ภาษาดอกไม้


[ 15 มิ.ย. 2562 ] - [ 18265 ] LINE it!

ภาษาดอกไม้
  ไม่มีอะไรที่จะสร้างและทำลายมิตรได้อย่างมีอานุภาพเท่าคำพูด แล้วจะทำอย่างไรถึงจะพูดภาษาดอกไม้ให้คนฟังมีพลัง
 
เรื่อง : พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)
จากรายการทันโลกทันธรรม ออกอากาศทางช่อง GBN
 
 
คำพูด มีผลอย่างไรกับชีวิตบ้าง?
          มนุษย์จะสื่อสารกันโดยใช้คำพูดเป็นหลัก ในแต่ละวันต้องพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัว พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน เพราะฉะนั้นการสื่อสารด้วยวิธีพูดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าใครสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้ชีวิตมีความราบรื่น มีความน่าสนใจกว่าคนที่สื่อสารไม่ได้ 
 
บางคนอยากจะพูดดี แต่ไม่รู้พูดดีเป็นอย่างไร?

          การพูดดี เริ่มต้นตั้งแต่ภาษาที่พูดควรเป็นภาษาที่สุภาพ ถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน ไม่ตะโกน ตะคอก ประชดประชัน หรือกระแหนะกระแหน คือต้องสื่อถึงความปรารถนาดีให้กับผู้ฟัง ในขณะเดียวกันสิ่งที่พูด ควรเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้ว่าเรื่องโกหกจะก่อให้เกิดความสบายใจกับอีกฝ่ายหนึ่ง แต่เมื่อมาพบทีหลังว่าไม่ใช่เรื่องจริงอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ เพราะฉะนั้นเรื่องความจริงนั้นสำคัญมากในการสื่อสารให้กับผู้ฟัง 

 
          นอกจากนั้นการพูดที่ถูกต้องนอกจากจะเป็นการให้เกียรติและเคารพผู้ฟังแล้ว ยังเป็นการให้เกียรติและเคารพตัวเองด้วย ถ้าเราพูดสิ่งที่ดีแล้ว จะคำนึงถึงเกียรติของเราก่อนที่จะพูดอะไร จะตระหนักถึงคำพูดก่อนคิดก่อนว่าควรจะพูดออกไปหรือไม่  หากไม่ให้เกียรติตัวเองแล้วนึกจะพูดอะไรก็พูด เราไม่สนใจว่าจะกระทบคนอื่นหรือไม่ 
 
จะสนทนากันอย่างไรให้คำพูดของเราเป็นพลังบวก?
 

          1.ต้องคิดดีก่อน เพราะการจะพูดอะไร ถ้ามีความคิดที่ดีแล้ว มีความคิดสร้างสรรค์จับแง่คิดดีๆ ในชีวิตได้ มีมุมมองดีๆ ชีวิตนี้มีความงดงามอยู่ ก็จะสามารถทำให้แยกแยะสิ่งที่ดีออกมาได้ จะมีทัศนคติที่ดีมีท่าทางที่ดีต่อสิ่งต่างๆรอบตัว เห็นมุมมองดีๆ ต่างๆคือจับดีนั่นเอง เราก็จะสามารถสื่อสารแต่สิ่งที่ดีออกมาได้ แต่บางคนชอบจับผิด ไปจับเรื่อง ที่ไม่ดีของคนโน้นคนนี้ คำพูดที่ออกมาก็จะออกมาแต่สิ่งที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นเรื่องของความคิดของแต่ละคนสำคัญมาก ต้องฝึกคิดบวกให้บ่อยๆ คำพูดถึงจะได้ออกมาในเชิงบวก

 
          2. ก่อนที่จะรู้เขา ต้องรู้เราก่อน รู้เราหมายถึงต้องรู้จักฐานะของเราว่าเรากำลังสนทนากับใครอยู่ แล้วควรจะวางตัวอย่างไรให้เหมาะสม เช่น กำลังคุยกับคุณพ่อคุณแม่ ต้องใช้ภาษาระดับหนึ่ง มีบทบาทระดับหนึ่งว่าจะคุยกับท่านเรื่องอะไรบ้าง ไม่ใช่ไปแนะนำท่าน หรือไปสั่งสอนท่านให้ทำโน่นทำนี่ ควรจะรับฟังเป็นส่วนใหญ่ หรือหาสิ่งดีๆมาเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟังให้ท่านรู้สึกสบายใจ แต่ถ้าเราคุยกับลูกเราก็อาจจะคุยอีกระดับหนึ่ง เพราะเรามีบทบาทฐานะอีกระดับหนึ่งต่อลูก อาจจะแนะนำการสั่งสอนให้ลูก ซึ่งภาษาที่ใช้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย

 
          3.ต้องรู้เขา รู้ว่าผู้ฟังอยากฟังเรื่องอะไรสนใจในสิ่งที่เราคุยด้วยหรือไม่ ควรจะฟังฟิตแบคเขาบ้างว่า เขามีความสนใจขนาดไหน นอกจากนั้นต้องสนใจอารมณ์ของผู้ฟังด้วยว่าที่เราพูดไปเขามีกำลังใจขึ้นมาหรือไม่จากสิ่งที่เราพูด หรือรู้สึกหดหู่ในสิ่งที่เราพูด เราจะต้องปรับคำพูดให้เหมาะสม คือรู้เขาคอยสังเกตอารมณ์ คอยสังเกตอาการตอบสนองของผู้ฟังว่ามีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเราพูดสิ่งต่างๆออกไป ที่สำคัญคือพยายามหลีกเลี่ยง Sensitive issues ในสิ่งที่พูด ซึ่งแต่ละคนก็ Sensitive แต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเมืองกับศาสนา
 
 
          4.ต้องรู้จักกาลเทศะ มาจากคำว่า กาลคือเวลา ส่วน เทศะคือสถานการณ์ เช่น มีหลายคนพูดกันในบทสนทนา แล้วเขาถามคำถามมา หากเราคนเดียวตอบไป 20 นาที คนอื่นไม่มีสิทธิ์ตอบ ซึ่งเป็นการไม่รู้จักกาละ เพราะฉะนั้นควรระมัดระวังเรื่องเวลาให้ เหมาะสมว่า ควรพูดสั้นพูดยาวอย่างไร ส่วนเทศะเป็นเรื่องของสถานการณ์ว่าควรพูดเรื่องนี้ในสถานการณ์แบบไหน สถานการณ์ใดไม่เหมาะสมก็ไม่ควรพูด
 

          5.ควรเลือกใช้คำที่ทรงพลัง คำที่ทรงพลังในที่นี้หมายถึง คำที่สามารถสร้างแรงจูงใจคนได้สามารถทำให้เขาห็นด้วยกับเรา และคำนั้นมีลักษณะโดดเด่นน่าตื่นเต้น เช่น จะชวนเพื่อนไปทานอาหารร้านเปิดใหม่ เราไปมาแล้วรู้สึกว่าอร่อย จึงอยากชวนเพื่อน เมื่อเพื่อนถามว่าอร่อยไหม หากบอกอร่อยดีนะ เพื่อนจะรู้สึกว่าไม่ได้อยากไปเท่าไหร่นัก แต่ถ้าบอกว่าโห..แซ่บมาก เนื้อนุ่มละลายในปากเลย พยายามอธิบายสรรพคุณ เลือกสรรคำมาใช้ เพื่อนจะรู้สึกอยากไป

 
          6.ควรพูดอย่างจริงใจ แต่ไม่ควรใช้คำที่เป็นคำขวานผ่าซาก เราจริงใจกับเพื่อนอยากให้ปรับปรุงบางอย่าง ก็ต้องเลือกใช้คำพอสมควร เป็นคำพูดที่จริงใจ แต่เพื่อนอาจจะรู้สึกหมดกำลังใจในคำพูดของเรา แต่หากปรับคำพูดเป็นการให้กำลังใจในสิ่งที่ทำมาดีระดับหนึ่งแล้ว แต่ถ้าปรับอีกนิดนึงจะได้อะไรที่เพอร์เฟค เขาก็จะรู้สึกมีกำลังใจในการที่จะไปปรับปรุง

ทันธรรม...โดยพระครูปลัดสุวัฒน์โพธิคุณ
 

          ภาษาดอกไม้คำพูดเปลี่ยนโลก เปลี่ยนชีวิตของคนๆหนึ่งได้ เปลี่ยนชีวิตของคนหลายๆคนได้ เปลี่ยนอนาคตของชาติได้ แล้วก็เปลี่ยนโลกทั้งใบได้ อย่างไม่น่าเชื่อ พบว่าคำพูดที่ติดปากอาจารย์อเมริกาทุกคนคือคำว่า Good เวลานักเรียนตอบหรือทำอะไร อาจารย์จะบอกเลย Good ถ้าถูก ถ้าไม่ถูกก็จะแก้ให้ หรือหากไม่ถูกอาจารย์จะข้ามไปก็เป็นที่รู้กันว่าอันนั้นไม่ถูก คือเลี่ยงการไปตำหนิหรือการบอกให้นักเรียนมีความรู้สึกว่าตัวเองผิดตัวเองแย่ แต่เลือกที่จะสนับสนุน เวลาตอบถูก บางที่ใช้ Great, Excellent, wonderful คำเหล่านี้ติดปากเสมอเป็นปกติ หรือว่าเวลานักเรียนถามคำถาม ถ้าเป็นคำถามที่ดีอาจารย์จะพูดว่า That is a good question ผู้ถามจะมีกำลังใจ ซึ่งเด็กฝรั่งกล้าคิดแล้วกล้าถาม เพราะครูสนับสนุนเชียร์ ส่งเสริม เด็กก็มีกำลังใจ จริงๆไม่ใช่เพราะเด็ก แต่ผู้ที่ไปเรียนเป็นผู้ใหญ่ก็มีระดับเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยก็มี เป็นหมอก็มี เป็นผู้จัดการบริษัท เขาก็ทำอย่างนี้หมด เพราะคนเราไม่ว่าจะวัยไหนก็แล้วแต่ มีผลคล้ายๆ กัน พอมีคนเชียร์มีคนหนุนให้กำลังใจ ความรู้สึกมันดีแล้วมีกำลังใจที่จะศึกษาต่อไป เขาวิจัยจนกระทั่งสรุปอย่างไร้ข้อกังขากันแล้วว่าการ เชียร์การชมเป็นเครื่องจูงใจดีกว่าการดุ และการว่า 

 
          ระบบของเขาไปถึงจุดที่ ไม่ใช่คุณครูหรือมืออาชีพท่านอื่นๆจะเลือกใช้คำชม คำที่สร้างสรรค์ คำที่เสริมกำลังใจเหล่านี้ เพื่อมุ่งหวังต่อนักเรียนหรือคู่สนทนาเท่านั้น แต่ไปถึงจุดที่เป็นสำนึกของสังคมร่วมกันจนกระทั่งใครที่สามารถพูดอย่างนี้ได้ ผู้พูดเองไม่ว่าจะเป็นคุณครูก็ตาม หรือว่าเป็นผู้บริหารก็ตาม จะมีความรู้สึกภูมิใจตัวเองรู้สึกว่า เรามืออาชีพกำลังชมนักเรียนอยู่ เรากำลังชมคู่สนทนาอยู่ ให้กำลังใจเขาอยู่ ใครก็ตามที่สามารถพูดเสริมกำลังใจผู้อื่นได้ พูดแล้วให้ภูมิใจตัวเองว่าเรามืออาชีพ เราระดับ Professional  ดีกว่าคนที่ยังเชียร์ยังชมคนอื่นเขาไม่ค่อยจะเป็น 

 
          พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จไปโปรดรัชชุมาลาเป็นนางทาสีคือ เป็นทาสในบ้านของพราหมณ์คนหนึ่ง เมื่อลูกของพราหมณ์แต่งงานมีลูกสะใภ้มาอยู่ด้วยก็รังแกรัชชุมาลาทุกอย่าง จิกผมมาเขี่ยมาตีมาดุมาว่า จนรัชชชุมาลาน้อยใจเพราะมีผม จึงโกนผมทิ้งจะได้ไม่มีอะไรให้จิก พอลูกสะใภ้ของพราหมณ์เห็นรัชชุมาลาโกนผม แทนที่จะสงสารกลับบอกว่าโกนผมคิดว่าจะหนีพ้นหรือ ไม่มีทาง แล้วเอาเชือกมามัดที่หน้าผากคล้ายๆนักมวยแล้วขันชะเนาะให้แน่นหนีบเปียข้างหลัง ถึงคราวจะลงโทษรัชชุมาลา ก็จะจับหางเปียลากเข้ามาตบมาตีมาดุมาว่า รัชชุมาลา มีน้ำตานองหน้าทั้งวัน 

 
          จนกระทั่งวันหนึ่งคิดว่าอยู่ต่อไปก็มีแต่ทุกข์ คิดจะฆ่าตัวตาย แอบออกจากบ้านเงียบๆ เอาเชือกไปด้วยแต่เช้า ทำทีว่าจะไปตักน้ำ สมัยก่อนจะเอาน้ำมาใช้ก็ต้องใช้ไหทูนบนศีรษะแล้วก็ไปเอาน้ำในแม่น้ำมา พอคนเผลอก็เลี่ยงออกข้างทาง เข้าป่าไปเอาเชือกผูกที่คอ ผูกที่คาคบต้นไม้เตรียมจะโดดแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์รู้เสด็จมารอแล้วได้ประทับนั่งใต้ต้นไม้อีกต้นหนึ่งเยื้องไป รัชชุมาลา ตั้งท่าจะโดด พระพุทธเจ้าพระองค์เปล่งสุรเสียงไปว่า ดูก่อนรัชชุมาลาน้องหญิง พอได้ฟังเสียงที่นุ่มนวลของพระพุทธเจ้า รัชชุมาลาหันไปเห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่มีฉัพพรรณรังสี เป็นรัศมี 6 สี เปล่งออกมาจากตัวสว่างไสวแล้วเสียงพระองค์ก็ไพเราะเหลือเกิน รัชชุมาลา รู้เลยว่าบุคคลท่านนี้ คงจะต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เขาเลื่องลือกันแน่ๆ พระองค์เรียกชื่อเรา พระองค์เรียกเราว่าน้องหญิงด้วย ปลื้มมาก ลืมเลยที่จะฆ่าตัวตาย ปลดเชือกออกแล้วไต่ลงจากต้นไม้คลานกราบพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธองค์ก็แสดงพระธรรมเทศนาโปรดรัชชุมาลา จนกระทั่งได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคล ไม่คิดจะตายอีกแล้ว 

 
          เมื่อกลับไปถึงบ้าน พราหมณ์ เจ้าของบ้านถามว่า ไปไหนมา รัชชุมาลาก็บอกความจริงทุกอย่าง เพราะพระโสดาบันจะไม่โกหกใคร พราหมณ์ก็แปลกใจว่าทำไมวันนี้หน้าตาผ่องใสเหลือเกิน ปกติเห็นแต่หน้านิ่วคิ้วขมวดหมองเศร้า น้ำตาน้องหน้าทั้งวัน แต่วันนี้ดูแจ่มใสผ่องใสถามว่ารัชชุมาลา รัชชุมาลาก็เล่าให้ฟัง ว่าได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า พราหมณ์ก็อยากจะได้ฟังธรรมอย่างนั้นบ้าง รัชชุมาลาก็อาสาไปอาราธนาพระพุทธเจ้ามา ฉันภัตตาหารเพลที่บ้านของพราหมณ์ แล้วก็โปรดพราหมณ์จนได้บรรลุธรรม พราหมณ์ยกรัชชุมาลาเป็นลูกบุญธรรมเลย แล้วห้ามลูกสะใภ้รังแก ถ้ารังแกจะไล่ออกจากบ้าน 

 
          พระพุทธเจ้าพระองค์เปลี่ยนชีวิตของคนหนึ่ง ที่กำลังคิดจะฆ่าตัวตาย ให้กลายเป็นพระอริยบุคคล พระองค์ใช้คำใช้ภาษาที่ให้เกียรติแล้วยกใจผู้ฟังให้สูงขึ้น คนกำลังน้อยเนื้อต่ำใจจนคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นนางทาสี เป็นนางทาส ถูกเขารังแก แต่พระบรมศาสดามหาบุรุษของโลก ให้เกียรติเรียกชื่อ เรียกว่าน้องหญิง ปลื้มจนใจเปิด พร้อมจะรองรับพระธรรมเทศนา 

          คุณพ่อคุณแม่ คุณครูทั้งหลาย หัวหน้าทั้งหลายจะสอนลูกจะสอนลูกศิษย์หรือสอนลูกน้องก็ตาม อย่าลืมหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เกียรติยกใจให้สูงขึ้นก่อนแล้วทำดีเชียร์ ทำถูกนิดๆ หน่อยๆ ก็เชียร์ชม เขาจะอยากทำให้ดีมากขึ้นๆ ทำถูกมากขึ้นๆ แล้วผลลัพธ์ที่ดีก็จะเกิดขึ้นในที่สุด   

 
          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า วาจาสุภาษิตคำพูดที่ดีเป็นภาษาดอกไม้ มีองค์ประกอบ 5 อย่างคือ 
1.เป็นคำจริงโกหกหลอกลวงไม่พูด
2.ต้องมีประโยชน์ด้วยจริงแต่ไม่มีประโยชน์ก็ไม่พูด
3.ต้องเป็นคำสุภาพคือยกใจผู้ฟังให้สูงขึ้น
4.แล้วก็ต้องพูดด้วยจิตเมตตาไม่ได้พูดด้วยอารมณ์โกรธอารมณ์คั่งแค้นไม่มีด้วยใจเมตตามุ่งหวังสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นมา
5.คือพูดถูกกาลเทศะ
เมื่อครบ 5 ข้อ คำพูดนั้นจะเป็นภาษาดอกไม้ที่ทรงพลังเปลี่ยนชีวิตคนได้


รับชมคลิปวิดีโอภาษาดอกไม้ : ทันโลกทันธรรม
ชมวิดีโอภาษาดอกไม้ : ทันโลกทันธรรม   Download ธรรมะภาษาดอกไม้ : ทันโลกทันธรรม



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เก่งคนให้สมเป็นนายเก่งคนให้สมเป็นนาย

ระบบออโต้ไพล็อตในมนุษย์ระบบออโต้ไพล็อตในมนุษย์

คำถามที่ต้องตอบก่อน 30คำถามที่ต้องตอบก่อน 30



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทันโลกทันธรรม