แอนโทรโปซีน ยุคมนุษย์ครองโลก


[ 7 พ.ค. 2562 ] - [ 18267 ] LINE it!

แอนโทรโปซีน ยุคมนุษย์ครองโลก
การกระทำและการบริโภคของมนุษย์ จะส่งผลต่อธรณีวิทยา ทำให้โลกเราไปสู่ยุคที่เรียกว่า ยุคแอนโทรโปรซีนที่จะเปลี่ยนโฉมโลกเราไปอีกนับล้านปี
 
เรื่อง : พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)
จากรายการทันโลกทันธรรม ออกอากาศทางช่อง GBN
 

ยุคแอนโทรโปรซีนเป็นอย่างไร?
 
          ยุคแอนโทรโปรซีน คือ ชื่อมาจากคำว่า Anthropo แปลว่า มนุษย์ cene  แปลว่า ใหม่ ถ้าแปลความหมาย ก็คือยุคมนุษย์ใหม่ ถูกตั้งขึ้นในการประชุม  พอล ครูตเซน paul crutzen ซึ่งเป็นนักเคมีชาวเนเธอร์แลนด์ ได้พูดคำนี้ขึ้นในที่ประชุมในช่วงมิลิเนี่ยม (ในช่วง ปี 2000) ซึ่งช่วงนั้นถือว่าเป็นการเปลี่ยนฉากของประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง คือในยุคเกษตรกรรมมนุษย์เราอยู่กับธรรมชาติ แต่ยุคแอนโทรโปรซีน เริ่มตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมที่มีการผลิตสิ่งต่างๆขึ้นมา กลายเป็นมนุษย์ได้สร้างรอยนิ้วมือนิ้วเท้าที่เรียกว่า finger print food print ลงไปบนแผ่นดินในโลกมนุษย์ใบนี้เอาไว้ มากมายแกะไม่ออก และอีก 100,000 ปีข้างหน้า หรืออีก 1,000,000 ปีข้างหน้า ถ้ามนุษย์ในยุคนั้น จะเป็นมนุษย์ต่างดาวก็ตาม เอาดินของเราไปตรวจ ก็จะเจอซากที่เป็น finger print  กับ foot print  ของมนุษย์สร้างขึ้น ก็เลยเรียกว่ายุคแอนโทรโปรซีน  เป็นที่มาของคำว่า ยุคมนุษย์ครองโลก
 

 
          การที่มนุษย์สร้างอะลูมิเนียม แล้วถลุงออกมาเอามาใช้กลายเป็นพลาสติก คอนกรีตเริ่มสร้างในยุคกรีกโบราณ อนุภาคคาร์บอน ยากำจัดศัตรูพืช สารกัมมันตรังสีต่างๆ แล้วส่งผลกระทบในเชิงโลกร้อนน้ำแข็งละลาย ฯลฯ เหล่านี้ เรียกว่าร่องรอย ซากดึกดำบรรพ์ในตอนนี้ ยุคนี้เรียกว่า ยุคแอนโทรโปรซีน เพราะเป็นซากดึกดำบรรพ์ของ เทคโนฟอสซิล
 
เทคโนฟอสซิล เป็นซากดึกดำบรรพ์มีอะไรบ้าง? 
 

          อย่างแรกแรกคือพลาสติก ปัจจุบันนี้พบว่า พลาสติกได้แทรกเข้าไปในชั้นหินที่สะสมตัวอยู่ ตามท้องทะเล เนื่องจากการใช้พลาสติกทุกอย่างลงไปสู่ทะเล เป็นการสั่งสมกันมากขึ้น เนื่องจากพลาสติกย่อยสลายลำบาก 
          2.คอนกรีต 
          3.คาร์บอนแบล็ค คือการที่เผาถ่านพวกพลังงานฟอสซิลจนได้คาร์บอนดำออกมา ต่อไปทุกที่จะมีคาร์บอนแบล็คเหลือเป็นร่องรอยไว้ 
          4.พลูโตเนียม 239 และ พลูโตเนียม  240 ซึ่งเป็นสารกัมมันตภาพรังสี ส่วนใหญ่จะอยู่ในดินลึกมาก แต่ในยุค 1940 มีการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ กว่าจะประชุมมีสนธิสัญญาให้เลิกทดลอง ปรากฏว่าพลูโตเนียม 239 และ พลูโตเนียม 240 กระจายไปทั่วแล้วและใช้เวลาอีก 100,000 ปี จึงจะสลายได้หมด

 
          5.คาร์บอนไดออกไซด์ จะมีคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มมากขึ้นหลังยุคอุตสาหกรรม คาร์บอน foot print  คือทิ้งร่องรอยของคาร์บอนเอาไว้ 
          6.มีเทน มีเทนมาจากปศุสัตว์ สมัยนี้ปศุสัตว์เป็นแบบอุตสาหกรรม จึงผลิตแก๊สมีเทนจำนวนมากขึ้น การขยายตัวของภาคเกษตรกรรมมากเท่าไหร่ มีเทนก็เพิ่มมากขึ้นเป็น foot print  ของมนุษย์อย่างหนึ่งที่ทิ้งร่องรอยไว้ในโลกใบนี้
          7.ไนตรัสออกไซด์ เคมีธาตุต่างๆถูกจุลินทรีย์ในดินในมหาสมุทรย่อยสลายจะได้ไนตรัสออกไซด์ออกมา ซึ่งสิ่งที่ได้ไนตรัสออกไซด์มากที่สุดปัจจุบันก็คือการใช้ปุ๋ย และการใช้พลังงานฟอสซิล คือน้ำมันที่เติมทุกวัน หากใช้ไฟฟ้าก็จะลดลง แต่การใช้ปุ๋ยก็มีส่วนเพราะปุ๋ยไนโตรเจนก่อให้เกิดไนตรัสออกไซด์เนื่องจากจุลินทรีย์
 
นักวิทยาศาสตร์บอกหรือไม่ว่ายุคแอนโทรโปรซีนเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
 

          ยังไม่ได้ตกลงกัน มีบางคนบอกช่วงปี 1800 เพราะเป็นช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม บางคนก็บอกว่าเป็นช่วงที่เริ่มต้นทดลองอาวุธนิวเคลียร์ คือ 1940 บางคนก็บอกว่าเป็นช่วงปฏิวัติสีเขียว Green Revolution เป็นต้น แต่จะอยู่ช่วงไหนก็ตามได้สั่งสมมาประมาณนี้ แต่สิ่งที่พอล ครูตเซน เขายกขึ้นในปี 1950 เป็นการเร่งปฏิกิริยาครั้งยิ่งใหญ่และรุนแรง หมายความว่าเมื่อก่อนก็มีบ้างไม่มาก แต่พอหลังยุค 1950 เป็นต้นมา การเติบโตทั้งประชากรมนุษย์การใช้ปุ๋ยไนโตรเจน อุตสาหกรรมต่างๆมี ขึ้นมาเยอะ จึงเป็นส่วนที่เร่งให้เกิดยุคแอนโทรโปรซีนหรือว่ายุคที่มีซากสิ่งต่างๆ ที่ตกค้างไว้ ให้รุ่นหลังไว้ดู ไว้ศึกษา
 
จะรับมือกับ Foot print ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างไร?
 

          หน่วยงานต่างๆมีการตั้งมาตรฐาน เช่นมาตรฐานในเรื่องของฉลาก ฉลากคาร์บอน ฉลากเขียว มาตรฐานประเมินอาคาร ลดการใช้พลาสติก การใช้ไบโอดี เกรดดีโบ ต่างๆเหล่านี้เป็นวิธีการที่มนุษย์พยายามที่จะเปลี่ยน Fingerprint ให้มันย่อยสลายได้ จะได้ไม่ไปรบกวนธรรมชาติมากนัก ทุกอย่างยังคงสภาพของความเป็นธรรมชาติ ฟอสซิลก็เป็นฟอสซิลมาจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นธรรมชาติ แต่สิ่งไม่มีชีวิตสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลาย ก็ต้องให้มันย่อยสลายได้ 
 
การแก้ปัญหาต้องที่ต้นเหตุกว่านั้นคือเรื่องจิตใจหรือไม่?
 

          ความจริงแล้วมนุษย์เอง บางทีก็ลืมไปว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการเกิดมาคืออะไร มองไปในเรื่องของเทคโนโลยีความสะดวกสบาย แล้วก็สร้างสิ่งที่ทำให้เกิดความสะดวกสบายขึ้น พอมีความสะดวกสบายขึ้นมา เริ่มมีการสะสมอย่างยิ่งยวด คืออุตสาหกรรมได้เข้ามา สู่การสะสม เมื่อทุกอย่างเอาอุตสาหกรรมเข้ามาจัดการก็เลยพัง เช่น การเกษตร การผลิตอาหารก็ใช้อุตสาหกรรมเข้ามา ทำให้มีเคมีมากขึ้นเรื่อยๆ การใช้วัสดุต่างๆไม่สนใจว่ามันจะมีผลกระทบหรือไม่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างมาจากรากฐานในใจมนุษย์ คือการที่ใจมนุษย์ไม่ได้มองถึงความมุ่งหมายที่แท้จริง แล้วบางทีก็มองไม่ออกว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงไหน ก็ไปเที่ยวแสวงหาความสุข หากไปถามเศรษฐีว่าเขามีอะไรบ้างตอนนี้ ทุกคนจะบอกตรงกันครับว่าเขามีเงินมีทุกอย่าง  แต่ที่ยังไม่มีอย่างเดียวคือ ความสุข เพราะหาผิดที่ การหาความสุขต้องค้นไปภายในใจจนกระทั่งเราเกิดความสุขอยู่ตรงนั้น แล้วการทำธุรกิจจะเป็นธุรกิจในเชิงสังคม เพื่อประโยชน์ในวงกว้าง เพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ทุกอย่างเป็นไป เพื่อ ทำให้ทุกอย่างในโลกนี้ดีขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อแสวงหา แล้วก็แสวงหา เพราะเขาลืมไปว่าเมื่อวันที่ตายไปทรัพย์สมบัติที่หาเอาไว้มันเอาติดตัวไปไม่ได้เลย อุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจต่างๆที่เคยทำไว้ ในโลกหลังความตายนั้นเอาไปใช้ไม่ได้ เครดิตก็ไม่ได้ เงินในบัญชีก็ไม่ได้ บ้านรถต่างๆ ตลอดจนที่ดินโรงงานเอาไปไม่ได้ กลายเป็นว่า ถ้าไม่รู้ตรงจุดนี้แล้ว ก็จะแสวงหาเปล่าแล้วก็ตายไปอย่างไม่มีประโยชน์นั่นเอง
 
ทันธรรม...โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
 
 
          แอนโทรโปรซีน คือ ยุคมนุษย์ใหม่ เพราะยุคมนุษย์ที่ผ่านมาเป็นยุคที่มนุษย์อาศัยธรรมชาติ แต่ในยุคมนุษย์ใหม่ พยายามจะควบคุมธรรมชาติ เอาธรรมชาติสิ่งแวดล้อมมาสนองความต้องการของมนุษย์ จึงเรียกว่า เป็นยุคที่มนุษย์ครองโลก 
 
          มนุษย์เราพัฒนาเทคโนโลยีแล้วหาทางเอาธรรมชาติมาสนองความต้องการของตัวเอง กระบวนการเกิดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชากรโลกเพิ่มอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีพัฒนาไปเร็วมาก กระบวนการผลิตต่างๆ เกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การเอาพลังงานฟอสซิลมาใช้เป็น ไปอย่างกว้างขวาง รถยนต์ทั้งโลกใช้น้ำมัน ปล่อยไอเสียออกมา ปริมาณรวมกันเข้ามันมากขนาดไหน โรงงานต่างๆ เครื่องใช้ของเราเอง มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น แต่ต้องใช้พลังงานในการผลิต ต้องเอาสสารแร่ธาตุมาใช้ในการผลิต ผลิตเสร็จใช้เสร็จกลายเป็นของเสีย พลาสติกก็ย่อยไม่หมด สิ่งเหล่านี้กลายเป็นขยะของโลก ทำให้สิ่งแวดล้อมเสียไปเรื่อยๆ 

 
          ยุคมนุษย์ครองโลกทำให้อะไรๆต่างๆแย่ไปมาก เป็นเพราะ 1.การใช้พลังงานจากการค้นพบเรื่องเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันใช้แก๊สเป็นพลังงาน มนุษย์สะดวกขึ้นจากเดิมต้องใช้ถ่านใช้ไม้ฟืน กลายเป็นเครื่องยนต์ใช้น้ำมัน แต่ก็ปล่อยไอเสียมากมาย จนกระทั่งเข้าสู่ยุคที่ต้องหาพลังงานสะอาด เพราะมันไปต่อไม่รอด 
 

          2.ความเห็นแก่ได้เอาง่ายเข้าว่า เช่น อยากปราบวัชพืช สมัยก่อนใช้พร้าแต่ตอนนี้เอายาฆ่าหญ้าดีกว่า ใส่ลงไปทีเดียวตายนานกว่า ประหยัดค่าแรงมากกว่า แต่ลืมนึกว่ามีผลเสียแค่ไหน สุขภาพทรุดป่วยสารพัดโรค เกิดจากความเห็นแก่ได้เอาง่ายเข้าว่า ฉันใช้ฉันได้ประโยชน์ ส่วนคนอื่นจะเดือดร้อน น้ำพัดมาแล้วยาฆ่าหญ้ากระจายออกไป แทรกอยู่ในพืชผลต่างๆที่เอามากิน ใครจะรับผลอย่างไรไม่สนใจ แต่ฉันได้ประโยชน์ พอเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ปัญหาจึงเกิดเยอะแต่ละคน มือใครยาวสาวได้สาวเอา มีช่องทางไหนจะให้ได้กำไรมากที่สุด เอาเต็มที่กระหายความสำเร็จมากจนเกินไป สุดท้ายเกิดปัญหาเรื่องสินค้าปนเปื้อน สิ่งเป็นพิษ 

 
          ถัดมาคือ อาวุธ โดยเฉพาะเรื่องนิวเคลียร์ พัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์เสร็จ ก็ทดลองระเบิดใต้ดินบนดินในทะเล หมู่เกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิกที่ทดลองนิวเคลียร์ กลายเป็นเกาะที่เป็นเหมือนนรกบนดิน ดูแล้วน่ากลัว เพราะนิวเคลียร์ทำลายทุกอย่างหมดในชั่วพริบตา กลายเป็นเหมือนเกาะที่มีแต่ซาก สิ่งมีชีวิตโดนทำลายไปราบเรียบ ซึ่งทดลองกันเป็นร้อยๆ ลูก เป็น 1,000 ลูก มีอยู่ในสต๊อกเป็นหมื่นลูก หากใช้เมื่อไหร่โลกจะถูกทำลายในพริบตามนุษย์แทบจะสูญพันธุ์ จนไอสไตล์ ผู้คิดค้นพบ วิธีการเอาพลังงานปรมาณูมาใช้ ให้สูตรสมการ E=mc2 บอกว่าผมไม่รู้หรอกว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 มนุษย์จะใช้อาวุธอะไรในการทำลายล้างกัน แต่มั่นใจว่าสงครามโลกครั้งถัดไป คือครั้งที่ 4 มนุษย์จะสู้กันด้วยก้อนหิน แล้วก็หนังสติ๊ก คือจะถูกทำลายจนหมดราบเรียบ 

 
          ดังนั้นโลกเราอยู่บนทางสองแพร่ง จะไปทางไหน หากปล่อยให้เป็นอย่างที่เป็นมาแล้วก็จะเป็นยุคมนุษย์ครองโลกที่ครองเพื่อทำลาย ครองเพื่อจะเอาธรรมชาติมาสนองความต้องการตัวเอง แล้วทำให้ทุกอย่างแย่ลงจนกระทั่งสุดท้ายมนุษย์จะอยู่ไม่ได้ในที่สุด จะเดือดร้อนตัวเอง แต่อีกทางคือเกิดกระแสตื่นตัว เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องมาช่วยกันแก้ไข จึงมีการเน้นความสำคัญของพลังงานสะอาด รถยนต์พยายามใช้รถไฟฟ้า ใช้รถที่ปลอดจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมันหรือแก๊ส) คือรถไฟฟ้าหรือรถไฮบริด เป็นต้น แนวโน้มนี้จะเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อกระแสรถยนต์พลังงานสะอาดเกิดขึ้น อีกไม่นานปั๊มน้ำมันจะทยอยเลิกกิจการ 

 
          มีการตื่นตัวเรื่องคาร์บอนเครดิต ใครปล่อยคาร์บอนออกไปมาก ประเทศไหนปล่อยเยอะ ต้องจ่ายเงินชดเชยเพื่อไปเสริมการปลูกป่า ส่วนคนไหน ประเทศไหนปลูกป่าได้เยอะได้เงินจากการที่ต้นไม้ไปดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นมา แล้วปรับเป็นออกซิเจน เพราะเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียว แล้วก็ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซมีเทน จากการทำการเกษตรการทำปศุสัตว์ เป็นต้น กระบวนการเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น หากแนวโน้มนี้แข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โลกเราเองก็จะเริ่มเข้าสู่วงจรบวก คือดีขึ้น ถ้าอย่างนี้ก็จะเป็นยุคที่มนุษย์ครองโลก โดยอยู่ร่วมกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นสุขพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สอนไว้แล้วว่า เราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น สัตว์อื่น รวมถึงธรรมชาติด้วย แบบเอื้ออาทรกัน เอื้อเฟื้ออิงอาศัยซึ่งกันและกัน
 
 

รับชมคลิปวิดีโอแอนโทรโปรซีน ยุคมนุษย์ครองโลก
ชมวิดีโอแอนโทรโปรซีน ยุคมนุษย์ครองโลก   Download ธรรมะแอนโทรโปรซีน ยุคมนุษย์ครองโลก






Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
future skillsfuture skills

Internet of ThingsInternet of Things

ปล่อยวางให้พ้นใจปล่อยวางให้พ้นใจ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทันโลกทันธรรม