ออสเตรเลียเร่งขยายการลงทุนในประเทศไทย ล่าสุด ตั้งไทยเป็นฐานของศูนย์ทดสอบทำ
"เด็กหลอดแก้ว" เพื่อช่วยผู้ที่มีบุตรยาก และการทำ "พีดีจี"
เพื่อป้องกันเด็กไม่ให้ได้รับโรคธาลัสซีเมีย
พร้อมส่งเสริมกิจการผลิตอุปกรณ์แพทย์
นางหิรัญญา สุจินัย รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะทำงานพิจารณาโครงการได้เห็นชอบให้การส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ในนามบริษัท โอโอโกเนีย จำกัด ของออสเตรเลีย เงินลงทุน 65 ล้านบาท ซึ่งจะให้บริการทดสอบสำหรับการทำเด็กหลอดแก้ว เพื่อช่วยให้ผู้ที่มีบุตรยากสามารถมีบุตรได้โดยการทำเด็กหลอดแก้ว และให้บริการทำพีดีจี (Preimplantation genetic diagnosis : PDG) ซึ่งเป็นขบวนการตรวจวิเคราะห์เซลล์ตัวอ่อน เพื่อช่วยคู่สมรสที่มีโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรมสามารถมีบุตรได้โดยไม่มีโรคดังกล่าว เช่น โรคธาลัสซีเมีย
ศูนย์ทดสอบทำเด็กหลอดแก้วแห่งแรกนี้จะจัดตั้งขึ้นในกรุงเทพฯ ก่อนที่จะขยายบริการไปยังทุกส่วนภูมิภาคของประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งมีแผนที่จะขยายการให้บริการแก่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลก โดยมีศูนย์ทดสอบที่กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง
"การมีศูนย์ทดสอบเด็กหลอดแก้วในประเทศไทย จะช่วยให้การทำเด็กหลอดแก้วสามารถดำเนินการในประเทศไทยได้ทุกขั้นตอน ไม่ต้องส่งไปทดสอบในต่างประเทศ ช่วยลดทั้งระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำเด็กหลอดแก้ว และยังช่วยลดอัตราการป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมลงด้วย ทำให้คนไทยในรุ่นต่อๆ ไปมีโรคติดต่อทางพันธุกรรมน้อยลง รวมทั้งยังช่วยยกระดับวงการแพทย์ของไทยให้มีบริการที่ทันสมัย ครบวงจร" รองเลขาธิการบีโอไอ กล่าว
นางหิรัญญา สุจินัย รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะทำงานพิจารณาโครงการได้เห็นชอบให้การส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ในนามบริษัท โอโอโกเนีย จำกัด ของออสเตรเลีย เงินลงทุน 65 ล้านบาท ซึ่งจะให้บริการทดสอบสำหรับการทำเด็กหลอดแก้ว เพื่อช่วยให้ผู้ที่มีบุตรยากสามารถมีบุตรได้โดยการทำเด็กหลอดแก้ว และให้บริการทำพีดีจี (Preimplantation genetic diagnosis : PDG) ซึ่งเป็นขบวนการตรวจวิเคราะห์เซลล์ตัวอ่อน เพื่อช่วยคู่สมรสที่มีโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรมสามารถมีบุตรได้โดยไม่มีโรคดังกล่าว เช่น โรคธาลัสซีเมีย
ศูนย์ทดสอบทำเด็กหลอดแก้วแห่งแรกนี้จะจัดตั้งขึ้นในกรุงเทพฯ ก่อนที่จะขยายบริการไปยังทุกส่วนภูมิภาคของประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งมีแผนที่จะขยายการให้บริการแก่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลก โดยมีศูนย์ทดสอบที่กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง
"การมีศูนย์ทดสอบเด็กหลอดแก้วในประเทศไทย จะช่วยให้การทำเด็กหลอดแก้วสามารถดำเนินการในประเทศไทยได้ทุกขั้นตอน ไม่ต้องส่งไปทดสอบในต่างประเทศ ช่วยลดทั้งระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำเด็กหลอดแก้ว และยังช่วยลดอัตราการป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมลงด้วย ทำให้คนไทยในรุ่นต่อๆ ไปมีโรคติดต่อทางพันธุกรรมน้อยลง รวมทั้งยังช่วยยกระดับวงการแพทย์ของไทยให้มีบริการที่ทันสมัย ครบวงจร" รองเลขาธิการบีโอไอ กล่าว