วิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ที่ผ่านมาสอนอะไรเราได้บ้าง


[ 27 ก.ค. 2555 ] - [ 18263 ] LINE it!

ข้อคิดรอบตัว
 
 
เรียนรู้จากวิกฤต
 
        วิกฤตการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมานั้น เป็นมหาอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด หลายคนไม่เคยเห็นน้ำท่วมใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือนร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างไรก็ตามเราก็ควรรักษาใจของเราอย่าให้เสีย ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ตาม เราต้องมีสติในการคิดแก้ไขปัญหาให้ได้เสมอ
 

วิกฤตการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมานั้นมีความเหมือนหรือต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง?

 
        ถ้าในแง่ความเหมือนก็คือว่า มีน้ำมาเหมือนกัน แต่ในความแตกต่างที่ชัดเจนคือน้ำมันมากกว่า น้ำท่วมใหญ่ในเมืองไทยเราเองเคยมีมาหลายครั้ง ถ้าใกล้ๆ ตัวที่ใครๆ ยังพอจะจำได้ก็เมื่อปี พ.ศ. 2538 แต่ครั้งนี้(พ.ศ. 2554) น้ำเยอะกว่า อีกครั้งคนที่จะจำได้ก็ต้องอายุมากจริงๆ เพราะมันเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2485 คือเมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้ว ถ้าปัจจุบันคนที่มีอายุ 80 ตอนนั้นเขาก็มีอายุ 10 ขวบ ก็คงจะความจำไม่ค่อยชัดแล้ว บางคนอายุ 90 ตอนเกิดเหตุตัวเองก็อายุ 20 ปี จำได้แต่ว่าด้วยวัยชราตอนนี้ก็อาจจะจำอะไรไม่ค่อยจะได้ เพราะฉะนั้นเราคงจะเห็นจากภาพและเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เป็นหลัก
 
        แต่ดูแล้วครั้งนี้ก็ไม่น้อยไปกว่า ปี 2485 เลยนะ จริงๆ ต้องถือว่าในรอบ 100 ปี ครั้งนี้(พ.ศ.2554) อาจจะดูเป็นครั้งที่หนักที่สุดก็ว่าได้ ถึงเรียกกันว่าเป็นมหาอุทกภัย
 

การแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนได้ทราบโดยทั่วถึงกัน และเตรียมตัวรับมือได้ทันนั้นควรจะทำอย่างไร?

 
        ในภาวะวิกฤตนั้น ข้อมูลข่าวสารมีความสำคัญมากเลย อย่างในญี่ปุ่นเขาจะบอกเลยว่า เวลาจะเกิดแผ่นดินไหวสิ่งที่คนญี่ปุ่นจะต้องเตรียมตัวก็คือ นอกจากอาหารน้ำดื่มแล้วต้องมีวิทยุเครื่องเล็กๆ เพราะคนเราเมื่ออยู่ในซากปะรักหักพังบางครั้งก็ทำอะไรไม่ได้ แค่เปิดวิทยุรับฟังข่าวสารว่าข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง ก็จะทำให้เกิดกำลังใจที่จะรักษาชีวิตตัวเองให้อยู่ต่อไปได้ แต่ที่เห็นมาทั้งโลกจะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือว่า ของที่ไม่เคยพบเจอแบบหนักสุดๆ เจอใหม่ๆ ครั้งแรกมันงง เพราะระบบที่มีไว้ยังไม่ได้เตรียมตัวตั้งรับไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใดก็ตาม แม้กระทั่งประชาชนเองพอถึงเวลาต้องเจอก็จะงง ทำอะไรไม่ถูกเตรียมอะไรไม่ทัน ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกลหรอก คนที่น้ำกำลังจะเข้าบ้านก็รู้ทั้งรู้ว่าแถวบ้านเราพื้นที่มันต่ำ แต่ก็นึกในใจว่าคงจะไม่อะไรขนาดนั้นมั๊ง พอเอาเข้าจริงๆ ก็มิดหลังคาไปหลายหมู่บ้านเลย
 
        ถ้าครั้งแรกงงนั้นยังพอให้อภัยได้นะ แต่ถ้าเป็นครั้งต่อไปต้องมีความพร้อมแล้ว และต้องเตรียมตัวกันทันท่วงที มีตัวอย่างที่เกิดในเมืองไทยคือตอนมีพายุเกเข้าที่ชุมพร พายุแรงมากมีคนตายไปมากเลย ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาเขาก็ออกข่าวตลอดว่าทิศทางพายุกำลังมา และประกาศเตือนชาวประมงอย่าออกจากฝั่ง แต่ชาวประมงก็เห็นว่ามีประกาศเตือนอย่างนี้อยู่เรื่อย แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็แค่นิดๆ หน่อยๆ เราพอสู้ไหว ก็คิดว่ามันจะคล้ายๆ อย่างเดิม แต่พอเจอเข้าจริงๆ ก็มันไม่เหมือนเดิมมันแรงมากๆ เมื่อผ่านครั้งนั้นมาแล้วต่อมาทางราชการเตือนอะไรชาวเรือประมงก็เข้าฝั่งกันหมดเลย คือเริ่มเห็นความสำคัญของการเตือน
 
ภัยสึนามิ
ภัยสึนามิ
 
        สึนามิก็เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ก็บอกว่าสึนามิจะมา มีสัญญาณเตือนคนก็เฉยๆ ยังเดินเล่นกันอยู่ไม่สนใจ พอไปเจอสึนามิใหญ่เมื่อปลายปี 2547 เข้าไปเท่านั้นเอง คราวนี้พอมีสัญญาณเตือนแผ่นดินไหวในละแวกใกล้เคียงปั๊บ คนก็รีบหนีขึ้นที่สูงกันทันทีเลย เพราะมีบทเรียนแล้วนี่คือการปรับตัวของประชาชน คือการให้ความสำคัญของข้อมูล เมื่อประชาชนมีการตื่นตัวแบบนี้แล้ว หน่วยราชการที่ให้ข้อมูลก็ต้องปรับตัวเหมือนกันคือ ให้ข้อมูลของเราแม่นและมีการประสานกันเป็นอย่างดี จนกระทั่งว่าสามารถให้ข้อมูลประชาชนเป็นเนื้อเดียวกัน ข้อมูลไม่ขัดกันเองประชาชนจะได้ไม่สับสน ขอให้ประชาชนได้รู้ก่อนเพื่อจะได้เตรียมตัวตั้งรับได้ทันท่วงที มีความเป็นไปได้เท่าไหร่ก็บอกให้ชัดเจนลงไปเลยให้รู้ก่อนล่วงหน้า
 
        ในประเทศญี่ปุ่นที่เขาต้องพบเจอกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวบ่อย เขาพัฒนาถึงขนาดเป็นออนไลน์เลย อย่างสมมุติเรานั่งอยู่แล้วเกิดแรงสั่นสะเทือนโยกเยกๆ แป๊บเดียวไม่เกิน 30 วินาที ตัวเลขแผ่นดินไหวทั้งหมดจะขึ้นหน้าจอโทรทัศน์ทุกจอหมดเลย ว่าแผ่นดินไหวศูนย์กลางอยู่ที่ไหน แต่ละที่กี่ริกเตอร์ รายงานออกมาหมดเลยภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทันทีที่มีข้อมูลเข้ามาเขาจะรายงานให้ประชาชนทราบทันที คือให้ความสำคัญของข้อมูลเป็นหลัก
 
ผู้ประสบภัยน้ำท่วมควรมีวิธีการปรับตัวและทำใจอย่างไร จากความสูญเสียที่เกิดขึ้น?
 
        ต้นทุนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวกับหัวใจ ให้เช็คดูว่าตัวเรายังอยู่หรือไม่ ถ้าร่างกายเรายังดีอยู่ครบถ้วน 32 ประการแล้วหัวใจเรายังสู้อยู่รึเปล่า ถ้ายังสู้อยู่ละก็แสดงว่าเราก็ต้องชนะเท่านั้นเอง อย่างอื่นข้างนอกกายมันเป็นแค่ของแถม รักษาไว้ได้เท่าไหร่ก็มีกำไรมากเท่านั้น ถึงแม้จะหมดเนื้อหมดตัวแต่เรายังมีตัวกับหัวใจอยู่ เรายังมีต้นทุนที่จะสู้ต่อไปได้
 
        ในประเทศญี่ปุ่นตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ใช่สูญเสียแค่ทรัพย์สิน บางคนพ่อแม่ญาติพี่น้องล้มหายตายจาก แทบจะเหลือตัวคนเดียว แต่พอยืนหยัดสู้ในที่สุดเขาก็สู้ได้ พอทุกคนสู้อย่างนี้ภาพรวมของประเทศก็ลุกฮึดขึ้นมาสู้กันได้เลยภายในเวลาแค่ 4-5 ปี แล้วก้าวเข้ามาเป็นมหาอำนาจของโลกได้อย่างรวดเร็ว
 
ต้นทุนที่สำคัญที่สุดคือตัวกับหัวใจถ้าใจสู้ก็ชนะได้
ต้นทุนที่สำคัญที่สุดคือตัวกับหัวใจถ้าใจสู้ก็ชนะได้
 
        ทั้งหมดจึงชี้ให้เห็นว่า ต่อให้เหลือแต่ตัวกับหัวใจถ้าสู้ก็ชนะ ได้สู้ก็สู้ได้ แต่ถ้าไม่สู้ก็แพ้ มีอยู่แค่นี้เท่านั้นเอง ฉะนั้นอย่าเสียกำลังใจ ขอให้เดินหน้าสู้ต่อไปเพราะชัยชนะที่สว่างไสวกำลังรอเราอยู่ข้างหน้า
 
เมื่อเกิดวิกฤตการณ์เลวร้ายต่างๆ ขึ้น เราจะเห็นคนทุกชาติทุกศาสนาออกมาแสดงน้ำใจช่วยเหลือกัน ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
 
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า จิตมนุษย์แต่เดิมนี้ประภัสสร แต่กิเลสมันจรมาทำให้แปรเปลี่ยนไป บางคนก็เปรียบว่าเด็กนั้นเหมือนผ้าขาว ต่อมาก็มีการแต่งเติมสีสันเข้าไป คือในใจมนุษย์ลึกๆ มีเชื้อแห่งความดีอยู่แล้ว จะเรียกว่ามีเชื้อแห่งพุทธอยู่ก็ได้ ในตัวมีธรรมะมีธรรมกายอยู่ด้วยกันทั้งนั้นที่คอยเตือนให้ทำความดี แต่ถูกกิเลสมาครอบงำและชักจูงไปทำต่างๆ นานา แต่เชื้อความดีในใจก็มีอยู่ เมื่อไหร่ที่เห็นสิ่งสะเทือนใจภายนอกมากระทบ มันก็ไปปลุกเร้าความเมตตากรุณาในใจให้แสดงตัวออกมา แต่ละคนกิเลสที่พอกพูนอาจจะหนาบางไม่เท่ากัน คนไหนกิเลสไม่มากนักคนนั้นก็แสดงได้มากหน่อย ที่กิเลสหนาก็แสดงน้อยหน่อย แต่อย่างไรเชื้อความดีในใจก็มีกันทั้งนั้นเลย
 
ทิศทางการฟื้นฟูเราควรจะเริ่มต้นทำสิ่งใดก่อน?
 
        อันดับแรกคือ จิตใจ ให้ทุกคนมีขวัญและกำลังใจที่จะแก้ไขปัญหาของตัวเองและเอื้อเฟื้อเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เอาแต่ตัวเอง ถ้าทุกคนฮึดสู้พยายามพึ่งตัวเองให้มากที่สุด และอะไรที่เราเอื้อเฟื้อคนอื่นได้ก็ควรจะเอื้อเฟื้อ อย่าไปคิดว่าเราเป็นผู้ประสบภัยจะต้องแบมือขอความช่วยเหลือจากหน่วยราชการ หรือเอกชนฝ่ายเดียว แต่ให้ถามตัวเองว่าเราจะมีส่วนช่วยแก้สถานการณ์นี้ได้อย่างไรบ้าง
 
        ทุกคนให้เริ่มต้นด้วยหัวใจแห่งความเป็นผู้ให้ หัวใจผู้ให้ย่อมยิ่งใหญ่เสมอ เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเราจะเป็นผู้ให้ใจเราจะยกสูงขึ้น แล้วเราจะมองเห็นภาพที่กว้างขึ้น คนขึ้นที่สูงย่อมเห็นภาพกว้าง เรายกใจเราสูงเราก็จะเห็นภาพที่กว้างขึ้นได้เหมือนกัน ไม่หดหู่ซึมเซาไปกับความสูญเสียต่างๆ ให้มองไปข้างหน้าอย่างสร้างสรรค์ แล้วเดินหน้าแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ แล้วเราจะพบว่าทุกปัญหานั้นแก้ได้ ทุกปัญหามีทางออก อยู่ที่ว่าแต่ละคนพร้อมที่จะยื่นมือออกไปช่วยเหลือคนอื่นแล้วหรือยัง เพราะมือทุกมือจะประสานรวมถักทอเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ แล้วขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวไปข้างหน้า
 
หัวใจผู้ให้ย่อมยิ่งใหญ่เสมอ เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเราจะเป็นผู้ให้ใจเราจะยกสูงขึ้น
หัวใจผู้ให้ย่อมยิ่งใหญ่เสมอ เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเราจะเป็นผู้ให้ใจเราจะยกสูงขึ้น
 
        คืออย่างงกับเหตุการณ์ และเมื่อเกิดอะไรขึ้นอย่าหมดอาลัยตายอยาก แต่ให้หาลู่ทางแล้วจะพบว่าลู่ทางมีเสมอเลย มีทางออกขอให้สังคมช่วยกันระดมความคิด ถ้าตั้งอยู่ในความไม่ประมาทแล้วก็ยิ่งสามารถแก้ได้อย่างมหาศาลเลย ถ้าน้ำมาแล้วค่อยแก้ก็ยังลำบากหน่อย แต่คราวนี้น้ำมันค่อยๆ มา เรารู้ก่อนแค่ไม่ประมาทเท่านั้นเอง เตรียมตัวไว้ก่อน เตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้าพอมาก็ตั้งมือรับได้ทัน
 
        อาตมาเองเห็นน้ำที่มันรุกคืบเข้ามาก็เฝ้าดู เห็นหลายอย่างเลยและเห็นได้ชัดเพราะมันใกล้ตัว คือมันค่อยๆ มา มันไม่รวดเร็วเหมือนเขื่อนแตกหรือสึนามิ แต่น้ำท่วมมันค่อยๆ มา เราสามารถรู้ก่อนล่วงหน้าได้ บางทีเห็นหัวน้ำห่างจากเราประมาณ 10-20 กิโลเมตร กว่าจะถึงเราก็อีกหลายวัน 2-3 วัน เพราะมันค่อยๆ ชอนไชไป ยังมีเวลาตั้งหลัก แต่ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง น้ำมันไม่รีบร้อน มันค่อยๆ ไปเรื่อยๆ แต่ไม่หยุด และชอนไชไปทุกซอกทุกมุมจนกระทั่งไปจนเต็มพื้นที่ได้หมด ถ้าเราทำงานเหมือนกับน้ำไม่ได้บุ่มบ่ามอะไร แต่ว่าไม่หยุดเลย จะพัฒนาประเทศก็คือไม่หยุดเลย ปัญหาอุปสรรคมี ตรงนี้สะดุด เราก็เลี่ยงไปหน่อย สุดท้ายเราจะคืบหน้าไปได้ตลอด แล้วบรรลุเป้าหมายวัตถุประสงค์ในที่สุด ให้ไปเย็นๆ แบบน้ำ แต่ซึมไหลไปอย่างไม่หยุดยั้ง จะเผยแผ่ธรรมะก็ตาม จะพัฒนาประเทศชาติก็ตาม ถ้าทำอย่างนี้แล้วละก็ สุดท้ายจะประสบความสำเร็จ


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
มีวิธีการอย่างไรให้คนในสังคมช่วยกันเก็บขยะรักษาความสะอาดมีวิธีการอย่างไรให้คนในสังคมช่วยกันเก็บขยะรักษาความสะอาด

จะรู้ได้อย่างไรว่าเราตกเป็นทาสเทคโนโลยีไปแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราตกเป็นทาสเทคโนโลยีไปแล้ว

ทำไมต้องจดสิทธิบัตรหรือมีลิขสิทธิ์ทำไมต้องจดสิทธิบัตรหรือมีลิขสิทธิ์



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ข้อคิดรอบตัว