เมื่อเวลา
14.00 น. วันที่ 11 พ.ค. ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) มีเสวนาเรื่อง "สำรวจความสุข ยุคจตุคามรามเทพ"
โดยมีพระอาจารย์ดุษฎี เมธังกุโร จากสำนักสงฆ์ทุ่งไผ่ จ.ชุมพร และน.พ.บัญชา
พงษ์พานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ จ.นครศรีธรรมราช
และศิษย์ใกล้ชิดพระพุทธทาส ร่วมเสวนาน.พ.บัญชากล่าวว่า การสร้างจตุคามรามเทพยุคแรกๆ เพื่อแก้ดวงเมืองของเมืองนคร ที่เชื่อกันว่าถูกผูกอาถรรพ์ไว้ โดยจำหน่ายเพียง 39-49 บาท แต่ยุคปัจจุบันกระแสนิยมและแรงศรัทธาที่มีต่อจตุคามฯ แผ่ขยายไปทั่วประเทศ มีการผลิตและเช่าบูชาเป็นจำนวนมาก มีเที่ยวบินไปลงที่จ.นครศรีธรรมราช เพิ่มมากขึ้น เป็นการสนองความสุขของผู้ที่สะสมอย่างแท้จริง ส่วนประเด็นสำคัญที่คนนิยมก็คือ ขอให้ได้รับ มีกูไว้มึงไม่มีจน แต่สิ่งที่ตนเป็นห่วงในเรื่องนี้คือจะทำอย่างไรให้กระแสนิยมนี้เป็นไปอย่างยั่งยืน วิธีเดียวที่จะทำได้คือนำเรื่องนี้กลับสู่เรื่องเดิม นั่นคือนำพาสิ่งที่ทุกคนศรัทธากลับไปสู่พระธรรม
ชีวิตคนเรายุคปัจจุบันนี้ถูกกดดันจากความโลภ ทำให้วิธีคิดของคนเปลี่ยน
ซึ่งเป็นจุดที่อ่อนแอมาก ต้องนำเอาศีลและพระธรรมมากำกับใจให้ได้
ด้านพระอาจารย์ดุษฎี เมธังกุโร กล่าวว่า กระแสจตุคามฯ บางกระแสก็ว่ามาจากลังกาที่มีความเชื่อว่ามีเทพ 4 องค์ คือพระลักษมณ์ พระราม พระสุทนต์ พระขันธกุมาร และมีความคล้ายคลึงกับการบูชารัชกาลที่ 5 ที่คนไทยนับถือ คือมีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์ แต่ถูกยกเป็นเทพคอยคุ้มครองปกป้องประชาชน ตอนหลังมีคนโยงไปเชื่อมเกี่ยวกับท้าวจตุโลกบาล ซึ่งเป็นเทพ เพราะมีคำว่าจตุเหมือนกัน เป็นเทพชั้นตํ่าสุดในบรรดาเทพทั้งหมด เราบูชาคนที่เฝ้าบันได ซึ่งพระพุทธเจ้าจะอยู่สูงสุดแต่ตอนนี้เราไปไม่ถึง การศึกษาธรรมะจึงอยู่แค่บันไดขั้นแรกๆ เท่านั้น ขณะที่ในกทม.วัดบางวัดที่ปลุกเสกจตุคามฯ หรือผู้สร้างก็ขาดทุนไม่ใช่จะสำเร็จเหมือนวัดทางใต้เสมอไป เพราะว่าคนไม่เชื่อว่าถ้าสร้างจตุคามรามเทพต้องมีของศักดิ์สิทธิ์ที่ขุนพันธรักษ์ฯมี
พระอาจารย์ดุษฎีกล่าวต่อว่า อาตมาคิดว่าส่วนที่ทำให้จตุคามฯ โด่งดังเพราะว่าการตลาดที่สามารถทำได้มากกว่าพระเครื่องทั่วๆ ไป และในแง่ของศิลปะที่ตัวจตุคามฯ นั้นสวยงาม พระสงฆ์ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะเรื่องเงิน บางทีพระที่สร้างก็ไม่ได้มีจิตศรัทธา แต่ต้องการหาเงินเข้าวัดเท่านั้นเลยทำขึ้นมา ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศปัจจุบันไม่ดี คนไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไร ก็เลยกลายเป็นกระแสความนิยมของจตุคามฯ นั้นเพิ่มขึ้น
"อาตมาคิดว่าการมีจตุคามฯ ไว้ก็ไม่ผิดอะไร แต่ไม่อยากให้คนลุ่มหลงในวัตถุสิ่งของจนเกินไป อย่าห้อยจตุคามฯ แล้วไม่มีสติควรที่จะมีสติอยู่กับตัวดีที่สุด ถ้ามีสติก็จะปลอดภัย ส่วนเรื่องของปาฏิหาริย์เป็นเรื่องของความเชื่อ บางคนห้อยจตุคามฯ แล้วตายก็มี ควรมีข้อปฏิบัติในเรื่องของธรรมะควบคู่ไปด้วย" พระอาจารย์ดุษฎีกล่าว
ด้านพระอาจารย์ดุษฎี เมธังกุโร กล่าวว่า กระแสจตุคามฯ บางกระแสก็ว่ามาจากลังกาที่มีความเชื่อว่ามีเทพ 4 องค์ คือพระลักษมณ์ พระราม พระสุทนต์ พระขันธกุมาร และมีความคล้ายคลึงกับการบูชารัชกาลที่ 5 ที่คนไทยนับถือ คือมีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์ แต่ถูกยกเป็นเทพคอยคุ้มครองปกป้องประชาชน ตอนหลังมีคนโยงไปเชื่อมเกี่ยวกับท้าวจตุโลกบาล ซึ่งเป็นเทพ เพราะมีคำว่าจตุเหมือนกัน เป็นเทพชั้นตํ่าสุดในบรรดาเทพทั้งหมด เราบูชาคนที่เฝ้าบันได ซึ่งพระพุทธเจ้าจะอยู่สูงสุดแต่ตอนนี้เราไปไม่ถึง การศึกษาธรรมะจึงอยู่แค่บันไดขั้นแรกๆ เท่านั้น ขณะที่ในกทม.วัดบางวัดที่ปลุกเสกจตุคามฯ หรือผู้สร้างก็ขาดทุนไม่ใช่จะสำเร็จเหมือนวัดทางใต้เสมอไป เพราะว่าคนไม่เชื่อว่าถ้าสร้างจตุคามรามเทพต้องมีของศักดิ์สิทธิ์ที่ขุนพันธรักษ์ฯมี
พระอาจารย์ดุษฎีกล่าวต่อว่า อาตมาคิดว่าส่วนที่ทำให้จตุคามฯ โด่งดังเพราะว่าการตลาดที่สามารถทำได้มากกว่าพระเครื่องทั่วๆ ไป และในแง่ของศิลปะที่ตัวจตุคามฯ นั้นสวยงาม พระสงฆ์ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะเรื่องเงิน บางทีพระที่สร้างก็ไม่ได้มีจิตศรัทธา แต่ต้องการหาเงินเข้าวัดเท่านั้นเลยทำขึ้นมา ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศปัจจุบันไม่ดี คนไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไร ก็เลยกลายเป็นกระแสความนิยมของจตุคามฯ นั้นเพิ่มขึ้น
"อาตมาคิดว่าการมีจตุคามฯ ไว้ก็ไม่ผิดอะไร แต่ไม่อยากให้คนลุ่มหลงในวัตถุสิ่งของจนเกินไป อย่าห้อยจตุคามฯ แล้วไม่มีสติควรที่จะมีสติอยู่กับตัวดีที่สุด ถ้ามีสติก็จะปลอดภัย ส่วนเรื่องของปาฏิหาริย์เป็นเรื่องของความเชื่อ บางคนห้อยจตุคามฯ แล้วตายก็มี ควรมีข้อปฏิบัติในเรื่องของธรรมะควบคู่ไปด้วย" พระอาจารย์ดุษฎีกล่าว
ที่มา-
Desktop Version
