น้ำตาแม่...มารดามาเฟีย

กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงค่ะ

 

        ดิฉันชื่อ พยุง ชาติธรรมประพิณ อายุ 61 ปี ขณะนี้ดิฉันมาบวชอุบาสิกาแก้วหนึ่งล้านคน รุ่นที่ 6 อยู่ที่ศูนย์อบรมวัดราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ ดิฉันเป็นโยมแม่ของพระยงยุทธ สุมงฺคโล ที่ท่านเคยเขียนจดหมายมาถึงหลวงพ่อเรื่อง “มาเฟีย...กลับใจ” ก่อนอื่นดิฉันต้องขอกราบแทบเท้า ขอบพระคุณหลวงพ่ออย่างสูงสุดเจ้าค่ะ พูดไปแล้วก็ไม่รู้จะตอบแทนหลวงพ่ออย่างไรดีที่ทำให้อดีตลูกชายมาเฟียของดิฉัน กลับตัวเป็นคนดีได้ถึงขนาดนี้ และที่ดิฉันเขียนจดหมายมาในวันนี้ ไม่ได้อยากจะเอาอดีตชีวิตของลูกชายมาแฉ แต่จะขอมาแบ่งปันประสบการณ์และให้ข้อคิดกับคุณแม่ทั่วโลก เผื่อจะได้เห็นข้อดีของการส่งลูกมาบวชในโครงการที่พิเศษสุดของหลวงพ่อ

 

 

 

        ขอย้อนไปในอดีต นับตั้งแต่มีลูกชายคนนี้ ดิฉันก็ได้กลายเป็นแม่ที่เสียน้ำตามาอย่างโชกโชน เพราะเขาได้ฉายแววการเป็นผู้ทรงอิทธิพลมาตั้งแต่เด็ก คือ พอไม่ได้อะไรดั่งใจก็จะอาละวาดพังบ้าน หนำซ้ำยังตั้งแก๊งอันธพาล ยกพวกตีกันเป็นประจำ จนกระทั่งเพื่อนของเขาไปแทงคู่อริตาย จึงโดนตำรวจรวบตัวเข้าคุกยกแก๊งเป็นเวลาสามปี พอออกมาก็ยังทำตัวแบบเดิมอีก หรือตามศัพท์ของวัยรุ่นที่บอกว่า “เป็นพวกเสยผม ดมกาว ติดยาบ้า” ซึ่งบางช่วงที่ลูกชายทำตัวเป็นอันธพาลมากๆ ดิฉันนี่แหละที่เป็นคนไปแจ้งตำรวจให้มาจับลูกชายเสียเองเลยค่ะ ตรงกับสำนวนที่คิดขึ้นเองว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกต้องให้เข้าคุก” ที่ทำอย่างนี้เพราะห่วงลูกนะคะ เพราะถ้าอยู่นอกคุก อาจจะโดนแทงตายเข้าสักวัน และถ้าเขาตายจริงๆ ดิฉันคงทำใจไม่ได้

 

        แต่พอเขาออกจากคุก ก็ไม่รู้จักเข็ด ซ้ำร้ายกลับมีพฤติกรรมหนักกว่าเก่า ดิฉันก็เลยขู่ว่า “เดี๋ยวแม่จะเรียกตำรวจมาจับอีก” ดิฉันยังพูดไม่ทันจบเลยค่ะ เขาก็สวนกลับทันควันว่า “ให้เอาตำรวจมาทั้งโรงพักเลยนะแม่” หลวงพ่อคะ...พอดิฉันเจอแบบนี้ก็เลยคิดจะเปลี่ยนสำนวนไทยใหม่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกต้องให้บวช” จากนั้นก็พยายามขอร้องให้เขาไปบวช แต่เขาก็ไม่ยอมท่าเดียว และที่แย่หนักไปกว่านั้น คือ วันๆก็มาขอแต่เงินเพื่อเอาไปเสพยาบ้า พอดิฉันให้เงินน้อย เขาก็จะอาละวาดยกหม้อแกงส้มที่ดิฉันทำไว้ขายเททิ้งทั้งหม้อ แถมยังยกถังแก๊สโยนลงคลองน้ำคลำไปเสียดื้อๆ และยังขู่ว่า “อย่าเก็บนะ ถ้าเก็บจะจับโยนลงไปอีก”

 

        วีรกรรมที่ไม่ซ้ำแต่ละวันของเขาทำให้ดิฉันเครียดจนกลายเป็นโรคหัวใจ เวลาที่เขาแผลงฤทธิ์แบบสุดๆ ใจมันก็เต้นรัวเป็นกลองเพล จนแทบช็อคทรุดลงกับพื้น จนหมอต้องให้ยามากินแล้วกำชับว่า “ป้าอย่าคิดมาก” โธ่...จะไม่ให้คิดได้อย่างไรคะ ก็ตำรวจโทรศัพท์มาเกือบทุกวัน และแต่ละวัน ตอนตีสองตีสาม หมาก็เห่าเกรียวต่อๆกันมาเป็นทอดๆ แล้วอยู่ๆก็มีเสียงเคาะประตู ตะโกนเรียก “แม่ๆ” เราก็นึกว่าลูกชายโดนใครไล่แทงมา แต่ที่ไหนได้ เขากลับบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอกแม่ แค่คิดถึงแม่” โธ่...ตอบมาได้ มาปลุกตอนตีสามแล้วบอกคิดถึง ทีกลางวันแสกๆทำไมไม่ยอมมาบอก แต่บ่นไปก็เท่านั้นแหละค่ะ เป็นอย่างนี้เกือบทุกคืน เพราะเขากินยาบ้าเข้าไปแล้ว มันนอนไม่หลับ เลยทั้งคึกทั้งบ้าตลอดทั้งคืน จนดิฉันร้องไห้ ถามลูกชายว่า “ทำไมลูกไม่รักแม่ แม่ทำอะไรผิด ทำไมถึงทำกับแม่อย่างนี้”

 

 

        ตอนหลังเขาเลยใจอ่อนไปบวชให้ที่วัดแถวบ้าน แต่พอสึกออกมาไม่นานก็เป็นเหมือนเดิมอีก ดิฉันเลยคิดว่าชาตินี้คงไม่มีใครเปลี่ยนลูกได้แล้ว แต่พอมีโครงการของหลวงพ่อเข้ามา ดิฉันก็เลยคิดว่าโครงการบวชที่ฝึกเข้มแบบนี้อาจจะเหมาะกับเขา จึงพยายามขอร้องให้เขามาบวช จนสุดท้ายลูกชายเห็นดิฉันตื้อมาก จึงตัดความรำคาญ ยอมมาเข้าโครงการบวชรุ่นแสนแรก 49 วัน พอมาบวชในช่วงแรกๆ ดิฉันก็นึกว่าจะไม่รอดแล้ว แต่ก็ไม่น่าเชื่อ พระลูกชายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จนดิฉันตกใจ เพราะพระลูกชายบอกว่า ท่านชอบหลวงพ่อมาก ท่านบอกว่ามาเจอไอดอล (Idol) ตัวจริง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น เพิ่งจะบอกว่ามีมาเฟียเป็นไอดอล แต่เดี๋ยวนี้ท่านขอมีหลวงพ่อเป็นไอดอลเพียงคนเดียว และยังบอกว่าหลวงพ่อองค์นี้เป็นที่สุดของที่สุดของความสุดยอดแล้ว เพราะท่านจะรื้อวัฏฏะ และชาตินี้พระลูกชายก็ยืนยันที่จะอยู่ช่วยหลวงพ่อฟื้นฟูศีลธรรมโลก

 

        พอดิฉันได้ฟังดังนั้น ก็รู้สึกทึ่งบันลือโลกค่ะที่หลวงพ่อปราบอดีตลูกชายมาเฟียของดิฉันได้ แบบชนิดหมอบราบคาบแก้ว ซึ่งก็คาบแก้วจริงๆค่ะ เพราะพระลูกชายบอกว่า ท่านนั่งสมาธิเห็นดวงกลมใสเสียยิ่งกว่าแก้วอีกค่ะ ใสกว่าตาตั๊กแตน ใสเกินกว่าอะไรทั้งปวงในโลก แล้วยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกสุขสงบ อิ่มเอิบแบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ทำให้ท่านเป็นสุขในเพศสมณะจนไม่อยากสึกอีกแล้วค่ะ อีกทั้งท่านยังบอกดิฉันอีกว่าจะขอบวชแบบนี้ไปทุกชาติ และก็ตามติดหลวงพ่อไปทุกภพทุกชาติ จนตอนนี้ดิฉันก็หมดห่วง ปลอดกังวลเหมือนเกิดใหม่ อีกทั้งยังหายจากการเป็นโรคหัวใจจากความเครียด แต่มีโรคใหม่ คือโรคหัวใจพองโตแทนค่ะ ซึ่งหากดิฉันตายไปตอนนี้ ก็ตายตาหลับ แถมหลับสนิทแบบสุดๆค่ะ

 

        จากเรื่องที่เกิดกับครอบครัวของดิฉันนี้เอง ดิฉันขอยืนยันว่า “ถ้าใครว่าวัดพระธรรมกายไม่ดี อย่าไปเชื่อ เพราะถ้าวัดนี้ไม่ดีจริง ไม่มีทางเปลี่ยนลูกชายของดิฉันได้หรอก เพราะเขาเฮี้ยนขนาดนี้ ซึ่งตอนนี้คนแถวบ้านก็แห่เอาลูกชายมาบวชในโครงการนี้กันทั้งนั้นแหละค่ะ เพราะเขาเห็นพระลูกชายของดิฉันยังเปลี่ยนเป็นคนดี อย่างชนิดที่ยากจะเป็นไปได้เลยค่ะ”