ต้นบัญญัติมารยาทไทย ตอนที่ ๒ บ่อเกิดของมารยาทไทย หมวดที่ ๑ สารูป


[ 12 ต.ค. 2558 ] - [ 18268 ] LINE it!

ต้นบัญญัติมารยาทไทย
ตอนที่ ๒ บ่อเกิดของมารยาทไทย หมวดที่ ๑ สารูป

เรื่อง : พระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

     ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็เกี่ยวกับการรักษารูปของเรา คือ เรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวและกิริยามารยาทต่าง ๆ ซึ่งของพระภิกษุท่านว่าไว้อย่างนี้
 
     ข้อ ๑-๒ “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่ง-จักห่มให้เรียบร้อย”

     ของพระภิกษุมีวินัยไว้เลย จะน่งุ หม่ ต้องให้เรียบร้อย เอ๊ะ! ต้องมาสอนกันด้วยหรือเรื่องนุ่งเรื่องห่ม สอนสิ..ถ้าใครนุ่งห่มเรียบร้อย ก็จะรอดตัวไม่เป็นที่น่ารังเกียจของใคร แต่ถ้านุ่งห่มไม่เรียบร้อยละก็ ภาษาพระท่านเรียกว่า นุ่งชั่วห่มชั่ว พอคำว่า “ชั่ว” เข้ามาในสิ่งอะไรละก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าเข้าใกล้ทั้งนั้น

     ทำไม?…

     เพราะว่า พอนุ่งชั่วห่มชั่วเข้า ตั้งแต่ทำให้ขวางหูขวางตาหรือมิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายจากเพศตรงข้าม เดี๋ยวเถิดนุ่งชั่วห่มชั่วจะยั่วกิเลสกาม แล้วก็กลายเป็นขุดบ่อล่อจระเข้ เดี๋ยวตัวเองจะเดือดร้อน
 

     พระภิกษุนุ่งอย่างไร?

     พระภิกษุนุ่งสบง ถ้าจะให้เรียบร้อยท่านบอกไว้ชัดว่า “นุ่งแล้วให้ชายผ้าครึ่งหน้าแข้ง” คือ อยู่ตรงกลางระหว่างหัวเข่ากับข้อเท้า แล้วจัดให้เรียบร้อย ขอบไม่ให้ย้วยหน้าย้วยหลังอย่างนี้เรียกว่านุ่งเรียบร้อย

     ถ้าฟังอย่างนี้ พวกเราอาจยังนึกไม่ออกลองนึกถึงเวลาอยู่บ้าน คือที่เป็นปัญหาอยู่ขณะนี้ โดยเฉพาะคุณผู้หญิง จะตัดผ้าถุงก็ดีจะตัดกระโปรงก็ดี ควรจะยาวแค่ไหน ถ้าบอกว่าให้ยาวครึ่งหน้าแข้ง หลายคนจะหน้าเบ้เชยแหลก แต่จริง ๆ ถูกต้องที่สุด ชุดมินิตลอดจนชุดที่ยกขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามลำดับจากพ้นครึ่งหน้าแข้งขึ้นมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกว่านุ่งชั่วหมด ทำไมล่ะ ถ้าเป็นคุณผู้หญิงนี่ล่อกิเลสกาม ขุดบ่อล่อจระเข้ เดี๋ยวเถิดจะถูกคาบเอาไป เจ้าจระเข้มันจ้องอยู่ เดี๋ยวขย้ำเสร็จ

     เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะให้ตัวเองปลอดภัยพยายามเถิด กระโปรงของเรา ผ้าถุงของเรากางเกงของเรา ถ้าจะให้ปลอดภัยจริง ๆพยายามดึงลงมาให้ถึงครึ่งหน้าแข้ง มิฉะนั้นจะกลายเป็นนุ่งชั่ว ขนาดพระภิกษุท่านยังต้องระวังเลย

     เคยนึกบ้างไหม ถ้าพระภิกษุนุ่งสบงแค่หัวเข่าจะเป็นอย่างไร ขนาดพระภิกษุเป็นผู้ชายนุ่งสบงแค่หัวเข่าดูเผิน ๆ ไม่น่าเสียหาย แต่ว่าจริง ๆ แล้วเสียหาย เพราะว่าไม่น่าดู ขนหน้าแข้งยาวเป็นคืบเชียว ออกมาในลักษณะน่ารังเกียจเพราะเป็นผู้ชาย แต่ผู้หญิงบางคนก็น่ารังเกียจเหมือนกัน ขาก็ลีบ ๆ แล้วยังอุตส่าห์นุ่งมินินุ่งไมโคร แต่ถ้าขาสวย ๆ ไปนุ่งเข้า นั่นยั่วยุกามารมณ์ ขุดบ่อล่อจระเข้ บางทียังแปลกใจว่าออกมาจากบ้านได้เป็นวัน ๆ หลุดปากจระเข้มาได้อย่างไร กลับบ้านไปดูเสีย กระโปรงของเรา กางเกงของเรา ที่ยังไม่ถึงครึ่งหน้าแข้งพยายามดึงลงมาให้ถึงเถิด

     บางคนอาจจะค้อนแล้วประชดว่า ให้หลวงพ่อเชยไปองค์เดียวเถิด อย่ามาดึงหนูเชยไปด้วยเลย ชักไม่ถูกใจ แต่ลูกเอ๊ย…นี่ถูกต้องที่สุดแล้ว กลับไปทำให้ดี มิฉะนั้นมันล่อแหลมอย่าไปนุ่งเลย อันตราย พระภิกษุเป็นผู้ชายท่านยังต้องนุ่งสบงครึ่งหน้าแข้งเลย

      การห่ม สำหรับธรรมเนียมการห่มจีวรของพระภิกษุก็เหมือนกัน ถ้ายาวเกินไปจะกรอมเท้าลากโคลน ถ้าสั้นเกินไปก็ไม่สวย การห่มของพระภิกษุยังมีธรรมเนียมอีก เคยมีคนบอกว่ามีเด็กมาถาม “ทำไมพระไทยมีหลายก๊กหลายเหล่าเหลือเกิน” คือ บางองค์ห่มคลุมไหล่เดียวปล่อยไหล่อีกข้างไว้ บางองค์ก็ห่มคลุมหมดสองไหล่ บางองค์ห่มคลุมไหล่ข้างเดียวแล้วมีผ้ารัดอก นี่ชุดอะไร นิกายไหน เด็กไม่รู้ก็ถามแล้วผู้ใหญ่มาวัดเป็นปี ๆ ตอบไม่ได้อีก หลวงพ่อก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าผู้ใหญ่ก็ไม่รู้เหมือนกัน

     การห่มจีวรของพระภิกษุมีหลายแบบแต่ละแบบใช้ในโอกาสต่าง ๆ กัน ไม่เกี่ยวกับนิกายหรือยุคสมัยใด ๆ ทั้งสิ้น

     แบบที่ ๑ เรียกว่า ห่มลดไหล่ เป็นการห่มนอกพิธีการขณะอยู่ในวัด ถือเหมือนว่าอยู่บ้านตนเอง ก็ห่มพอสบาย ๆ คือ ห่มให้คลุมไหล่ซ้าย แขนซ้าย จนถึงข้อศอก ถ้าห่มคลุมหมดทั้งสองไหล่เดี๋ยวจะร้อนไป จึงปล่อยให้ได้ลมสักหน่อยทางด้านขวา และเผื่อจะหยิบข้าวหยิบของอะไรจะได้ถนัด ห่มอย่างนี้บางทีก็เรียกห่มเฉวียงบ่า

     ถ้าเปรียบกับฆราวาส การห่มลดไหล่ ก็เสมือนกับการแต่งตัวชุดอยู่บ้าน คือ นุ่งห่มแบบหลวม ๆ ยืน-เดิน-นั่ง-นอนจะได้สบาย ๆ ทำงานก็คล่องตัว

     แบบที่ ๒ เรียกว่า ห่มคลุม คือ ต้องห่มคลุมให้มิดหมดทั้ง ๒ ไหล่ คลุมจนกระทั่งไม่เห็นหลุมคอหรือไหปลาร้าของเรา ถ้าปล่อยให้โผล่ออกมาเมื่อไรถือว่าห่มไม่เรียบร้อย ยิ่งกว่านั้นยังต้องจีบม้วนเก็บชายให้เรียบร้อยไม่ใช่สักแต่ว่าพัน ๆ เอา การห่มคลุมใช้ในโอกาสที่ออกไปนอกวัด

     แบบที่ ๓ เรียกว่า ห่มดอง เป็นการห่มที่รัดกุมทะมัดทะแมงมาก คือ ห่มคลุมไหล่ซ้ายจนมาถึงปลายข้อศอก เปิดแขนขวา โดยปลายจีวรอยู่ใต้รักแร้ และพาดทับไหล่ซ้ายซึ่งมีผ้าสังฆาฏิพาดเฉียงยาวลงมาที่กลางอกทับไหล่ซ้ายอีกทีหนึ่ง และผ้ารัดอกรัดอยู่เหนือเอวผูกขวาทับซ้ายและม้วนเป็นดอกบัว ใช้ห่มขณะประกอบพิธีกรรมของสงฆ์ภายในวัด เช่น ในพิธีบวช ฟังสวดปาฏิโมกข์ เป็นต้น และในพระวินัยก็กำหนดให้พระธุดงค์ห่มจีวรแบบห่มดอง

     การห่มจีวรขณะอยู่วัด แม้ห่มคลุมไหล่ข้างเดียว ถือความสะดวกสบายพอสมควร ถึงอย่างนั้นก็ต้องให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยให้ย้วยหน้าย้วยหลัง คือ ให้ชายจีวรที่ห่มต่ำกว่าชายสบงที่นุ่งเล็กน้อย และไม่ห่มเสียยาวย้วยลงไปลากดิน ไม่สั้นเต่อ ๆ ลอยเริดขึ้นมาจนเห็นสบง

      โดยย่อ การนุ่งเบื้องบนจะต้องปิดสะดือเบื้องล่างจะต้องปิดเข่าลงมาครึ่งแข้ง การห่มต้องทำมุมผ้าทั้งสองให้เสมอกัน และต้องไม่ปล่อยให้ผ้าเลื้อยหน้าเลื้อยหลัง

     จากธรรมเนียมของพระภิกษุ ภิกษุณีกลายมาเป็นธรรมเนียมการนุ่งผ้าถุงของหญิงไทย “ตั้งแต่โบราณมาล้วนนุ่งกันครึ่งหน้าแข้งทั้งนั้น” เพราะฉะนั้นคดีข่มขืนในสมัยปู่ย่าตายายของเราจึงไม่ค่อยมี

     คนเราเริ่มเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ ๑๕-๑๖ ปี เรื่อยมา เมื่อเริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ควรพยายามนุ่งห่มให้สุภาพตามพระภิกษุ แม้เด็กเล็ก ๆ ก็เช่นกัน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง จะให้มานุ่งกระโปรงสั้นฟู่ ๆ ฟ่า ๆ เพราะคิดว่าคงไม่เป็นไรก็ขอเตือนว่าไม่สมควร เพราะจะเพาะนิสัยชอบนุ่งชั่วห่มชั่ว และเหมือนกับช่วยเร่งให้เด็กโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วเกินวัย

     การเร่งให้เด็กมีร่างกายเติบโต สุขภาพพลานามัยแข็งแรงนั้นดีแล้ว แต่การเร่งให้เกิดความรู้สึกเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็ว ๆ กลับไม่ดีก่อนจะอธิบายสาเหตุ ขอเท้าความหลังประกอบสักหน่อย

     หลวงพ่อเกิดและโตในชนบท สมัยนั้นน้ำก๊อก น้ำประปาไม่มีใช้ จะอาบน้ำแต่ละทีก็ต้องไปอาบที่แม่น้ำ ขออภัยเถิด ถอดเสื้อ ถอดกางเกงได้ก็กระโดดน้ำเล่นกันตูม ๆ สนุกดี อย่างที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เราเห็นกันทุกวันนี้แหละ แก้ผ้ากระโดดกันมาจนกระทั่งอายุ ๑๔ ปี พอเริ่มจะเข้าอายุ ๑๕ ชักอาย จึงนุ่งผ้าขาวม้าลงมาเล่นน้ำ

      เท่านั้นแหละได้เรื่อง คุณป้าท่านผ่านมาเห็นเข้า (ขณะนี้ถ้าคุณป้ายังมีชีวิตอยู่ ขาดอีกปีสองปีอายุคงครบ ๑๐๐ ปีแล้ว) ท่านร้องเอะอะขึ้นมาทีเดียว ท่านว่า…“โอ๊ย…ไอ้เด็กเดี๋ยวนี้ทำไมมันเป็นหนุ่มเป็นสาวกันเร็วจัง ดัดจริตเหลือเกิน ตอนป้าอายุ ๑๘-๑๙ ยังแก้ผ้าวิ่งเล่นกันเป็นหมู่ โดดน้ำ    กันตูม ๆ ไม่เห็นต้องวุ่นวายเรื่องผ้าเรื่องผ่อน…”(เรานุ่งผ้าเล่นน้ำกลับถูกหาว่าดัดจริตเสียนี่…) ฟังคุณป้าพูดตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไรต่อมาก่อนจะบวชได้อ่านบันทึกของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพครั้งเสด็จภาคใต้พบข้อความทำนองเดียวกับที่ป้าพูดเข้าอีก ท่านบันทึกว่า

     “…นั่งเรือไปภาคใต้ ตรวจตามจังหวัดต่าง ๆ ได้พบว่า ในชนบทหลาย ๆ แห่ง เด็ก ๆ ทั้งหญิงทั้งชายอายุตั้งแต่ ๑๙-๒๐ แล้ว ยังแก้ผ้าเล่นตี่จับกันบ้าง เล่นตากระฉูดกันบ้างเห็นแล้วก็รู้สึกแปลกตาดี…”

     ครั้นตอนใกล้ ๆ จะบวช หลวงพ่อพลิกพระไตรปิฎกดูพบข้อความตอนหนึ่งบอกว่า “นับตั้งแต่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานไปแล้ว ทุก ๆ ๑๐๐ ปี อายุมนุษย์จะลดลง ๑ ปี” อายุเฉลี่ยของมนุษย์ในสมัยพุทธกาลนั้น ๑๐๐ ปี จึงจะตาย เพราะฉะนั้น พ.ศ. ๑๐๐ อายุ เฉลี่ยของมนุษย์จะลดลงเหลือ ๙๙ ปี พ.ศ. ๒๐๐ จะลดลงเหลือ ๙๘ ปี พ.ศ. ๒๐๐๐ อายุเฉลี่ยของมนุษย์ทั้งโลกก็จะลดเหลือ ๘๐ ปี พ.ศ.  ๒๕๐๐ อายุเฉลี่ยก็เหลือ ๗๕ ปี

     นี่เราอยู่ช่วงอายุเฉลี่ย ๗๕ ปี ต่อไปก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดอายุของมนุษย์ทั้งโลกโดยเฉลี่ยก็จะเหลือเพียง ๑๐ ปี เป็นอย่างมาก คือ มีอายุพอ ๆ กับ หมู หมา กา ไก่

     เมื่อถึงยุคนั้น มนุษย์ก็จะมีสภาพคล้ายสัตว์เป็นกลียุค พ่อ-แม่ก็ฆ่ากันได้ ลูกก็ฆ่าพ่อได้พ่อก็ฆ่าลูกได้ จับพลัดจับผลูลูกก็อาจไปคว้าแม่มาทำเมีย พ่อหันไปหันมาก็ไปคว้าเอาลูกสาวตัวเองทำเมียเข้าอีก ว่ากันให้กลุ้มกลัดไปหมด

     พออ่านถึงตรงนี้ก็เริ่มสะดุดใจ ทำไมล่ะ?…คิดดูนะเมื่อคนเราอายุเฉลี่ยทั้งโลกเพียง ๑๐ ปี จะเป็นหนุ่มเป็นสาวกันเมื่อไร แน่นอน…อายุ แค่ ๒-๓ ขวบ ก็เป็นสาวเป็นหนุ่มกันแล้ว พวกผู้ชายพอ ๒ ขวบ ก็อ้อนพ่อแล้ว “พ่อ…กินเหล้ากันเถอะ พ่อ…อยากจะมีเมีย..”

     พวกผู้หญิงก็กระซิบแม่

     “แม่…หนูเหงาเหลือเกิน อยากจะมีสามี…”

     แล้วเป็นอย่างไร จะเอาเวลาที่ไหนไปศึกษาธรรมะ จะเอาอะไรเป็นหลักพิจารณาว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร พอโตขึ้นมาปั๊บก็คิดแต่จะสืบพันธุ์มีลูกมีหลาน ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดียรัจฉาน ให้ศึกษาธรรมะก็ไม่เอา วัน ๆ รู้จักแต่เรื่องทำมาหากินกับสืบพันธุ์ไม่ต้องดูอื่นไกล เทียบเคียงเอาจากเพื่อนรุ่นเดียวกับเรานี่แหละ เพื่อนบางคนอายุ ๑๔-๑๕ ปี ก็แต่งงานแล้ว แต่เพื่อนบางคนไปแต่งงานเอาเมื่ออายุ ๒๕-๓๐ ปีโน่น ผลที่ได้รับต่างกันอย่างไร

     คนที่แต่งงานเมื่ออายุ ๑๔-๑๕ น่ะ พอแต่งปุ๊บก็แบกภาระครอบครัวอานไปเลย พูดง่าย ๆมุ่งแต่เรื่องทำมาหากินจนหน้าดำคร่ำเครียด โอกาสศึกษาธรรมะไม่มี ส่วนพวกที่รอไปแต่งงานอายุ ๒๕-๓๐ ปี พวกนี้มีเวลาพอ มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะไปด้วย โอกาสเจริญก้าวหน้าจึงมีมาก ฉะนั้นเรื่องวิชาการเร่งให้โตเร็วมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่ความเป็นหนุ่มเป็นสาว อย่าเร่งให้โตเร็วนัก เพราะ…

     ถ้าเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็ว ความขวนขวายที่จะศึกษาธรรมะก็หมดไป มีแต่จะหาคู่ครองแล้วธรรมะก็มีแต่จะสูญไปจากโลกนี้ มีแต่อธรรมเข้ามาครอง เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่ยังเลี้ยงลูกเล็ก ๆ หาทางเถิดว่า ทำอย่างไรถึงจะให้ลูกเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า แต่ว่าให้ก้าวหน้าทางวิชาการมาก ๆ ถ้าทำได้อย่างนี้ลูกจะเจริญก้าวหน้าเป็นลูกแก้ว ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับแกล้งฆ่าลูก

     ทำอย่างไรจะให้ลูกหญิงลูกชายเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า วิธีง่าย ๆ คือเอาใจใส่เรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของลูกให้มาก ๆ อย่าตามใจลูกนัก เพื่อความถูกต้องเพื่อความเจริญทางด้านจิตใจ เลือกแบบให้สุภาพ สอนให้นุ่งห่มให้เรียบร้อยเข้าไว้ อะไรที่จะเร่งให้ลูกมีความรู้สึกเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วต้องรีบกำจัดเสีย นั่นแหละลูกจึงจะเอาตัวรอดได้ เป็นความชื่นอกชื่นใจของเราตราบเท่าวัยชรา
 

(อ่านต่อฉบับหน้า)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
กฐินทาน กาลทานที่มีผลานิสงส์มากกฐินทาน กาลทานที่มีผลานิสงส์มาก

อานิสงส์การให้ทานอานิสงส์การให้ทาน

เหตุการณ์สำคัญในวันตั้งมโนปณิธานว่าจะบวชตลอดชีวิตเหตุการณ์สำคัญในวันตั้งมโนปณิธานว่าจะบวชตลอดชีวิต



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

Review รายการ