แข่งบุญแข่งบารมี
แข่งเรือแข่งพาย พอแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งบารมี แข่งกันไม่ได้
มีภาษิตกล่าวว่า “แข่งเรือแข่งพาย พอแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งบารมี แข่งกันไม่ได้” เป็นความหมาย ให้อ่อนน้อมถ่อมตน มิให้ตีตนเสมอผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เป็นเหตุให้หลายคนเข้าใจผิดว่า ไม่ควรแข่งสร้างบุญสร้างบารมีกับใครๆ ซึ่งอันที่จริง การแข่งกันสร้างความดี หรือแข่งการสร้างบุญ ให้เป็นบุญบันเทิง เป็นประเพณีชาวพุทธมาแต่โบราณ ดังเหตุการณ์การบังเกิดขึ้นของ “อสทิสทาน” ในครั้งพุทธกาล
ครั้งหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ เป็นบริวาร เสด็จกลับจากจาริกมาสู่วัดพระเชตวันพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปวิหาร ทูลนิมนต์พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์มาฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น ทรงตระเตรียมอาคันตุกทานแล้ว ได้ตรัสเรียกชาวพระนครว่า “จงดูทานของเรา”
ชาวพระนครมาเห็นทานของพระราชาแล้ว ก็คิดจะสร้างบุญบ้าง ในวันรุ่งขึ้น ทูลนิมนต์พระศาสดา ตระเตรียมทานแล้ว ส่งข่าวไปกราบทูลแด่พระราชาว่า “ขอพระองค์ผู้เป็นสมมติเทพ จงทอดพระเนตรทานของพวกข้าพระองค์”
พระราชาเสด็จไป ทอดพระเนตรเห็นทานนั้นแล้ว ในวันรุ่งขึ้น ก็ตระเตรียมถวายทานอันยิ่งกว่าของพระราชา ด้วยการแข่งกันสร้างบุญบารมีเช่นนี้ พระราชาและชาวพระนคร ไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งได้
ชาวพระนครตระเตรียมทานเพิ่มขึ้นร้อยเท่าพันเท่า
ต่อมาในวาระที่ ๖ ชาวพระนครตระเตรียมทานเพิ่มขึ้นร้อยเท่าพันเท่า โดยที่ใครๆ ไม่อาจจะพูดได้ว่า “วัตถุทานชื่อนี้ไม่มีในทานของชาวพระนครเหล่านี้” พระราชาทอดพระเนตรทานนั้นแล้ว ทรงดำริว่า “ถ้าเราไม่สามารถทำทานให้ยิ่งกว่าทานของชาวพระนครเหล่านั้น มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ต่อไป” ดังนี้แล้ว ได้บรรทมดำริถึงอุบายอยู่
เมื่อพระนางมัลลิกาเทวี ผู้เป็นพระมเหสีทราบเหตุได้กราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์อย่าทรงปริวิตกไปเลยพระองค์เคยทอดพระเนตร หรือเคยสดับแล้วที่ไหน? ว่ามีพระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินพ่ายแพ้แก่ชาวพระนคร หม่อมฉันจะจัดแจงแทนพระองค์”
แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงรับสั่งให้เขาทำมณฑปสำหรับนั่งภายในเป็นวงเวียน เพื่อภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ด้วยไม้เรียบที่ทำด้วยไม้สาละและไม้ขานางพวกภิกษุที่เหลือจักนั่งภายนอกวงเวียน
ขอจงรับสั่งให้ทำเศวตฉัตร ๕๐๐ คัน ให้ช้างประมาณ ๕๐๐ เชือกผูกเศวตฉัตรเหล่านั้น ยืนกั้นอยู่เบื้องบนแห่งภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป
ขอจงรับสั่งให้ทำเรือด้วยทองคำอันมีสีสุก สัก ๘ ลำ หรือ ๑๐ ลำ เรือเหล่านั้นตั้งอยู่ท่ามกลางมณฑป เจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ ให้นั่งบดของหอม อยู่ในระหว่างภิกษุ ๒ รูปใดๆ เจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ ให้ถือพัดยืนพัดภิกษุ ๒ รูปๆ เจ้าหญิงที่เหลือในนำของหอมที่บดแล้ว มาใส่ในเรือทองคำทั้งหมด บรรดาเจ้าหญิงเหล่านั้น เจ้าหญิงบางพวกให้ถือกำดอกอุบลเขียว เคล้าของหอมที่ใส่ไว้ในเรือทองคำแล้ว ให้ภิกษุได้รับกลิ่นไอของหอม
ชาวพระนครจักพ่ายแพ้ด้วยเหตุเหล่านี้ เพราะชาวพระนครไม่มีเจ้าหญิง เศวตฉัตรก็ไม่มี ช้างก็ไม่มี ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงรับสั่งให้ทำอย่างนี้เถิด
พระราชาทรงชมเชยพระนางมัลลิกา แล้วจึงรับสั่งให้ทำตามที่พระนางกราบทูล แต่เมื่อคัดช้างแล้วได้ ๔๙๙ เชือก ขาดไป ๑ เชือก นอกนั้นเป็นช้างดุร้าย พระนางมัลลิกา จึงแนะนำให้นำลูกช้างดุร้ายเชือกหนึ่ง ไปประจำตำแหน่งของพระองคุลีมาล เมื่อพระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำตามนั้น ลูกช้างดุร้ายนั้นสอดหางเข้าในระหว่างขา หรุบหูทั้งสอง หลับตายืนนิ่งอยู่ มหาชนแลดูด้วยความอัศจรรย์ในอานุภาพของพระเถระ
กัปปิยภัณฑ์(ของที่ควรแก่สมณะ)
พระราชาทรงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยอาหารอันประณีต แล้วถวายบังคมพระศาสดา กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สิ่งใดเป็นกัปปิยภัณฑ์(ของที่ควรแก่สมณะ) หรือเป็นอกัปปิยภัณฑ์(ของที่ไม่ควรให้แก่สมณะ) ในโรงทานนี้ หม่อมฉันจักถวายสิ่งนั้นทั้งหมดแด่พระองค์
ในทานนั้นสิ้นทรัพย์๑๔ โกฏิ ซึ่งพระราชาทรงบริจาคในวันเดียวเท่านั้น วัตถุทานนั้นมีของหาค่ามิได้ ๔ อย่าง คือเศวตฉัตร ๑, บัลลังก์ สำหรับนั่ง ๑, เชิงบาตร ๑, ตั่งสำหรับเช็ดเท้า ๑,
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ทานนี้ ชื่อว่า อสทิสทาน(ทานอันหาที่เปรียบไม่ได้) ใครๆก็สามารถถวายแด่พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ได้ครั้งเดียวเท่านั้น ธรรมดาทานเห็นปานนี้ เป็นของยากที่บุคคลจะถวายอีก”
การแข่งกันสร้างความดีของพระราชา และชาวพระนครนี้ แม้จะเจือด้วยความ “แข่งดี” กันอยู่บ้าง แต่ก็เป็นการแข่งขันกันสร้างความดี ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เข้าหลักวิชาว่า “เอาตัณหาละตัณหา” ซึ่งที่สุดทุกคนก็ Win-Win ต่างได้บุญบารมีกันไปเต็มที่ทุกคน ฉะนั้นเมื่อใครทำคุณงามความดี ก็ให้เกิดเป็นกำลังใจที่จะทำให้ได้บ้าง หรือทำให้ยิ่งกว่านั้น ก็จะเป็นการส่งเสริมผู้มาในภายหลัง ให้เกิดเป็นกำลังใจในการสร้างความดี ดังเช่นที่เราได้จากการศึกษาเรื่อง อสทิสทาน ในสมัยพุทธกาล
แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก
โดยพระมหาเถระ รุ่นปี พ.ศ. 2534 หน้า 41 - 45