แนะปรับการผลิตกำลังคนสอดรับความต้องการประเทศ หนุนเด็กเรียนสายวิทย์เพิ่มร้อยละ 65
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม นายปณิธาน ยามวินิจ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้นำเสนอ "ยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมหลัก" ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อผลิตกำลังคนตามความต้องการของประเทศ ที่โรงแรมโรสการ์เด้น จ.นครปฐม จัดโดยสำนักงานสภาการศึกษา (สกศ.) ว่า แม้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ซึ่งจะเริ่มใช้ในปีนี้ จะวางแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจโดยยึดปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" ของในหลวง แต่ไทยยังต้องแข่งขันกับประเทศอื่นๆ จำเป็นต้องเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พร้อมทั้งปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ขณะนี้ระบบเศรษฐกิจไทยเน้นการผลิตบนฐานทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ใช่เศรษฐกิจบนฐานความรู้และสินค้าที่ผลิตมีมูลค่าต่ำ แต่บริโภคพลังงานและทรัพยากรในการผลิตที่สูงมาก
"5 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ปี 2549 มีการผลิตกำลังคนระดับปริญญาตรี ปวส. ปวช. ทั้งหมด 2,300,000 คน แต่อุตสาหกรรมหลักทั้ง 13 สาขา ต้องการแค่ 300,000 คน แบ่งเป็นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 85,000 คน และไม่ใช่ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 210,000 คน ที่เหลืออีก 2,000,000 คน เป็นแรงงานที่เกินความต้องการ ต้องหางานอื่นทำแทน หรือทำงานต่ำกว่าวุฒิการศึกษา และอีก 5-7 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมทั้งหมดและภาคบริการ ท่องเที่ยว ต้องการแรงงานทั้งหมด 1 ล้านคน และมีอุตสาหกรรมบางสาขาขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก เช่น อุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ยาง" นายปณิธาน กล่าว
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่มีความหวังและควรส่งเสริม เช่น ไบโอเคมี ยา ปิโตรเคมี ยาง เครื่องประดับ แฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งสถาบันอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา ควรปรับการผลิตคนเพื่อป้อนอุตสาหกรรมเหล่านี้ และระดับมัธยมควรเพิ่มสายวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 55 เพิ่มเป็นร้อยละ 65 ให้ได้ในปี 2552 รวมถึงพัฒนาคน เพราะปัจจุบันแรงงานขาดการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เรียนรู้งานได้ล่าช้า โดยเฉพาะทักษะภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ ทั้งที่มีความจำเป็นในโลกปัจจุบันอย่างมาก
ที่มาจากหนังสือพิมพ์