ทำไมคนเราจึงต้องมีเครดิตกันด้วย


[ 31 พ.ค. 2555 ] - [ 18264 ] LINE it!

ข้อคิดรอบตัว
 
 
        เครดิต ในความเข้าใจของคนทั่วไปคือ บัตรสี่เหลี่ยม บัตรเครดิตที่มีอำนาจทางการเงิน จับจ่ายใช้สอย หรือแม้กระทั่งรูดเงินสด แต่ถ้าเราใช้ แล้วก็ใช้มันโดยไม่รักษาหรือสร้างเครดิต คุณก็จะเสียเครดิต หลายๆ สิ่งบนโลกใบนี้เกี่ยวข้องกับเครดิต แม้กระทั่งความเป็นคน เครดิตของคนไม่ใช่เรื่องของการเงิน แต่เป็นเรื่องของศีลธรรม ถ้าเราเอาแต่ใช้โดยไม่รักษาหรือสร้างเครดิตที่ดี ชีวิตของเราก็จะไม่มีเครดิต
 

คำว่าเครดิตนั้นมีความหมายว่าอย่างไร?

 
        เครดิต เป็นการให้นิยามความหมายโดยเซ้นส์ของอาตมาเอง ไม่ได้ไปเปิดในพจนานุกรมใดๆ ทั้งสิ้น เครดิตถ้าว่ามันก็คือ เป็นเหมือนคุณค่าของตัวเรา หรือองค์กร หรือสิ่งของ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสายตาของคนอื่นหรือของสังคมก็คือเครดิต พิจารณาดีๆ ว่าเป็นคุณค่าของตัวเราในสายตาของคนอื่น เขามองว่าเรามีเครดิตแค่ไหน หรือว่าจะเป็นองค์กรเช่นบริษัท ห้างร้าน หน่วยงานอะไรต่างๆ ประเทศชาติ หรือสินค้าก็ได้ ของแต่ละชิ้นมีเครดิตทั้งนั้น เช่นแปะตราดังๆ โซนี่ แอปเปิ้ล รู้สึกว่าสินค้าดูดีขึ้นมาทันทีเลย เขาเรียกว่าเครดิตของมันในสายตาของคนอื่น อันนี้คือในแง่ว่าเป็นตัวบุคคลหรือสังคม เป็นภาพรวม ว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมหนึ่งๆ หรือกระทั่งโลกก็ตามมองคนนั้น องค์กรนั้น หรือวัตถุสิ่งของนั้นว่ามีคุณค่าขนาดไหน นั่นคือคำว่า เครดิต
 

คำว่าเครดิตนี้เป็นขึ้นมาเองโดยธรรมชาติหรือว่าเราตั้งใจสร้างขึ้นมา?

 
        ได้ทั้ง 2 อย่าง คือ 1. ที่เรียกว่าเป็นธรรมชาตินั้นคือว่า แต่ละคนนั้นไม่ว่าจะตั้งใจทำหรือไม่ก็ตาม เครดิต มันก็มีอยู่แล้ว เช่นว่าตั้งแต่สมัยก่อนในยุคเกษตรก็ตาม คนแต่ละคนมีความสามารถแค่ไหน อยู่ด้วยกันในหมู่คณะในพวกเขาก็จะรู้กันว่าใครเป็นยังไง อย่าว่าแต่คนเลยในหมู่สัตว์ก็ยังมี แต่ในหมู่สัตว์นั้นหมายถึงกำลังกล้ามเนื้อความแข็งแรงของร่างกาย สามารถเอาชนะตัวอื่นได้ก็เป็นผู้นำตัวอื่นได้ แต่คนนั้นมีอะไรที่มากกว่ากำลัง เพราะมีเรื่องของสติปัญญา ความสามารถในการบริหารจัดการในการรวมใจผู้คนในการวางแผนหลายๆ อย่าง ประกอบขึ้นมาเป็นเครดิตว่า คนนี้ทำอะไรแล้วก็ดี สำเร็จ หรือมีความเที่ยงธรรม เป็นกลาง ที่ทุกคนยอมรับให้เขาช่วยตัดสินให้ แต่ถ้าตัดสินโดยคนที่สังคมไม่ยอมรับมันก็จะไม่จบ นี่คือคุณค่าของเครดิต
 
แฟชั่นเป็นที่มาของเรื่องเครดิตอย่างหนึ่ง
แฟชั่นเป็นที่มาของเรื่องเครดิตอย่างหนึ่ง
 
        มีอันหนึ่งที่น่าสนใจ แฟชั่นก็เป็นที่มาของเรื่องเครดิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน ทำไมต้องแต่งตัวตามแฟชั่น ก็เพื่อจะให้มองดูดี รู้สึกเป็นคนทันสมัย ดูดี ก็เพื่อการสร้างภาพลักษณ์ สร้างเครดิตให้ตัวเองในสายตาคนอื่นนั่นเอง แล้วที่มาของแฟชั่นนั้นมาจากไหน แหล่งแฟชั่นต้นๆ นั้นมาจากทางยุโรป ศูนย์กลางแฟชั่นแรกๆ อยู่ฝรั่งเศส อิตาลี อย่างนี้เป็นต้น แต่ที่มาแพร่หลายสู่มวลชนจริงๆ นั้นมาจากอังกฤษ และมีความสัมพันธ์กับการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วย ส่งผลต่อโลกทั้งหมดอย่างไม่น่าเชื่อ ถามว่ามาอย่างไร เราต้องเข้าใจตรงนี้ว่า คำว่าเมืองกับชนบทนั้น ต่างกันอย่างไร มีคนให้นิยามที่น่าสนใจของตัวแบ่งว่าอันไหนเป็นเมือง อันไหนเป็นชนบทนั้นคือ ชนบทเป็นที่ๆ คนรู้จักกันเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจะมาแต่งอะไรหลอกกันนั้นยาก พ่อแม่ชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน ฐานะเป็นอย่างไร มีที่นาทั้งหมดกี่ไร่ รู้หมดเลย จึงสร้างภาพลักษณ์หลอกกันยาก แต่ในเมืองนั้นเป็นที่ๆ มีผู้คนมากหน้าหลายตาอยู่กันเยอะ จนกระทั่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักกัน ก็มักจะประเมินคนอื่นโดยดูจากการแต่งตัว กิริยาอาการท่าที เป็นผู้ดีมีสกุล มีฐานะแค่ไหน เป็นการประเมินจากภายนอก นี่คือสังคมเมือง ถ้าเราอยากให้คนอื่นมองเราว่าดูดีก็ต้องแต่งตัวดี นี้คือที่มาของแฟชั่น ถามว่าต้นแบบแฟชั่นมาจากไหน แรกๆ ก็มาจากสังคมคนชั้นสูงของพวกพระราชวงศ์ในวังหรือขุนนางชั้นสูงเป็นต้น แต่เชื่อไหมว่าคนแต่ละกลุ่มนั้นหวง Status ตัวเอง ในอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แม้ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จะมีกฎหมายกีดกัน ออกเป็นกฎหมายห้ามสามัญชนไปแต่งกายเลียนแบบคนชั้นสูง ในอังกฤษถึงขนาดออกกฎหมายว่า ถ้าคนที่เป็นชาวไร่ชาวนา เป็นคนทั่วไป จะแต่งตัวอย่างนี้ไม่ได้ กระดุมต้องกี่เม็ด เสื้อพับกี่ชั้น มีกลีบกี่กลีบ อย่างนั้นเลย เพราะกลัวคนระดับล่างจะมาแต่งตัวเลียนแบบตัวเอง ก็ออกกฎหมายมากีดกันแต่เขาก็พยายามหาเหตุผลมารองรับ โดยใช้ชื่อว่า กฎหมายป้องกันความฟุ่มเฟือย ให้เหตุผลของการออกกฎหมายว่า เดี๋ยวคนจะไม่รู้จักประหยัด แต่งตัวแบบนี้ไม่ได้มันฟุ่มเฟือย คนที่จะแต่งตัวแบบนั้นได้ต้องเป็นคนรวยเท่านั้น แต่ลึกๆ แล้วก็คือไม่ต้องการให้คนชนชั้นอื่นมาเทียบเคียงรัศมีกลุ่มตัวเองนั่นเอง แล้วให้เจ้าหน้าที่ไปเฝ้าตามประตูเมืองถือกฎหมายไปเลย เพื่อตรวจดูว่าแต่งตัวผิดระเบียบหรือไม่ แต่กฎหมายนี้ก็ไม่เคยเวิร์คเลย ออกมาอย่างรัดกุมที่สุดแต่ไม่เคยเวิร์ค เพราะคนที่เดินมาแต่ละคนนั้น เจ้าหน้าที่เขาไม่รู้ว่าเป็นคนชั้นไหน เพราะแต่งตัวแบบผู้ดีมาก็ทำให้ไม่รู้ว่าเป็นชาวนาหรือผู้ดี ถ้าไปขอตรวจสอบหรือไปจับเขาแล้วถ้าเขาเป็นผู้ดีจริงๆ เจ้าหน้าที่ก็เดือดร้อน จึงไม่อยากเสี่ยง สุดท้ายมีแต่กฎหมายแต่บังคับใช้ไม่ได้ เพราะแต่ละคนไม่มีตราติดไว้ว่าเขาเป็นชนชั้นไหน ก็เลยไม่รู้ว่าเขาใส่ผิดหรือถูกระเบียบ แต่อย่างไรก็ตามตัวเราย่อมรู้ตัวเองว่าเราเป็นชนชั้นไหนและรู้ว่ามีกฎหมายห้ามอยู่ ถ้าเราไม่ใช่ชนชั้นสูงแล้วเราแอบทำเราก็จะเป็นแบบหลบๆ ซ่อนๆ ที่ต้องทำเพราะว่าถ้าภาพลักษณ์ดูดี ติดต่องานอะไรก็ได้ง่ายราบรื่นหมด แต่ถ้าแต่งตัวแบบชาวนาไปติดต่ออะไรก็สะดุดหมด เหมือนอย่างบ้านเราแค่คนมีนามสกุลดังๆ มาติดต่ออะไรก็ลื่นหมด เดี๋ยวนี้อิทธิพลน้อยลงแล้วแต่ก่อนนั้นสำคัญมากเลย ฉะนั้นจะเห็นว่าในบ้านเรานี้บางคนฐานะไม่ถึงกับดีมากในการติดต่อธุรกิจบางครั้งเช่าก็ยอม ต้องไปเช่ารถเบนซ์เขามา ซื้อนาฬิกาแพงๆ ปากกาแพงๆ ถือกระเป๋าแพงๆ เพื่อให้ดูดี พอดูดีแล้วไปทำอะไรติดต่ออะไรก็ได้รับความสะดวกราบรื่น ก็คิดว่าคุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เขาลงทุนไปที่เขาพยายามทำ นี่คือคุณค่าของเครดิต เพราะฉะนั้นในยุคหนึ่งกษัตริย์อังกฤษมีการเปลี่ยนวงศ์ เพราะตัวกษัตริย์มาจากสก๊อตแลนด์ มาถึงปั๊บสิ่งที่พระองค์ทำคือยกเลิกกฎหมายป้องกันความฟุ่มเฟือย คือให้ทุกคนสามารถแต่งกายแบบเสรีได้ ไม่ต้องกลัวว่าผิดกฎหมายแล้ว พอเป็นอย่างนี้แล้วระบบการผลิตแบบ mass product  เกิดขึ้นแล้ว เพราะตลาดต้องการเปิดกว้างแล้ว ตรงนี้เองเป็นตัวผลักดันให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษ เพราะพอพัฒนากลจักรไอน้ำได้แล้วมันสามารถสร้างเครื่องจักรที่ใช้ไอน้ำเป็นตัวผลักดัน เวลาเย็บผ้าก็ไม่ต้องใช้คนเย็บใช้เครื่องจักรเย็บแทนแบบผ้าโหล เพราะมีลูกค้ารออยู่ ถ้าไม่มีตลาดตรงนี้รออยู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมจะไม่เกิด ในการพัฒนาอุตสาหกรรมในช่วงแรกๆ จะใช้อุตสาหกรรมเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่ม เนื่องจากอังกฤษเป็นประเทศที่เปิดเสรีทางด้านการแต่งกายก่อน ขณะที่ยุโรป ประเทศอื่น เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน ยังจำกัดเรื่องนี้อยู่ จึงเป็นแรงขับเคลื่อนให้อังกฤษเป็นผู้นำทางด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรม แล้วขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกในยุคหนึ่ง ตรงนี้เครดิตและแฟชั่นขับเคลื่อนประเทศๆ หนึ่งมาเป็นผู้นำระดับโลกในยุคหนึ่งได้ทีเดียว จะเห็นได้ว่า เครดิต เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา
 
ถ้าอยากมีเครดิตดีๆ ทางด้านสังคมนั้นเราจะต้องทำอย่างไร?
 
        เรื่องนี้แต่โบราณ คนให้ความสำคัญมากต่อการสร้างเครดิตของตัวเอง ถ้าภาพลักษณ์ดีมันก็มีชัยไปกว่าครึ่ง จะทำอะไรมันได้เปรียบมาก ซึ่งจะเห็นว่า เล่าปี่ นั้นเป็นผู้ที่สร้างภาพลักษณ์ในแง่ที่ว่าเป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีน้ำใจ ไม่ล่วงเกินผู้อื่น ฯลฯ พอภาพลักษณ์ต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นในใจของประชาชนก็ทำให้รวมใจมหาชนได้ ส่วนโจโฉ ภาพลักษณ์คือ ผู้ที่ไม่ยอมให้ใครทรยศ คือยินดีที่จะฆ่าคนผิดเป็นล้านๆ คนดีกว่าให้ใครมาทรยศตัวเองคนเดียว แต่ว่าภาพลักษณ์อีกด้านของโจโฉก็คือเป็นคนที่มีความสามารถ และเป็นคนรักผู้มีฝีมือ ไปรบชนะใคร ถ้าทหารเอกของเขาหรือกุนซือเขาเก่งจริงก็ดึงมาเป็นพวกเขาหมดเลย เอามาใช้งานหมด ทำให้โจโฉมีคนดีมีฝีมือไว้ใช้งานเยอะ แต่ละคนจะมีภาพลักษณ์ตัวเองอยู่ ซึ่งภาพลักษณ์นั้นจะเป็นต้นทุนสำคัญทางสังคมที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของชีวิต ต้นทุนนี้มี 2 แบบ คือ
 
        1. เป็นของจริงที่ตัวเองมีอยู่จริงๆ ความรู้ความสามารถที่มีอยู่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านคุณธรรมในตัว ด้านฐานะการเงิน ตำแหน่งทุกอย่างก็คือความจริงอีกอันหนึ่ง
 
เป็นการสร้างภาพให้คนอื่นประเมินตัวเองสูงกว่าที่เป็น ในปัจจุบันก็เรียกว่าการสร้างภาพลักษณ์
เป็นการสร้างภาพให้คนอื่นประเมินตัวเองสูงกว่าที่เป็น ในปัจจุบันก็เรียกว่าการสร้างภาพลักษณ์
 
        2. เป็นการสร้างภาพ อาจไม่ใช่ของจริงนักแต่เป็นการสร้างภาพ ให้คนอื่นประเมินตัวเองสูงกว่าที่เป็น ในปัจจุบันก็เรียกว่าการสร้างภาพลักษณ์ จะรอให้คนอื่นรู้เองนั้นก็จะไม่ทัน ฉะนั้นในบริษัทหรือองค์กรต่างๆ จึงมีฝ่าย PR ตรงนี้จะสร้างเครดิตภาพลักษณ์ในสายตาสังคม ถ้าภาพลักษณ์ดีคนก็ยอมรับ จะขายสินค้าหรืออะไรก็ง่ายเพราะคนยอมรับ
 
สำหรับบางคนที่เคยทำให้เครดิตของตัวเองเสียไป และต้องการมีเครดิตกลับมาใหม่นั้น เขาจะต้องทำอย่างไร?
 
        ขอให้ตั้งใจจริง ไม่มีคำว่าไม่มีโอกาส มี แต่ต้องอดทน แต่วิบากกรรมที่ตัวเองทำผิดพลาดเอาไว้ ขอยกตัวอย่างที่ชัดเจนที่เคยเล่าให้ฟังไปบ้างแล้วว่า ดูอย่างองคุลิมาล ภาพลักษณ์นั้นเป็นโจรที่ฆ่าคนเป็นพัน ใครๆ ก็กลัว ทั้งเกลียดทั้งกลัวกันทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะเคยฆ่าคนมาเป็นพันๆ คนจริงๆ ถึงคราวกลับใจคิดได้ มาบวชกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งใจปฏิบัติธรรม แต่ภาพลักษณ์โจร ความน่ากลัวยังติดอยู่ในใจอยู่ เวลามาบิณฑบาต คนมาเห็นใกล้ๆ องคุลิมาลก็วิ่งหนีกันหมด นึกว่าปลอมตัวเป็นพระจะมาฆ่า ก็อดข้าวเพราะไม่มีใครใส่บาตรเขาหนีกันหมด พอหลายวันเข้าคนก็เห็นว่าดูสงบเสงี่ยมท่าทางจะเป็นพระจริงๆ มั้ง ไม่กลัวแล้วแต่ว่าความโกรธที่ญาติพี่น้องตัวเองเคยถูกฆ่าตายตามมา เขายังไม่กล้าฆ่าเพราะเกรงใจผ้าเหลือง แต่ก้อนอิฐ หิน ขว้างไป หัวแตกเลือดอาบ ข้าวก็ไม่ได้ยังบาดเจ็บอีกก็มี ก็เป็นจากภาพลักษณ์เก่าๆ จะเรียกว่าวิบากกรรมก็ได้ แต่ท่านก็อดทนทำความดีเรื่อยไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้กำลังใจ จุดเปลี่ยนอยู่ที่ว่าทำดีจนคนเริ่มเห็นมากขึ้น วันหนึ่งมีหญิงท้องแก่ องคุลิมาลจะไปบิณฑบาตก็เปลี่ยนเส้นทางไปเรื่อย หญิงท้องแก่จะหนีแต่ก็หนีไม่ทัน ก็ปวดท้องทันทีทรมานมาก องคุลิมาลก็เลยเข้าไปใกล้ๆ แล้วก็พูดว่า “ข้าพเจ้า ตั้งแต่ออกบวชมา ได้เกิดใหม่ในอริยวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนี้ ไม่เคยเลยแม้กระทั่งความคิดที่ปลงสัตว์จากชีวิต” ด้วยอำนาจสัจจะวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแด่น้องหญิงคนนี้และทารกในครรภ์เถิด สิ้นคำเท่านั้นเองเด็กก็คลอดออกมาแบบสบายๆ ไม่มีอาการทรมานเลย ออกมาแบบราบรื่น จากนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนที่เริ่มมีคนเห็นทำให้คนหันมาศรัทธา เริ่มมีคนมาใส่บาตร ท่านเองก็เริ่มค่อยๆ ดีขึ้น ปฏิบัติจนสุดท้ายเป็นพระอรหันต์ ภาพลักษณ์ผู้ร้ายฆ่าคนเป็นพัน ยังกลายเป็นพระภิกษุที่มีคนเคารพเลื่อมใสศรัทธาได้ กลับตาลปัตรเลย
 
        ฉะนั้นใครที่บอกว่าตัวเองเคยไปทำพลาดมาแล้ว ไม่มีใครเขายอมรับ ลองถามตัวเองว่าถึงขนาดฆ่าคนเป็นพันหรือยัง หนักขนาดองคุลิมาลไหม ถ้ายังแสดงว่าแก้ได้ ขอให้ตั้งใจจริงและอย่าท้อกลางทางเท่านั้นเอง ถ้าเอาจริงก็จะสำเร็จในที่สุด และคำที่พระองคุลิมาลท่านเอ่ยไว้นั้นเอง ปัจจุบันเขาเรียกว่าเป็นคาถาคลอดลูกเลยนะ คือผู้หญิงคนไหนที่คลอดลูกยากถ้าไปสวดอันนี้จะคลอดลูกง่าย อย่างนี้ก็มีนะ
 
การสร้างเครดิตดีๆ ในด้านศีลธรรมนั้นควรปฏิบัติตนอย่างไร?
 
        ทางด้านศีลธรรมนั้น สิ่งที่สำคัญคือ ต้องเป็นของจากเนื้อแท้ คือเราต้องทำความดีจากใจของเราเองขึ้นมาจริงๆ หลักพื้นฐานคือ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส ละชั่วคือไม่ผิดศีล 5 ไม่ยุ่งอบายมุข ดูง่ายๆ ลองถามใจเราดูก็ได้ ถ้าเรามีบ้านก็อยากจะมีคนมาช่วยเราเป็นแม่บ้าน คนสวน คนรถ ช่วยงานในบริษัท ทำงานเป็นลูกน้องของเราอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามีคนหนึ่งมาเป็นคนที่ไม่โหดร้าย ไม่ทำร้ายใคร บี้มดตบยุงยังไม่ทำเลย แล้วก็ไม่ลักขโมย เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่คดโกง ไม่เจ้าชู้ ไว้วางใจได้ เป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้นพูดจริงไม่โกหก คำพูดเชื่อถือได้ ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เล่นการพนัน ไม่ติดยาเสพติดทุกอย่าง ไม่คบคนพาล อย่างนี้เป็นต้น ถามว่าเราอยากจะได้มาช่วยงานไหม ทุกคนอยากได้ ถ้าเจอคนอย่างนี้มีคุณค่าในตัวเองทันทีเลย แค่ละชั่วได้ข้อเดียว เครดิตในตัวก็เพิ่มขึ้นมากเลย จะขอลากลับไปบ้านเจ้านายก็เอาใจกลัวไปแล้วไม่กลับมา ยิ่งถ้าทำดีด้วยแถมเข้าไปอีก คุณค่ายิ่งเพิ่มขึ้น ยิ่งเป็นคนรักการทำใจให้ผ่องใส เป็นคนอารมณ์ดี แจ่มใส ร่างเริง สวดมนต์ นั่งสมาธิ เป็นคนมีศีลธรรม คุณค่าจะเพิ่มเรื่อยๆ สามารถรองรับงานทุกอย่างในบ้านได้เป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศในบ้านดีไปด้วย คุณค่ายิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก และจะเป็นที่ยอมรับของทุกๆ คน


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
การโคลนนิ่งเป็นวิธีการทำให้มนุษย์เป็นอมตะได้หรือไม่การโคลนนิ่งเป็นวิธีการทำให้มนุษย์เป็นอมตะได้หรือไม่

อาชีพ 5 อย่างที่ไม่ควรทำ พระพุทธองค์กล่าวว่าเป็นอาชีพที่มีโทษอาชีพ 5 อย่างที่ไม่ควรทำ พระพุทธองค์กล่าวว่าเป็นอาชีพที่มีโทษ

โกหกแบบไหนถึงจะไม่ผิดโกหกแบบไหนถึงจะไม่ผิด



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ข้อคิดรอบตัว