ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 155


[ 8 มี.ค. 2552 ] - [ 18263 ] LINE it!

ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 155
 
 
    จากตอนที่แล้ว นางนกสาลิกาได้ซักไซ้ไล่เลียงสุวโปดกว่า “ท่านจากบ้านจากเมืองมาถึงนี่ เพราะมีธุระอะไรหรือ” สุวโปดกเห็นว่าโอกาสมาถึงตนแล้ว จึงได้แสร้งตีหน้าเศร้า พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “สาลิกาจ๋า หากว่าเธออยากรู้จริงๆ ฉันก็จะเปิดเผยความในใจของฉันให้เธอฟัง”
 
    แล้วจึงกุเรื่องขึ้นมา เล่าให้นางฟังว่า “ฉันน่ะเคยมีภรรยามาแล้วล่ะ นางเป็นนกสาลิกาที่น่ารักอย่างเธอนี่เเหละ แต่น่าอนาถใจจริง เหยี่ยวร้ายได้พรากชีวิตของนางไปต่อหน้าต่อตาฉัน ฉันได้แต่มองดูภรรยาอยู่ในกรง แต่ก็หมดหนทางใดๆที่จะช่วยเหลือนางได้” สุวโปดกแสร้งแสดงอารมณ์และน้ำเสียง ด้วยความโศกเศร้าอาลัยอย่างลึกซึ้ง
 
    นางนกสาลิกาได้ฟังดังนั้น ก็นึกสงสารสุวโปดกอย่างมาก แต่ก็ฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่สุวโปดกไม่จบเพียงเท่านั้น ยังได้เล่าให้นางฟังต่อว่า “พระราชาทอดพระเนตรเห็นฉันร้องไห้ จึงตรัสถามว่า “เจ้าสุวโปดกเอ๋ย เจ้าน่ะเอาแต่ร้องไห้ทำไมกัน เจ้าจงไปหาคู่ใหม่ที่เหมาะสมแก่เจ้าเถิด ฉันเคยเห็นนางนกสาลิกาตัวหนึ่ง ผู้เพียบพร้อมเหมือนภรรยาของเจ้าไม่มีผิดเลย นางเป็นนกสาลิกาชาววัง เฝ้าห้องบรรทมของพระเจ้าจุลนีแห่งปัญจาลนคร โน่นแน่ะ...
 
    ไปสิ...เจ้าจงไปพบนาง ลองถามดูสิว่า นางจะพอใจกับข้อเสนอของเจ้าหรือไม่ หากนางตกลงปลงใจด้วย เจ้าก็จงกลับมาบอกเรา เราจะได้จัดขบวนหลวงไปทำพิธีสู่ขอนางกับพระเจ้าจุลนี แล้วจะได้รับนางมาอยู่กับเจ้า” พระดำรัสของพระองค์ ทำให้ฉันดีใจจนพูดไม่ออก รีบทูลลาพระองค์ แล้วจึงบินมาที่นี่...
 
    สาลิกาจ๋า ก็ด้วยเหตุที่ฉันกล่าวมานี่แหละ ฉันจึงต้องมาหาเธอถึงนี่ ปรารถนาเหลือเกินที่จะได้เธอเป็นคู่ชีวิต ถ้าเธอไม่สลัดตัดอาลัยรักฉันเสียก่อน เราทั้งสองก็คงได้ครองคู่กันสืบไปนะจ๊ะ”
 
    นางนกสาลิกาได้ฟังดังนั้น ก็สุดแสนจะปลื้มใจ แต่ก็มีความเขินอายตามวิสัยหญิง ที่ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของนาง ดังนั้น นางจึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แกล้งพูดอิดออดไปว่า “ตามธรรมดานกแขกเต้าก็ควรคู่กับนกแขกเต้า นกสาลิกาก็ควรคู่กับนกสาลิกา แต่นกแขกเต้าจะมาอยู่กับนางนกสาลิกา ก็ดูกระไรอยู่ ท่านเป็นนกแขกเต้า ข้าเป็นนกสาลิกา ต่างชาติต่างตระกูลกัน จะร่วมคู่อยู่เคียงกันได้อย่างไร”
 
    สุวโปดกได้ฟังถ้อยคำของนางนกสาลิกาแล้ว ก็คิดว่า “นางมิได้ปฏิเสธข้อเสนอของเรา แถมยังเปิดโอกาสให้แก่เราอีกด้วย ใจจริงนางคงปรารถนาเราแน่ล่ะ แต่ทำเป็นบ่ายเบี่ยงไปอย่างนั้นเอง”
 
    สุวโปดกจึงชักอุปมาว่า “สาลิกาจ๋า อย่าว่าแต่เธอกับฉันเลย แม้แต่ในหมู่มนุษย์ พระราชามหากษัตริย์ก็ยังอยู่ร่วมกับหญิงจัณฑาลได้เลย เรื่องชาติชั้นวรรณะไม่สลักสำคัญอันใดดอกจ้ะ เธอไม่เคยได้ยินหรือว่า รักแท้ย่อมไม่มีพรมแดน สิ่งใดๆก็มิอาจกั้นขวางความรักได้เลย เพราะรักแท้ขึ้นอยู่กับความปรารถนาในกันและกันต่างหากเล่า”

    นางสาลิกาฟังแล้ว ก็เริ่มมีใจโอนอ่อนไปตามคำสุวโปดก แต่ก็ยังไม่กล้ากล่าวอะไรมากมาย เอาแต่ก้มหน้านิ่ง รับฟังสุวโปดกต่อไป
 
    “สาลิกาที่รัก” สุวโปดกเรียกนางเหมือนเช่นคู่รักที่เพรียกหากัน จนนางสาลิกาสัมผัสได้ถึงความสนิทชิดเชื้อระหว่างกันและกัน สุวโปดกสังเกตกิริยาอาการของนางออก จึงไม่รอช้า รุกคืบนางต่อไปว่า “ที่รัก เธอเคยได้ยินเรื่อง พระนางชัมพาวดี ไหมล่ะ”
 
    นางยังไม่ยอมตอบ สุวโปดกจึงเป็นฝ่ายเล่าให้นางฟังต่อไปว่า “พระนางน่ะ เป็นพระอัครมเหสีองค์โปรดของ พระเจ้าวาสุเทพ พระราชบิดาของ พระเจ้าสีวีราช เจ้านายของฉันอย่างไรล่ะ...
 
    ก่อนนั้น พระนางเป็นเพียงหญิงจัณฑาล วันหนึ่งพระเจ้าวาสุเทพเสด็จออกจากพระนคร เพื่อประพาสพระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นนางชัมพาวดีเดินสวนทางมา พระองค์ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ในตัวนางชัมพาวดีตั้งแต่แรกเห็นทีเดียว จึงได้ให้อำมาตย์ไปถามดู ได้ความว่านางชื่อชัมพาวดี เป็นหญิงจัณฑาล ยังไม่มีสามี...
 
    พระองค์มิได้ทรงใส่ใจเลยว่า นางจะเป็นหญิงวรรณะใด แต่เมื่อทรงสดับว่านางยังไม่มีสามี พระองค์ก็ทรงรับนางไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสีในทันที นับแต่นั้นมา พระนางก็เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าวาสุเทพยิ่งนัก และต่อมาเมื่อพระเจ้าวาสุเทพเสด็จสวรรคต พระโอรสของพระนางคือเจ้าชายสีวี ก็ได้ครองครองราชสมบัติแทนพระราชบิดามาจนถึงบัดนี้”
 
    พอเล่าจบ สุวโปดกจึงกลับเข้าเรื่องเดิมว่า “เห็นไหมเล่า ขนาดพระราชากับหญิงจัณฑาล ต่างชั้นต่างวรรณะกันราวฟ้ากับดิน ก็ยังอยู่ร่วมกันได้ นับประสาอะไรกับเราทั้งสอง ซึ่งต่างก็เป็นนกด้วยกัน ทำไมจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ อย่าว่าแต่มนุษย์กับมนุษย์เลย แม้แต่มนุษย์กับกินรี ก็ยังร่วมเรียงเคียงคู่กันได้อย่างมีความสุข” ว่าแล้วสุวโปดกจึงได้นำเรื่องพระฤาษีกับนางกินรี มาเล่าให้นางฟังต่อไปว่า...
 
    “พี่เคยได้ยินมาว่า พราหมณ์คนหนึ่งนามว่า วัจฉะ เห็นโทษในกาม จึงออกบวชเป็นพระฤาษี แล้วสร้างบรรณศาลาอยู่ในป่าหิมพานต์ และในที่นั้นเองมีถ้ำใหญ่อยู่ถ้ำหนึ่งเป็นที่อาศัยของฝูงกินนรจำนวนมาก แต่กินนรเหล่านั้นช่างน่าสงสาร พวกมันโชคร้ายถูกแมงมุมยักษ์ตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่ปากประตู ถ้ำกัดศีรษะแล้วดูดกินเลือดอย่างไม่ปรานี...
 
    ตามธรรมดาแล้ว พวกกินนรมีกำลังน้อยและขลาดนัก จึงไม่อาจต่อสู้หรือป้องกันภัยอะไรได้เลย พวกมันทนเห็นเพื่อนกินนรถูกฆ่าไปทีละตนสองตนไม่ได้ จึงพากันเข้าไปหาพระฤาษีวัจฉะ ขอร้องให้ช่วยกำจัดแมงมุมยักษ์ตัวนั้นเสีย เพื่อพวกมันจะได้อยู่อย่างสงบสุขเสียที...
 
    แต่พระฤาษีกลับไม่ยอมช่วยเหลือ ซ้ำยังขู่ตะเพิดด้วยว่า “พวกเอ็งจงออกไปเดี๋ยวนี้นะ นักบวชอย่างเราย่อมไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น” เมื่อถูกปฏิเสธเช่นนี้ กินนรทั้งหลายต่างก็พากันกลับเข้าถ้ำด้วยความผิดหวังอย่างแรง” สุวโปดกเล่ามาถึงตรงนี้แล้วก็นิ่งเงียบไป รอให้นางสาลิกาเป็นฝ่ายถามตนบ้าง
 
    นางนกสาลิกาอยากจะรู้ว่า สุดท้ายเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร ในเมื่ออดใจไม่ไหว จึงตัดสินใจเอ่ยถามสุวโปดกว่า “อืม...แล้วอย่างไรต่อล่ะ”
 
“ที่รัก เธออยากจะฟังต่อหรือ” สุวโปดกถามอย่างอารมณ์ดี
“กำลังสนุกเลย ไหนท่านเล่าต่อไปสิ” นางสาลิกาตอบด้วยความกระหายใคร่จะฟังต่อ
 
    ส่วนว่าสุวโปดกจะดำเนินเรื่องความรักที่ไร้พรมแดน ระหว่างพระฤาษีกับนางกินรีอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 156ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 156

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 157ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 157

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 158ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 158



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก