สวนทาง‘เห่อไฮเทค’ เรื่อง‘ผี-ลี้ลับ’ ‘โจ๋ไทย’เชื่อ-กลัว!!


[ 3 ส.ค. 2549 ] - [ 18258 ] LINE it!

 
 
แปลก แต่จริง...ยุคนี้ “เด็กไทย-วัยรุ่นไทย” ถูกระบุว่าเห่อเหิม “เทคโนโลยี-ไฮเทค” ต่าง ๆ แต่ขณะเดียวกัน...เด็กไทย-วัยรุ่นไทยจำนวนไม่น้อยกลับมีพฤติกรรมบางด้านที่ สวนทางกับเรื่องไฮเทคอย่างสิ้นเชิง !!
 
“เรื่องผี-เรื่องลี้ลับ” เด็กไทยยุคนี้ก็สนใจ

 
หลายคน “เชื่อ” และหลายคนก็ “กลัว”
 
ปรากฏการณ์หนึ่งที่สะท้อนความกลัว-ความเชื่อของเด็กไทย- วัยรุ่นไทยในเรื่องดังกล่าวนี้ ก็เช่นการที่มีข่าวเป็นระยะ ๆ กรณีมีนักเรียน-นักศึกษาเกิดอาการเพ้อ กรีดร้อง โดยบอกว่า “เห็นผี-เห็นวิญญาณ” บางกรณีก็บอกว่าเห็นวิญญาณของเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว และบางกรณีก็เป็นการ “เห็นหมู่” พร้อม ๆ กันหลายคน
 
กรณีแบบนี้ใคร ไม่เชื่อเรื่องผี-เรื่องวิญญาณก็จะบอกว่าเป็น “อุปาทานหมู่” ซึ่ง ณ ที่นี้ก็จะไม่ไปชี้ว่ากรณีไหนน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ และก็เห็นพ้องด้วย หากที่ไหนที่เกิดเรื่องจะมีการจัดพิธีกรรมบางอย่างเพื่อความสบายใจของทุก ฝ่าย อย่างไรก็ตาม หากจะว่ากันในเชิงที่มิใช่ไสยศาสตร์ ในเชิงจิตวิทยาเกี่ยวกับเรื่องอุปาทานหมู่...ก็มีคำอธิบาย
  
“... อุปาทานหมู่เป็นเรื่องของอาการทางจิตใจอย่างหนึ่งที่พบเห็น และเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มอาการทางจิตลักษณะหนึ่งที่พบว่ามักจะเกิดกับเด็ก-วัยรุ่น หรือคนที่มีความไม่มั่นคงทางจิตใจสูง
 
อาการอุปาทานหมู่มักเกิด กับกลุ่มคนที่มีความเชื่อคล้ายกัน โดยเฉพาะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อเกิดอาการในคนแรกก็จะส่งผลให้คนอื่น ๆ เกิดอาการในลักษณะเดียวกัน ส่งต่อกันเป็นทอด ๆ แบบปฏิกิริยาลูกโซ่
 
เมื่อคนแรกในกลุ่มแสดง อาการออกมา คนที่เหลือซึ่งมีความเชื่อฝังแน่นอยู่ในจิตใต้สำนึกอยู่แล้วก็จะเกิดอาการ ตาม โดยคิดว่าเป็นเพราะผีเข้า อาถรรพณ์ หรืออะไรก็ตามแต่จะเชื่อ...”
 
...เป็นคำอธิบายในเชิงจิตวิทยาของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกรมสุขภาพจิต
 
แต่...การที่ “เด็กไทย-วัยรุ่นไทยยุคใหม่เชื่อเรื่องผี” ก็น่าคิด ?!?
 
โฆษก กรมสุขภาพจิตชี้ไว้ว่า... “ระยะหลังพบว่าแม้แต่ในเมืองใหญ่ ๆ หรือในเมืองหลวงที่มีความเจริญสูงอย่างกรุงเทพฯ ก็มีเหตุการณ์ทำนองนี้เช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะสะท้อนให้เห็นความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผี ๆ แบบนี้ที่ยังฝังลึกอยู่ ยังไม่สามารถลบล้างลงได้”
 
ทั้งนี้ ขณะที่โลกเจริญรุดหน้าด้านเทคโนโลยี เด็กไทย-วัยรุ่นไทยก็เติบโตขึ้นมากับเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ก็ยังมีความเชื่อเรื่องผี ไม่ต่างไปจากคนรุ่นก่อน ๆ นั้น คุณหมอทวีศิลป์บอกว่า... เป็นเรื่องธรรมดา เพราะแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังมีกลุ่มความเชื่อทำนองนี้อยู่เช่นกัน
 
“ทั้ง หมดนี้อาจมีสาเหตุเพราะวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบคำถามได้หมดทุกเรื่อง ดังนั้นคนบางกลุ่มเลยจำเป็นต้องอาศัยจินตนาการ เพื่อมาเป็นคำตอบในช่องว่างเหล่านั้น”
 
เมื่อเกิดช่องว่างที่วิทยา ศาสตร์ให้คำตอบไม่ได้ ก็ทำให้ความเชื่อเรื่องผี เรื่องวิญญาณ หรือเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติต่าง ๆ เข้ามาเติมเต็มลงในช่องว่าง ในฐานะ “คำตอบ”
 
ที่สำคัญ...ลักษณะความเชื่อดังกล่าวนี้ มักเกิดในกลุ่มคนที่ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง และอาจถูกเร้าจากปัญหาทางกายที่เกิดจากความเจ็บป่วย หรือปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความขัดสน ทำให้ต้องพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวเพื่อเข้ามาทำให้จิตใจรู้สึกมั่นคง ซึ่งอาจเรียกว่า “จินตนาการ” หรือ  “จินตภาพ”
 
อย่างไรก็ตาม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาก็ไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าความเชื่อในเรื่อง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิดหรือถูก เพียงแต่เตือนว่า “หากเชื่อมากไป หรือความสมดุลจากความเชื่อมีมากหรือน้อยไป ก็ย่อมจะไม่ส่งผลดีต่อการใช้ชีวิต หรือแบบที่มักจะเรียกกันว่าลุ่มหลงงมงายนั่นเอง”
 
คุณหมอทวีศิลป์ ยังระบุต่อไปอีกว่า... ในบางกรณีผู้ใหญ่เองก็เป็นตัวอย่างให้กับเด็ก-วัยรุ่น อย่างเช่นกรณีที่เด็ก-วัยรุ่นนิยมเรื่อง “เครื่องราง-ของขลัง” นิยมเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องโชคลาง ส่วนหนึ่งก็เกิดจาก “พฤติกรรมเลียนแบบ” เพราะเด็กและเยาวชนต้องอยู่ร่วมกับสังคมผู้ใหญ่ ทำให้รับเอาอิทธิพลความเชื่อเหล่านี้มา
 
กล่าวคือ...จากการที่ผู้ ใหญ่แสดงออกผ่านการกระทำ ก็ทำให้เด็กและเยาวชนได้เห็นและรับรู้ จนเด็กมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา จึงไม่แปลกที่ความเชื่อในเรื่องแบบนี้จะถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นถึงยุค ปัจจุบัน
 
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าถูกหรือไม่ถูก เพราะขนาดผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ก็ยังมีความเชื่อลักษณะนี้ เด็กและเยาวชนที่มีประสบการณ์ชีวิตน้อยกว่าก็ย่อมจะทานกระแสไม่ไหว หากแต่อยู่ที่ว่าจะสามารถปรับทิศทางของความเชื่อเหล่านี้ให้มาอยู่ในด้าน บวกได้หรือเปล่า” ....โฆษกกรมสุขภาพจิตกล่าวน่าคิด
 
ทั้งนี้และทั้ง นั้น บทสรุปในเรื่องนี้ก็คือ...เพราะผู้ใหญ่ยุคนี้ก็ยังเชื่อ-ยังแสดงออกถึงความ เชื่อใน “เรื่องผี-เรื่องลี้ลับต่าง ๆ” กันเป็นจำนวนมากจึงไม่แปลกที่เด็กไทย-วัยรุ่นไทยยุคไซเบอร์จะเชื่อ-จะกลัวในเรื่องนี้ด้วย
 
และเรื่องแบบนี้...วิทยาศาสตร์ที่ว่าแน่ก็ยังยากจะให้คำตอบ
 
เรื่องแบบนี้...ถือคติ “ไม่เชื่อ...แต่ไม่ลบหลู่” ก็ไม่เสียหาย... 
 
สำคัญคือ...อย่าถึงขั้น “ขาดสติ” จนเป็นภัยกับตนเอง !!!.
 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
อุทยานเรียนรู้เสมือนจริงพร้อมเปิด 1 ส.ค.นี้อุทยานเรียนรู้เสมือนจริงพร้อมเปิด 1 ส.ค.นี้

บ.ออสซี่ลงทุนเมืองไทย ตั้งศูนย์บริการ บ.ออสซี่ลงทุนเมืองไทย ตั้งศูนย์บริการ "เด็กหลอดแก้ว"

หนทางดับทุกข์ จาก ว.วชิรเมธีหนทางดับทุกข์ จาก ว.วชิรเมธี



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

DMC NEWS