  ปุถุชนมักมองชีวิตว่า ถูกลิขิตมาแล้วแน่นอนก่อนเกิดเสียอีก  ความรวย ความจน ความสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย อายุสั้นอายุยืน ล้วนเกิดจากผลกรรมที่ตนเองได้สั่งสมไว้ แต่ชาตินี้หรือชาติปางก่อน วิบากย่อมส่งผลของชาติที่แล้วมาบ้าง ที่ย้อนขึ้นไปหลายๆ ชาติบ้าง  ทัศนคติที่มีต่อกรรมเช่นนี้  แม้จะถูกต้อง แต่ก็มิใช่ทั้งหมด 
 
 
ดังที่ท่านได้เขียนเล่าไว้ว่า ท่านกำพร้าพ่อเมื่ออายุไม่ถึง 20 ปี  ย่าของท่านก็บอกให้ท่านเรียนแพทย์เพื่อเป็นอาชีพ  ให้เลิกคิดเป็นขุนนางเสีย  ท่านก็เชื่อ ต่อมาท่านได้พบกับท่านผู้เฒ่าข่ง ซึ่งได้เล่าเรียนมาทางโหราศาสตร์ จากตำราดั้งเดิมและอยากถ่ายทอดความรู้นี้ให้ท่าน  ท่านจึงพามาพบกับย่า และลองให้พยากรณ์ดู ปรากฎว่าท่านผู้เฒ่าสามารถพยากรณ์ได้แม่นยำในทุกๆ เรื่อง แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ผิดพลาด  ท่านจึงได้กลับไปร่ำเรียนเพื่อสอบขุนนางใหม่  ซึ่งท่านผู้เฒ่าข่ง ก็ได้ทำนายให้ท่านทราบเป็นระยะๆ ว่าท่านจะสอบได้ปีใด  ได้ขั้นที่เท่าไร  ปีใดจะสอบได้ขั้นสุดท้าย ปีใดจะได้เป็นนายอำเภอ และเมื่อเป็นนายอำเภอแล้วสามปีครึ่ง ควรลาออกจากราชการ เพราะอายุ 53 ปีก็จะสิ้นอายุขัย จะนอนตายอย่างสงบในวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 8 ระหว่างเวลาตี 1-3 และจะไม่มีบุตรสืบตระกูล  ท่านเหลี่ยวฝานก็จดบันทึกตามที่ท่านผู้เฒ่าบอกไว้กันลืม  ปรากฏว่าในกาลต่อๆ มา  คำพยากรณ์ที่ว่านี้ แม่นยำถูกต้องเสมอมา ทำให้ท่านเชื่อว่าชาตาชีวิตนั้น ถูกลิขิตมาแล้วอย่างแน่นอน จะช้าจะเร็ว จะมีใครเป็นอุปสรรคอย่างใด ก็หนีไม่พ้น ท่านจึงปล่อยใจไปตามยถากรรม ไม่กระตือรือร้น  ไม่ทะเยอทะยานขวนขวาย หรือดิ้นรนที่จะเอาดีมากกว่าที่เป็นอยู่ ทำให้จิตใจท่านสงบยิ่ง  ครั้นท่านต้องเดินทางไปเข้ามหาวิทยาลัยของหลวง เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ารับราชการต่อไป  ท่านได้แวะวัดชีเสียซาน เพื่อคารวะท่านอวิ๋นกุเถระ  ได้มีโอกาสนั่งสมาธิกับท่านสองต่อสอง เป็นเวลานานสามวันสามคืน  โดยมิได้หลับได้นอน  ท่านเถระก็กล่าวกับท่านด้วยความแปลกใจว่า โดยปกติปุถุชน มีจิตใจว้าวุ่นทำให้ไม่สามารถบรรลุฌานได้ แต่ทำไมท่านเหลี่ยวฝานไฉนนั่งสามวันสามคืนแล้ว ก็ยังสงบนิ่ง จิตใจไม่วอกแวกเลย 
 
ท่านเหลี่ยวฝาน จึงได้เล่าสาเหตุถึงคำพยากรณ์ของผู้เฒ่าข่งให้ฟัง  ว่าท่านได้ทราบอนาคตแน่นอนแล้ว ก็เลยไม่รู้จะคิดวุ่นวายไปทำไม ไม่มีประโยชน์  ท่านเถระได้ยินดังนั้น ก็เลยว่า โธ่นึกว่าจะเป็นผู้วิเศษ ที่แท้ยังเป็นปุถุชนอยู่นั่นเอง แล้วก็สอนท่านว่า อันคนธรรมดาจิตยากที่จะสงบ เพราะความฟุ้งซ่าน ทำให้คนเราถูกผูกมัดด้วยอำนาจพลังบวก และลบของธรรมชาติ ทำให้ไม่มีอิสระเสรีต้องขึ้นกับโชคชะตาราศี และการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า  ที่โหราจารย์ทั้งหลายได้ทำสถิติกันไว้  และว่ามีแต่คนธรรมดาสามัญเท่านั้น ที่ถูกกำหนดได้ด้วยวิชาโหราศาสตร์  แต่คนที่ทำความดีมากๆ แล้ว ชาตาชีวิตจักทำอะไรได้ โหราศาสตร์นั้นหยั่งไม่ถึง กรรมดีกรรมชั่วของคนเราหรอก  และยึดถือเป็นบรรทัดฐานไปทั้งหมดมิได้ เพราะคนดีนั้น  แม้ชาตาชีวิตจะบ่งว่าไม่ดีอย่างไร  แต่พลังแห่งกุศลธรรมนั้นใหญ่หลวงนัก สามารถพลิกความคาดหมายของโหราศาสตร์ได้ คนจนก็กลายเป็นคนรวยได้ คนอายุสั้นก็กลายเป็นคนอายุยืนได้  ในทำนองเดียวกัน คนที่สร้างอกุศลกรรมอย่างหนักไว้  แม้ชาตาชีวิตกำหนดไว้ว่าจะอยู่ดีมีสุขเช่นไร  แต่พลังแห่งอกุศลกรรมก็ย่อมเปลี่ยนความสุขเป็นความทุกข์ได้เช่นกัน แล้วท่านอวิ๋นกุเถระก็สอนท่านเหลี่ยวฝานว่า ชาตาชีวิตนั้น เป็นสิ่งไม่แน่นอน อนาคตเราต้องสร้างของเราเอง คนทำดีชาตาดี คนทำชั่วชาตาก็ชั่ว เมื่อต้องการอนาคตดี ก็ต้องทำดี  ถ้าทำความไม่ดี  แม้ชาตาดีก็กลายเป็นร้ายไปได้ และความสุขความเจริญทั้งมวลเ กิดขึ้นที่ใจก่อนทั้งสิ้น  การแสวงหาใดๆ ก็ตาม ต้องเริ่มที่ใจก่อน ไม่เพียงแต่จะได้คุณงามความดีเท่านั้น ความสุข ความเจริญ ลาภยศ ชื่อเสียง เงินทองอันเป็นความดีทางโลก ก็จะติดตามมาเอง  เพราะฉะนั้นการแสวงหาแต่สิ่งที่ดีงามนั้น  ย่อมจะได้สิ่งที่ดีงามตามปรารถนา  แต่หากไม่สำรวจตัวเอง ไม่เริ่มต้นทำความดีจากตัวเราเอง กลับดิ้นหาจากภายนอก  แม้จะได้  ก็จะได้เพียงชาตากำหนดไว้เท่านั้น  ไม่ใช่ได้เพราะความดีของเรา เพราะการแสวงหาจากภายนอก อาจจะต้องใช้ความพยายาม ในทางที่ถูกบ้างผิดบ้าง เป็นการแสวงหาด้วยแรงขับของกิเลสตัณหา จึงอาจไม่ทันนึกถึงศีลธรรม เป็นการสูญเปล่าทั้งทางธรรมและทางโลก การแสวงหาภายนอกจึงไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
 

 

หลังจากนั้น ท่านเถระก็ได้ให้ท่านเหลี่ยวฝาน คิดหาเหตุผลสำรวจตัวเองว่า จะสอบขุนนางได้หรือไม่ จะมีหรือไม่มีบุตรตามทำนายได้อย่างไร เพราะเหตุใด แล้วท่านก็สอนต่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น คนไม่รู้ย่อมคิดว่าเป็นเพราะชาตาลิขิต แก้ไขไม่ได้ แต่แท้จริงแล้ว ทุกอย่างเกิดจากใจตนเอง ทำไมตนเองจะแก้ไขไม่ได้เล่า และการที่ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์นั้น เป็นเพียงชาตาชีวิตที่ลิขิตจากฟ้าดิน  ย่อมมีทางแก้ไขได้  จงรีบสร้างคุณธรรมความดีงามเถิด  สิ่งที่แล้วมาแล้ว  ก็ให้คิดว่าตายไปแล้วเมื่อวานนี้ ให้มีชีวิตใหม่เพื่อสร้างสมคุณธรรมที่ดีใหม่ พัฒนาชีวิตให้หลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสตัณหา แล้วชีวิตจะมีคุณค่า ผิดแผกแตกต่างไปจากชาตา ที่กำหนดไว้แล้วในคำพยากรณ์  ท่านเหลี่ยวฝานฟังแล้วคิดตาม ก็เชื่อตามเหตุและผลที่ท่านเถระสอน พร้อมน้อมรับคำสอนนี้ไว้ปฏิบัติ  โดยได้อธิษฐานขอให้ได้เป็นขุนนาง และต่อไปนี้จะเริ่มต้นทำความดีใ ห้ครบสามพันครั้งเพื่อตอบแทนคุณฟ้าดินและบรรพชนของตน 
 
ท่านอวิ๋นกุเถระเห็นความตั้งใจ ที่จะทำความดีเช่นนั้น  จึงได้หยิบตัวอย่างบัญชีกรรมดี และกรรมชั่วมาให้ท่านดู  แล้วสอนให้ท่านเหลี่ยวฝาน จดพฤติกรรมของตนเองแต่ละวันอย่างละเอียดถี่ถ้วน  โดยไม่เข้าข้างตนเอง ถ้าเป็นกรรมดีก็จดไว้ข้างหนึ่ง ถ้าเป็นกรรมชั่วก็จดอีกข้างหนึ่ง เหมือนบัญชีรายรับรายจ่าย ต้องนำกรรมชั่วไปลบกับกรรมดี ให้เหลือกรรมดีสามพันครั้ง โดยไม่มีกรรมชั่วที่จะหักกลบลบหนี้ จึงจะถือได้ว่าทำดีครบสามพันครั้ง  และต้องนำบัญชีมาทบทวนทุกวัน เพื่อเตือนใจให้รู้ว่าในวันหนึ่งๆ เราได้ทำอะไรไปบ้าง  ดีมากกว่าชั่ว หรือชั่วมากกว่าดี อะไรผิด อะไรถูก จักได้นำมาแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก กรรมชั่วเบาๆ ก็ต้องมาลบกรรมดีออกเสียหนึ่งครั้ง กรรมชั่วหนักๆ ก็ต้องลบความดีออกหลายๆ ครั้ง จนกว่าจะครบที่อธิษฐานไว้ พร้อมทั้งได้สอนให้ท่านบริกรรมถาถา เพื่อช่วยให้จิตใจมั่นคง และอาศัยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นสรณะ ให้คำอธิษฐานหนักแน่นและสัมฤทธิ์ผลเร็ววัน
 

 

ต่อจากนั้น ท่านก็เปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยเป็นมา และทำตามที่ท่านอวิ๋นกุเถระสอนโดยเคร่งครัด  จะทำการสิ่งใด ก็ทำด้วยความสำรวมทั้งกาย วาจาและใจตลอดเวลา  ครั้นเวลาผ่านไป ท่านได้เข้าไปสอบ และสอบได้ที่หนึ่ง พลิกคำพยากรณ์ที่ว่าท่านจะได้ที่สาม และว่าถ้าหลังจากนี้จะสอบไม่ได้อีก  แต่เมื่อท่านไปสอบก็สอบได้อีก ท่านจึงเชื่อมั่นว่า คำพยากรณ์ไม่สามารถกุมชีวิตท่านได้อีกต่อไป มีครั้งหนึ่งท่านได้ตั้งใจ จะทำความดีให้ครบหนึ่งหมื่นครั้ง ภริยาท่านก็กังวลว่า จะต้องทำนานสักเท่าใดจึงจะสำเร็จ ปรากฏว่าเมื่อท่านเข้านอน ท่านฝันถึงเทวดาองค์หนึ่ง จึงปรับทุกข์เรื่องดังกล่าวให้ฟัง เทวดาก็บอกท่านว่า ท่านนั้นทำความดีครบหมื่นครั้งแล้ว จากการที่ได้ลดภาษีข้าวให้แก่ราษฎทั้งหมด ที่อยู่ในความปกครอง การบรรเทาภาระหนักของราษฎรนี้ ถือเป็นกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ ทำให้ราษฎรมีความสุข  เมื่อท่านตื่นขึ้น ท่านก็นึกได้ว่าทำเช่นนั้นจริงๆ และคิดว่าสิ่งที่ท่านทำ และเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย  แต่ก็ล่วงรู้ถึงเทวดาฟ้าดินได้ แต่ก็สงสัยว่าทำแค่นี้ ทำไมถึงเป็นความดีถึงหมื่นครั้ง พอดีมีโอกาสได้ถามท่านฝานอวิ๋นกุเถระ ท่านก็ตอบให้ฟังว่า กุศลกรรมใดก็ตาม ถ้าทำด้วยความจริงใจบริสุทธิ์ ไม่หวังผลตอบแทนเป็นส่วนตัวแล้ว แม้กระทำครั้งเดียวก็เท่ากับกระทำหมื่นครั้งได้ทีเดียว
 

 

ที่กล่าวมาข้างต้น คือ  โอวาทข้อแรกของท่านเหลี่ยวฝานที่กล่าวถึง “การสร้างอนาคต” อันเป็นการเล่าประวัติของท่านเอง จากนั้นท่านได้พูดถึงโอวาทข้อที่สองในเรื่อง “การแก้ไขความผิดพลาด” ข้อสามเรื่อง “วิธีสร้างความดี” และข้อสุดท้ายคือเรื่อง “ความถ่อมตน” ซึ่งแต่ละข้อจะมีรายละเอียดคำสอนที่น่าสนใจ และชวนให้ปฏิบัติยิ่ง  สำหรับผู้สนใจสามารถหาซื้อได้ตามร้านจำหน่ายหนังสือธรรมะทั่วไป
 

 

สำหรับส่วนที่นำมาเล่านี้ นับเป็นส่วนน้อยนิด แต่อยากจะให้ท่านผู้อ่านได้เห็นตัวอย่างที่ดี  และมีกำลังใจในเรื่องการทำบัญชีกรรมดี-กรรมชั่ว  ซึ่งในที่นี้จะขอเรียกว่า “สมุดบันทึกความดี” ที่ทุกคนสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน  ทำให้เราได้เห็นข้อดี ข้อบกพร่องของเรา  ซึ่งเชื่อว่าหากเราได้ทดลองทำดู  คงจะทำให้ทุกคนมีอนาคตที่ดีขึ้นแน่นอน  ดังที่ท่านสอนลูกว่า  “โบราณกล่าวไว้ว่า ฟ้าดินนั้นสุดที่จะหยั่งรู้  ชาตาชีวิตจึงเอาแน่ไม่ได้ ชีวิตของใคร  คนนั้นก็ต้องสร้างอนาคตเอาเอง จะให้คนอื่นสร้างให้ หาได้ไม่ คำพูดนี้เป็นความจริงที่ท่านได้พิสูจน์ด้วยตนเองมาแล้ว  และท่านก็ได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า ความสุขความทุกข์  ล้วนเกิดจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ทำดีก็ดี  ทำชั่วก็ชั่ว” หรืออาจจะพูดง่ายๆ ว่า  การประกอบคุณงามความดีสามารถทำให้เป็น “คนเหนือดวง” ได้ และข้อสำคัญหาก “ความดี” ใดๆ นั้น ถ้าเราตั้งใจจะทำถวาย “ในหลวงที่รักยิ่ง” ของเรา ความดีนั้น จะได้เป็นความดีที่บริสุทธิ์  มีค่า อีกทั้งยังเป็นผลดีต่อส่วนรวม และประเทศชาติอีกด้วย
 


ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์  สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เผยสูตรตำรับ “พุทธโอสถ” ยาอายุนับ 2500 ปีที่แก้ทุกข์โรคเผยสูตรตำรับ “พุทธโอสถ” ยาอายุนับ 2500 ปีที่แก้ทุกข์โรค

เผยโรคร้ายหลายชนิดจ่อคิวรุมเร้า พวกช่างจ้อโทรศัพท์มือถือเผยโรคร้ายหลายชนิดจ่อคิวรุมเร้า พวกช่างจ้อโทรศัพท์มือถือ

พบสารก่อมะเร็งในลิปสติกและอายชาโดว์พบสารก่อมะเร็งในลิปสติกและอายชาโดว์



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

DMC NEWS