ท้าวสักกะจอมเทพ


[ 14 พ.ค. 2555 ] - [ 18260 ] LINE it!

ท้าวสักกะจอมเทพ
 
 
 
     การเดินทางในสังสารวัฏ อันหาเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายไม่ได้นี้ หมู่สัตว์ถูกอวิชชา คือความไม่รู้แจ้งเห็นจริงปิดบังเห็น จำ คิด รู้ ให้มืดมนอนธกาล เมื่อเกิดมาแล้ว ต่างตกอยู่ในความประมาท มัวเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์อันเป็นบ่วงแห่งมาร ถูกสิ่งเหล่านี้ร้อยรัดเอาไว้ ทำให้เพลิดเพลิน และหลงลืมเป้าหมายดั้งเดิมที่เกิดมาเพื่อแสวงหาหนทางของพระนิพพาน สรรพสัตว์ได้ถูกกิเลสอาสวะครอบงำจิตใจกันอยู่อย่างนี้มายาวนานมาก ทำให้ไม่ได้เฉลียวใจว่า เกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน แล้วมีอะไรเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ผู้ใดได้มีโอกาสตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ด้วยการหมั่นตรึกระลึกนึกถึงศูนย์กลางฐานที่ ๗ จนใจหยุดนิ่งใจใสสะอาดบริสุทธิ์ ผู้นั้นก็จะรู้เห็นเรื่องราวของชีวิตไปตามความเป็นจริง
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทานูปัตติสูตร ว่า
 
     "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกจอมเทพในชั้นดาวดึงส์นั้น กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ย่อมก้าวล่วงพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์โดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ และโผฏฐัพพทิพย์"
 
     ผู้ที่ประสงค์จะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนใหญ่แล้วจะต้องเป็นผู้ยินดีในการบริจาคทาน ไม่มีความตระหนี่หวงแหนในทรัพย์สมบัติที่ตัวเองหามาได้ ต้องทำบุญที่เกิดจากการให้ทานไว้มาก และต้องรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้ามีโอกาสก็สมาทานศีล ๘ หรืออุโบสถศีล ส่วนการเจริญสมาธิภาวนา อาจจะลดหย่อนลงมาบ้าง บางท่านก็อาจไม่เคยประพฤติปฏิบัติ เพราะไม่มีกัลยาณมิตร แนะนำวิธีการที่จะทำใจให้หยุดให้นิ่ง เมื่อปฏิบัติบ่อยเข้าจนเป็นอาจิณณกรรม ครั้นละโลกไปแล้ว บุญนั้นก็ส่งผลให้ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
 
     เมื่อกล่าวถึงชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นภพภูมิแห่งการเสวยทิพยสมบัติ มีเหล่าเทพบุตรเทพธิดามากมายนับไม่ถ้วน ที่อุบัติขึ้นด้วยอำนาจบุญกุศลที่สั่งสมไว้ดีแล้ว เทพบุตรท่านหนึ่งที่หลวงพ่อไม่อยากจะเล่าข้ามไป ก่อนที่จะเข้าไปสู่การศึกษาเรื่องราวของชาวสวรรค์ชั้นสูงๆ ขึ้นไปที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เทพบุตรองค์นี้ท่านเป็นใหญ่กว่าทวยเทพใดๆ ในสวรรค์ชั้นนี้ นั่นก็คือองค์อัมรินทราธิราช ที่เราได้ยินกันจนคุ้นหู ในนามของพระอินทร์หรือท้าวสักกะจอมเทพนั่นเอง
 
     เพราะฉะนั้น ตอนนี้เรามาศึกษาเรื่องราวชีวประวัติที่น่าสนใจของท้าวสักกะจอมเทพกันก่อนว่า ท่านได้บำเพ็ญบารมีมาอย่างไร ถึงได้มาเป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะตามปกติแล้ว เพียงแค่การได้บังเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาก็ถือว่ายากแล้ว แต่ท่านยังได้รับการยกย่องให้เป็นองค์ประมุขของทวยเทพทั้งหมดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกด้วย
 
     * สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฎาคารศาลา ในป่ามหาวัน กรุงเวสาลี เจ้าลิจฉวีพระนามว่ามหาลิ ได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และตรัสถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงเห็นท้าวสักกะจอมเทพหรือ พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “ดูก่อนมหาลิ อาตมาเห็นท้าวสักกจอมเทพ”
 
     เนื่องจากมหาลิไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้าของเรานั้นทรงเป็นยิ่งกว่าเทพ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภพทั้งสาม เป็น สตฺถา เทวมนุสฺสานํ คือเป็นครูของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ด้วยความที่ตนไม่มั่นใจว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นท้าวสักกะจริง จึงทูลถามตามประสาซื่อว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้ที่พระองค์ทรงเห็นนั้น คงจักเป็นท้าวสักกะปลอมเป็นแน่ เพราะว่า ท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ เป็นผู้ที่ใครๆ ยากจะเห็นได้”
 
     พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนมหาลิ อาตมารู้จักท้าวสักกะด้วย รู้ธรรมเครื่องกระทำให้เป็นท้าวสักกะด้วย และยังรู้ถึงธรรมที่ท้าวสักกะได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ เพราะเป็นผู้สมาทานธรรมนั้นด้วย ท้าวสักกะเมื่อยังเป็นมนุษย์เป็นมาณพชื่อว่า มฆะ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่าท้าวมฆวา ท้าวสักกะได้เคยให้ทานมาก่อน เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ท้าวปุรินททะ ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์ ได้ให้ทานโดยเคารพ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ท้าวสักกะ ซึ่งแปลว่า ผู้มีความเคารพในการให้ และเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ท่านได้ให้ที่พักอาศัยแก่คนเดินทางไกลด้วยจิตยินดี จึงเรียกว่า ท้าววาสวะ
 
     นอกจากนี้ ท้าวสักกะจอมเทพสามารถคิดเนื้อความได้ตั้งพันโดยครู่เดียว จึงได้รับการเฉลิมพระนามว่า ท้าวสหัสนัยน์ ท้าวสักกจอมเทพทรงมีนางอสุรกัญญานามว่า สุชาดา เป็นมเหสี จึงได้รับพระฉายานามว่า ท้าวสุชัมบดี ประการสุดท้าย ท้าวสักกะเสวยราชสมบัติเป็นใหญ่แห่งทวยเทพชั้นดาวดึงส์ มหาชนจึงเรียกว่า เทวานมินทะ ซึ่งแปลว่าจอมเทพนั่นเอง
 
     ดูก่อนมหาลิ ท้าวสักกจอมเทพ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตตบท ๗ ประการอย่างบริบูรณ์ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกจอมเทพ ผู้เลิศด้วยคุณธรรมความดี ที่ไม่มีเทพองค์ใดมีคุณธรรมเสมอเหมือน
 
     วัตตบท ๗ ประการ คือ
 
     ประการที่ ๑ ท่านเป็นผู้มีความกตัญญูเป็นเลิศ คือเลี้ยงดูมารดาบิดาจนตลอดชีวิต ให้ความรักความเอื้ออาทร เทิดทูนบิดามารดาไว้ในฐานะเป็นพรหมของลูกอยู่ตลอดเวลา ตรงนี้แหละทำให้ท่านได้รับการยอมรับจากเทพบุตรองค์อื่นๆ ซึ่งแม้จะมีบริวารและวิมานที่ใหญ่กว่า เพราะได้ทำบุญถูกเนื้อนาบุญมาก่อน แต่ก็ยอมรับในคุณธรรมของท่าน จึงยกย่องให้เป็นจอมเทพ ปกครองชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทั้งหมด
 
     ประการที่ ๒ สมัยที่เป็นมนุษย์อยู่นั้น พระองค์เป็นผู้ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต 
 
     ประการที่ ๓ เป็นผู้พูดวาจาอ่อนหวานตลอดชีวิต ไม่พูดจาหยาบกระด้าง พูดจาอ่อนหวาน จิตใจก็อ่อนโยน  
 
     ประการที่ ๔ ท่านเป็นผู้ไม่พูดวาจาส่อเสียดจนตลอดชีวิต ไม่เคยพูดให้ร้ายใครเลย มีแต่ยกย่องสรรเสริญ และชื่นชมผู้อื่นด้วยความจริงใจ ใครทำดีแม้นิดเดียว หรือทำความดีในที่ลับที่ไม่คิดว่าคนอื่นจะเห็น ท่านก็นำมาเปิดเผยให้มหาชนได้รับรู้ ท่านมีมุทิตาจิตอยู่ตลอดเวลา
 
     ประการที่ ๕ ท่านเป็นผู้มีใจปราศจากความตระหนี่ อันเป็นมลทินของผู้อยู่ครองเรือน ได้บริจาคชนิดที่ว่าให้แล้วไม่เคยคิดอยากได้คืนเลย ตัดใจเหมือนตายจาก ถ้าจะรำลึกถึง ก็รำลึกถึงด้วยความปลื้มปีติยินดีที่ได้บริจาคทานไป ความรู้สึกเสียดายไม่เกิดขึ้นในใจของท่าน เป็นผู้มีฝ่ามืออันชุ่มด้วยการให้ทานอยู่ตลอดเวลา ยินดีในการสละออก และเสียสละความสะดวกสบายเล็กๆ น้อยๆ ของตน เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม
 
     ท่านเป็นผู้บริจาคที่คนอยากมาขอ คือมีอัธยาศัยที่น่าเข้าใกล้ บางคนอยากจะให้เหมือนกัน แต่ไม่มีใครอยากมารับของของตน เพราะคำพูดและการกระทำของตนไม่น่าเข้าใกล้ อีกทั้งไม่มั่นใจว่า ถ้ารับของไปแล้วจะมีการตามทวงคืนหรือมีข้อผูกมัดในภายหลังหรือไม่ เพราะฉะนั้นแม้ใจอยากให้ทาน ก็ไม่มีใครอยากเข้ามารับเอาวัตถุทานของตนไป แต่ท้าวสักกะยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวิต แล้วยังทำตนให้น่าขออีกด้วย
 
     ประการที่ ๖ ท่านเป็นผู้ที่พูดคำสัตย์ตลอดชีวิต ไม่โกหกมดเท็จ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
 
     ประการที่ ๗ ท่านสอนตัวเองว่า จะไม่โกรธจนตลอดชีวิต ถ้าความโกรธจะเกิดขึ้นกับตัวท่าน ท่านก็จะรีบขจัดออกจากใจทันที ท้าวสักกะได้ทรงสมาทานวัตตบท ๗ ประการเหล่านี้ได้บริบูรณ์ เพราะฉะนั้น ท่านจึงถึงความเป็นท้าวสักกจอมเทพ”  
 
     เราจะเห็นว่า กว่าที่ใครคนหนึ่งจะได้ไปบังเกิดเป็นเทวดา โดยเฉพาะได้เป็นจอมเทพของชาวสวรรค์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องอาศัยความเพียรในการทำความดีอย่างสมํ่าเสมอ ทำไปจนตลอดอายุขัย เมื่อเราทราบตัวอย่างอันดีงามอย่างนี้แล้ว ก็ให้หมั่นสั่งสมบุญกันเอาไว้มากๆ ชีวิตในสุคติโลกสวรรค์จะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจุบันที่เรากำลังเป็นมนุษย์สร้างบุญบารมีอยู่นี่แหละ เราจะต้องลิขิตชีวิตในอนาคตของเราให้ได้ ดังนั้นให้ทุกท่านทุกคนหมั่นสั่งสมบุญกันทุกๆ วันอย่าให้ขาด ทั้งทาน ศีล ภาวนา ฝึกใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในให้ได้ แล้วจะได้ไปเสวยสุขในสุคติโลกสวรรค์สมความปรารถนากันทุกคน


พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
 
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* มก. เล่ม ๔๐ หน้า ๓๕๖
 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
องค์อัมรินทราธิราชองค์อัมรินทราธิราช

ปาริฉัตรสวรรค์ปาริฉัตรสวรรค์

เทพจุติเทพจุติ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน