เมณฑกเศรษฐีผู้ใจบุญ (๒)


[ 20 มี.ค. 2557 ] - [ 18308 ] LINE it!

เมณฑกเศรษฐีผู้ใจบุญ (๒)

     การที่โลกของเราดำรงอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เพราะการให้ คือยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ยิ่งให้คุณธรรมจะยิ่งเพิ่มพูน การให้เป็นการสร้างความดีที่ง่ายที่สุด และส่งผลดีให้กับชีวิตอย่างมากมายมหาศาล จะทำให้เป็นผู้มีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ ประสบแต่ความสุขความสำเร็จตลอดไป การให้ที่จะให้ได้ผลเต็มที่นั้น  ผู้ให้ต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้เสียก่อน ต้องขจัดความตระหนี่ออกจากใจ แล้วให้ด้วยความปลื้มปีติยินดี มีใจเลื่อมใส มีความบริสุทธิ์ใจ ทั้งเวลาก่อนจะให้ ขณะให้ และหลังจากให้ก็หมั่นตามระลึกนึกถึงบุญ บุญนั้นจะไปดึงดูดมหาสมบัติ และชำระใจให้ผ่องใส ใจที่ผ่องใสเท่านั้นเป็นใจที่เหมาะสมแก่การเจริญสมาธิภาวนา ทำให้เราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน และความสุขที่แท้จริงได้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปฐมทานสูตร ว่า

“อทนฺตทมนํ ทานํ         อทานํ ทนฺตทูสกํ

การให้ทาน เป็นเครื่องฝึกจิตที่ยังไม่ได้ฝึก
การไม่ให้ทาน เป็นเครื่องประทุษร้ายจิตที่ฝึกแล้ว”

     ผู้ที่รักในการฝึกฝนอบรมตนเองอย่างแท้จริง จะต้องมีการเริ่มต้นที่การฝึกจิตกันก่อน เพราะการฝึกจิตเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และสามารถนำความสุขมาให้ โดยเฉพาะความสุขที่เกิดจากการได้บรรลุมรรคผลในขั้นต่างๆ การฝึกจิตให้มีคุณภาพสามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น การนั่งสมาธิเจริญภาวนา การรักษาศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ และการให้ทานซึ่งถือว่าเป็นการฝึกจิตอีกวิธีหนึ่ง เป็นก้าวแรกของการพัฒนาจิตอย่างแท้จริง เป็นการฝึกฝนใจให้ปลอดจากความโลภนั่นเอง

     ตามปกติแล้ว มนุษย์จะมีความโลภ ความอยากได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้น เมื่อเริ่มฝึกจิตด้วยการให้ ใจจะขยายออกไป เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อความตระหนี่หลุดออกจากใจได้แล้ว ความเบาสบายก็เข้ามาแทนที่ ความรู้สึกว่า “พอ” จะบังเกิดขึ้น เมื่อใจรู้จักคำว่าพอก็เกิดก่อความสุข ผู้ที่ไม่มีความโลภในจิตคือ ผู้ที่มีความสุขอย่างแท้จริง ดังนั้น ผู้ที่อยากมีความสุข ต้องเริ่มต้นที่การให้เป็นอันดับแรก

     เมื่อคราวที่แล้วหลวงพ่อได้เล่าเรื่องเมณฑกเศรษฐีค้างไว้ว่า ท่านได้สร้างมหาทานบารมีในยุคสมัยของพระวิปัสสีพุทธเจ้า ด้วยการสร้างศาลารายที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล แล้วยังได้ถวายสังฆทานแด่ภิกษุสงฆ์จำนวน ๖ ล้าน ๘ แสนรูปติดต่อกันถึง ๔ เดือน บุญนั้นได้ส่งผลให้ท่านเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นต่างๆ เป็นเวลายาวนาน เมื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้เป็นมหาเศรษฐีมาโดยตลอด

     * พอมาในภัทรกัปนี้ บุญยังส่งผลต่อให้ท่านเกิดในกรุงพาราณสี เป็นบุตรของมหาเศรษฐีผู้มีโภคทรัพย์สมบัติมากอีกเหมือนเดิม พอเติบโตขึ้นก็ได้รับสืบทอดตำแหน่งเศรษฐีประจำเมืองต่อจากบิดามีนามว่า พาราณสีเศรษฐี  วันหนึ่ง ท่านเศรษฐีไปเข้าเฝ้าพระราชาและได้พบกับท่านปุโรหิต จึงกล่าวสนทนาตามประสาคนรู้จักกัน จากนั้นได้ถามถึงเหตุการณ์ในอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น

     ปุโรหิตซึ่งเป็นผู้ชำนาญในการดูฤกษ์ยาม หลังคำนวณดูดวงแล้วกล่าวว่า จากนี้ไป ๓ ปี  ฉาตกภัย คือภัยที่เกิดจากความแห้งแล้งจะเกิดขึ้น ฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกษตรกรจะไม่สามารถทำไร่ไถนา หรือทำสวนได้เหมือนเดิม ชาวบ้านจะได้รับความเดือดร้อนกันไปทั่ว พวกสัตว์เลี้ยงจะล้มตายเพราะขาดน้ำและอาหาร ขอให้ท่านเศรษฐีเตรียมตัวรับภัยแล้งครั้งใหญ่นี้เถิด ถ้าจะโยกย้ายครอบครัวก็ให้ย้ายกันแต่เนิ่นๆ

     เศรษฐีฟังคำทำนายแล้ว ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจอะไร อีกทั้งไม่คิดจะโยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น เพราะท่านมีข้าทาสบริวารมาก การโยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่นเป็นเรื่องที่ลำบากมาก แต่เพื่อความไม่ประมาท ท่านเศรษฐีได้สั่งให้ข้าทาสบริวารทำนาปลูกข้าวเพื่อกักตุนข้าวเปลือกไว้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังซื้อข้าวเปลือกบรรจุจนเต็มฉางทั้ง ๑,๒๕๐ ฉาง ครั้นเมื่อฉางไม่พอที่จะใส่ข้าวเปลือก ก็ให้บรรจุในภาชนะต่างๆ ด้วย ตั้งแต่ ตุ่ม ไห หม้อ เป็นต้นจนเต็ม แล้วขุดหลุมฝังในดินอีกเป็นจำนวนมาก และยังให้ขยำข้าวเปลือกที่เหลือกับดินเหนียวแล้วฉาบทาฝาผนังไว้

     สมัยต่อมา คำทำนายของปุโรหิตก็กลายเป็นจริง เมื่อภัยคือ ความอดอยากบังเกิดขึ้น และเนื่องจากเศรษฐีมีการเตรียมตัวรับภัยไว้เป็นอย่างดี ในช่วงแรกๆ จึงไม่ลำบากอะไร แต่เมื่อฉาตกภัยได้ขยายเวลาออกไปเป็นเวลานานขึ้น ก็จำต้องบริโภคข้าวเปลือกที่เก็บไว้ เมื่อข้าวเปลือกที่เก็บไว้ในฉาง และในภาชนะต่างๆ หมด จึงเรียกข้าทาสบริวารทั้งหมดให้มาประชุมพร้อมกัน เมื่อข้าทาสบริวารมาพร้อมแล้วจึงกล่าวว่า “พวกท่านปรารถนาจะไปหลบภัยอันร้ายกาจนี้ที่ภูเขาหรือที่ไหน ก็ให้ไปได้ ใครจะเข้าป่าหาผลหมากรากไม้กินเป็นอาหาร หรืออพยพไปอยู่ที่เมืองอื่น ก็เชิญไปตามความสมัครใจ เมื่อถึงเวลาข้าวปลาอาหารหาได้ง่ายแล้ว ใครอยากจะกลับมาอยู่กับเราอีก เราก็ยินดีต้อนรับ แต่ถ้าไปแล้วไม่อยากกลับมา จะตั้งรกรากที่นั่นเป็นการถาวร ก็แล้วแต่ความสะดวก เราขอกล่าวคำอำลาพวกท่าน ณ ที่นี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงเดินทางโดยสวัสดิภาพเถิด”

     พวกข้าทาสบริวารฟังแล้ว ก็ซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้านาย แม้จะเคารพเทิดทูนเจ้านายไม่อยากจากไป แต่เพื่อความอยู่รอดจึงต้องหอบหิ้วสัมภาระเดินทางไปอยู่ที่อื่นกันหมด คงเหลือแต่ทาสคนรับใช้ใกล้ชิดเพียงคนเดียว ที่รักเจ้านายยิ่งกว่าความตาย ทาสคนนี้ชื่อ ปุณณะ และที่เหลืออยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับท่านเศรษฐีอีก ๓ ท่าน คือ ภรรยาของเศรษฐี ลูกชาย และลูกสะใภ้  

     เมื่อความแห้งแล้งระบาดไปทุกหย่อมหญ้า พืชพันธุ์ธัญญาหารทุกอย่างล้มตายจนหมด  เศรษฐีจึงให้เอาข้าวเปลือกที่ฝังไว้ในหลุมมาหุงต้มกิน พอข้าวเปลือกในหลุมหมด ก็ให้พังดินที่เอาข้าวฉาบไว้ตามฝาผนังมาแช่น้ำ แบ่งกันรับประทาน พอยังอัตภาพให้เป็นไป ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีวี่แววว่าฝนฟ้าจะตกลงมา

     ฝ่ายภรรยาของเศรษฐี เมื่อถูกความหิวครอบงำหนักเข้า ก็ไปเที่ยวเก็บเมล็ดข้าวเปลือก และข้าวสารที่ตัวเองทำตกหล่นไว้ตามที่ต่างๆ รวบรวมข้าวสาร ได้ประมาณทะนานหนึ่ง แล้วนำไปฝังไว้ใต้ดิน ข้าวมื้อนี้เป็นมื้อสุดท้าย เมื่อท่านเศรษฐีถามว่า “นางผู้เจริญ ฉันหิวเหลือเกิน มีข้าวเหลืออยู่บ้างไหม” ภรรยาตอบว่า “ยังพอมีข้าวสารอีกทะนานหนึ่ง ตอนนี้ฉันฝังไว้ใต้ดิน” เศรษฐีจึงบอกให้นางไปขุดมาหุงต้มกิน

     ภรรยาเศรษฐีหุงข้าวสวยเสร็จแล้ว ก็แบ่งออกเป็น ๕ ส่วน คดข้าวสวยส่วนหนึ่งวางไว้ข้างหน้าของเศรษฐี อีก ๔ ส่วนก็เป็นของลูกชาย ลูกสะใภ้ ทาสคนสนิท และของตัวเอง ทุกคนรู้ว่านี่เป็นอาหารมื้อสุดท้าย จากนั้นก็ต้องอดอยากหิวตายอย่างแน่นอน จึงไม่เร่งรีบลงมือรับประทาน ในขณะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งประทับอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ตั้งใจจะออกไปบิณฑบาตเพื่อโปรดสัตว์ ท่านรู้ด้วยญาณทัสสนะว่า ฉาตกภัยเกิดขึ้นทั่วชมพูทวีป จะหาคนตักบาตรพระก็ยากเหลือเกิน ถ้าจะมีก็เห็นแต่ครอบครัวของท่านเศรษฐี ซึ่งมีเพียงอาหารมื้อสุดท้ายเท่านั้น ท่านตรวจดูต่อไปอีก เห็นคนทั้ง ๕ ที่กำลังถูกความหิวครอบงำ เข้ามาในข่ายพระญาณ พอตรวจดูให้แน่ชัดก็ทราบว่า ผู้มีบุญทั้ง ๕ ท่านนี้ เป็นผู้มีศรัทธา รักบุญยิ่งกว่าชีวิต รู้จักวิธีการเตรียมเสบียงบุญเพื่อเดินทางไกลข้ามชาติให้กับตนเอง จึงถือบาตรเหาะไปยืนอยู่ที่ประตูเรือนของท่านเศรษฐี

     ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ตัวท่านเศรษฐีจะกล้าถวายอาหารมื้อสุดท้ายที่มีอยู่นั้นหรือไม่ หรือจะให้พระปัจเจกพุทธเจ้าอดอาหารตาย ก็คงต้องไว้ในโอกาสต่อไป ขอให้ทุกท่านหมั่นสั่งสมบุญไว้ให้มากๆ จะได้มีทรัพย์สมบัติที่บริบูรณ์ และหมั่นอธิษฐานจิตตอกยํ้าว่า ขออย่าให้เราได้พบกับความอดอยากยากจนไปทุกภพทุกชาติ และให้หมั่นนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมกันทุกๆ วัน ฝึกทำใจหยุดนิ่งเรื่อยไปจนกว่าจะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในกันทุกคน

 

 

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๔๓ หน้า ๔๙
 

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เมณฑกเศรษฐีผู้ใจบุญ (๓)เมณฑกเศรษฐีผู้ใจบุญ (๓)

เมณฑกเศรษฐีผู้ใจบุญ (๔)เมณฑกเศรษฐีผู้ใจบุญ (๔)

เมณฑกเศรษฐีผู้ใจบุญ (๕)เมณฑกเศรษฐีผู้ใจบุญ (๕)



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน