คาถากันยักษ์ ตอนที่ ๓


[ 20 มิ.ย. 2556 ] - [ 18264 ] LINE it!

คาถากันยักษ์ ตอนที่ ๓
 
 
 
     ความเมตตาปรารถนาดีต่อสรรพ สัตว์ทั้งหลาย เป็นทางมาแห่งสันติภาพอันไพบูลย์ การอยู่ร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อย อาศัย มีน้ำใจไมตรีต่อกัน จะทำให้สังคมอยู่อย่างสงบสุข เป็นสังคมในอุดมคติที่มี ความเข้าใจกัน ไม่มีการแก่งแย่งรบราฆ่าฟันกันเช่นที่เห็นเป็นประจำทุกวัน ความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นจากดวงใจของผู้เต็มเปี่ยมด้วยกระแสแห่งเมตตาธรรม จะ ช่วยเชื่อมประสานรอยร้าวแห่งความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นได้ ยิ่งกระแสแห่งความ บริสุทธิ์บังเกิดขึ้นมากเท่าใด ก็จะช่วยให้โลกเข้าสู่ยุคทองของสันติภาพได้เร็วเท่า นั้น  ดังนั้น เราควรจะมาแสวงหาความบริสุทธิ์จากการเจริญภาวนา กัน
 
มีวาระแห่งภาษิตอยู่ใน อาฏานาฏิยสูตร ความ ว่า
 
     “ขอนอบน้อมแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้มีพระจักษุ มีพระสิริ ขอนอบน้อมแด่พระสิขีพุทธเจ้า ผู้ทรงอนุเคราะห์แก่สัตว์ ทั่วหน้า ขอนอบน้อมแด่พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้ชำระกิเลส มีความเพียร ขอนอบ น้อมแด่พระกกุสันธพุทธเจ้า ผู้ทรงย่ำยีมารและเสนามาร ขอนอบน้อมแด่พระโก นาคมนพุทธเจ้า ผู้มีบาปอันลอยแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ ขอนอบน้อมแด่พระกัส สปพุทธเจ้า ผู้พ้นพิเศษแล้วในธรรมทั้งปวง ขอนอบน้อมแด่พระอังคีรสพุทธเจ้า ผู้ศากยบุตร ผู้มีพระสิริ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ได้ทรงแสดงธรรมนี้อัน เป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวง อนึ่ง พระพุทธเจ้าเหล่าใด ผู้ดับแล้วในโลก ทรง เห็นแจ้งแล้วตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าเหล่านั้นเป็นผู้ไม่ส่อเสียด เป็นผู้ยิ่ง ใหญ่ปราศจากความครั่นคร้าม”
 
     คำนอบน้อมนี้ เป็นใจความสำคัญยิ่งที่ท้าวเวสสวัณมหาราช กราบทูลถวายพระผู้ มีพระภาคเจ้า เป็นใจความที่เรียกว่า อาฏานาฏิยรักษ์ ท่านตั้งใจทูลพระพุทธองค์ เพื่อจะได้ตรัสบอก แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่ต้องเข้าไปบำเพ็ญเพียรในป่าลึก อันเป็นการ ป้องกันภัยจากอมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นยักษ์ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ หรือนาคที่ดุ ร้ายไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
 
     * เหตุการณ์นี้เกิด ขึ้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้เมืองราชคฤห์ ท้าว มหาราชทั้ง ๔ เข้าไปรับบุญในการคุ้มครองทั้ง ๔ ทิศ ทรงตั้งกองทัพป้องกันไว้ ทุกทิศ พร้อมด้วยเสนายักษ์ เสนาคนธรรพ์ เสนากุมภัณฑ์ และเสนานาคจำนวน มากมาย
 
     ยามเที่ยงคืน เหล่าท้าวมหาราชต่างก็เปล่งรัศมีรุ่งเรืองไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค เจ้ายังที่ประทับ หลังจากถวายบังคมแล้ว ท้าวเวสสวัณได้ปรารภถึงบริวารของ ท้าวมหาราชที่ไม่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงพากันรบกวนกลั่นแกล้ง พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่เข้าไปปฏิบัติธรรมในเขตของอมนุษย์เหล่า นั้น ทำให้ปฏิบัติธรรมกันไม่สะดวก บางท่านได้รับอันตรายถึงกับชีวิต
 
     เพราะความไม่สบายพระทัย ท้าวเวสสวัณจึงเข้าไปถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า เล่าสาเหตุที่อมนุษย์เหล่านั้นไม่ชอบใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เพราะพระองค์ สอนให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จและงดเว้น จากการดื่มสุราเมรัย เหล่าอมนุษย์ที่ทำไม่ได้ จึงไม่พอใจพระผู้มีพระภาคเจ้า หา ว่ามาสอนในสิ่งที่ทำให้ตนเองเดือดร้อน จึงกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ คอยกลั่นแกล้ง เหล่าพระสาวกที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม ท้าวเวสสวัณจึงมาทูลคาถากันภัยจากอมนุษย์ โดยมีชื่อว่าอาฏานาฏิยรักษ์
 
     ใจความของบทภาษิตนี้เป็นถ้อยคำที่กล่าวนอบน้อมถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๗ พระองค์ ตั้งแต่ขอนอบน้อมถึงพระวิปัสสีพุทธเจ้า พระสิขีพุทธเจ้า พระเวสสภู พุทธเจ้า พระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า และ พระองค์สุดท้าย คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั่นเอง
 
     นี่เป็นเรื่องที่หลวงพ่อทบทวน เพื่อพวกเราจะได้เข้าใจง่ายขึ้น หลังจากท้าวเวสส วัณกราบทูลเนื้อความของภาษิตนี้แล้ว ก็ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้ มีพระภาคเจ้า ภาษิตนี้เป็นภาษิตที่สำคัญยิ่ง เพราะจะช่วยให้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก บาสิกา ปลอดภัยจากอมนุษย์ผู้ที่เป็นศัตรูของท้าวมหาราช ขอพระองค์โปรดตรัส บอกใจความแห่งภาษิตนี้แก่พระสาวกเถิด จะได้เป็นทางมาแห่งบุญของข้า พระองค์ด้วย ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ อาฏานาฏิยรักษ์นี้จะเป็นไปเพื่อคุ้มครองรักษา ไม่เบียดเบียน และเพื่อความอยู่สำราญของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้ง หลาย”
 
     เมื่อทูลย้ำพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วก็ทูลลา จากนั้นท้าวมหาราชทั้ง ๔ ลุกจาก อาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณ แล้วอันตรธานจากไป ต่อจากนั้น พวกยักษ์บริวารต่างลุกจากอาสนะ บางพวกถวายบังคมพระผู้มีพระ ภาคเจ้ากระทำประทักษิณแล้วอันตรธานไป บางพวกปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค เจ้าต่อ ครั้นผ่านการปราศรัยอันเป็นที่ระลึกถึงกันแล้วก็ทูลลาจากไป บางพวก ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับแล้วจึงอันตรธานไป บางพวก ประกาศชื่อและโคตรแล้วอันตรธานจากไป บางพวกนั่งนิ่งๆ สักครู่ แล้วค่อย อันตรธานไป
 
     รุ่งขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกประชุมภิกษุทั้งหลาย ตรัสเล่าเรื่องราวให้ฟังว่า “เมื่อคืนนี้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตั้งกองรักษาไว้ทั้ง ๔ ทิศ ตั้งกองทัพไว้ทุกทิศ ตั้งผู้ ตรวจการไว้ทุกทิศ ครั้นเที่ยงคืนก็เปล่งรัศมีที่งดงามยิ่ง ทำให้ภูเขาคิชฌกูฏสว่าง ไสว จากนั้นเข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ไหว้เราแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง มีพวก ยักษ์จำนวนมากมาพร้อมกับท้าวมหาราชจำนวนมาก ยักษ์เหล่านั้นบางพวกไหว้ เราแล้วนั่ง บางพวกปราศรัยกับเราแล้วนั่ง บางพวกประนมอัญชลีไปทางที่เราอยู่ แล้วจึงนั่ง บางพวกประกาศชื่อและโคตรแล้วจึงนั่ง แต่ยังมีบางพวกที่นั่งนิ่งไม่ ยอมทำสิ่งใดทั้งสิ้น
 
     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท้าวเวสสวัณมหาราชนั่งแล้วกล่าวกับเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ ยักษ์ชั้นสูงบางพวกไม่เลื่อมใสพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มี ที่เลื่อมใสพระผู้มี พระภาคเจ้าก็มี ยักษ์ชั้นกลางทั้งหลายที่ไม่เลื่อมใสก็มี ที่เลื่อมใสก็มี ยักษ์ชั้นต่ำ ทั้งหลายที่ไม่เลื่อมใสก็มี เลื่อมใสก็มี แต่โดยมากยักษ์มิได้เลื่อมใสต่อพระผู้มีพระ ภาคเจ้า สาเหตุเนื่องมาจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่องดเว้นจาก ปาณาติบาต เว้นจากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร จากมุสาวาท จากการ ดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ส่วนมากพวกยักษ์จะเป็นผู้ทุศีล พระองค์จึงไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของพวกยักษ์เหล่านั้น เมื่อไม่เลื่อมใสก็ หาทางกลั่นแกล้งเหล่าพระสาวกที่ปฏิบัติธรรมในเสนาสนะอันสงัดตามราวป่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงเรียนอาฏานาฏิยรักษ์ เพื่อให้ยักษ์พวกนั้นเลื่อมใส เพื่อคุ้มครองรักษาพุทธบริษัททั้งหลายด้วย
 
     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรารับโดยดุษณีภาพ ท้าวเวสสวัณมหาราชดีพระทัย ได้ กล่าวอาฏานาฏิยรักษ์แล้วจึงหลีกไป พวกเธอจงเรียนอาฏานาฏิยรักษ์นี้เถิดเพื่อ ความอยู่เป็นสุขในพรหมจรรย์ของพวกเธอ” ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส พุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นล้วนชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งใจทรงจำอย่างดี แล้วนำไปถ่ายทอดต่อๆกันไป
 
     เราจะเห็นว่า การทรงจำพระคาถาที่ ว่าด้วยคุณอันยิ่งใหญ่ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก่อให้เกิดสันติสุขและความ ปลอดภัยในชีวิต อีกทั้งยังได้รับความคุ้มครองจากอมนุษย์ทั้งหลาย หากบุคคลใด มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เจริญพุทธานุสติอยู่ในใจแล้ว บุคคลนั้นย่อม มีแต่ความเจริญ และปลอดภัยจากภัยพิบัติที่เรามองไม่เห็นตัว ขอให้พวกเรา หมั่นตรึกระลึกนึกถึงองค์พระใสๆ ให้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อยู่ตลอด เวลากันทุกๆ คน

 
พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหา มุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๑๖ หน้า ๑๒๓
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ความเกียจคร้านมีแต่โทษความเกียจคร้านมีแต่โทษ

อาศัยมานะเพื่อละมานะอาศัยมานะเพื่อละมานะ

ตัณหาไม่สิ้นสุดตัณหาไม่สิ้นสุด



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน