ครั้งแรกของประวัติศาสตร์ชาติมาไซ


[ 17 ต.ค. 2550 ] - [ 18265 ] LINE it!

ครั้งแรกของประวัติศาสตร์ชาติมาไซ
 
    การเดินทางเข้าหมู่บ้านมาไซ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจากตัวเมืองใหญ่ ต้องเดินทางด้วยรถยนต์ ถึง 2วัน (48ชั่วโมง) แล้วต้องเดินเท้าเข้าป่าไปอีก 5ชั่วโมง และเมื่อเรียกว่าป่า ก็ต้องมีสัตว์ป่า
 
 
    ระหว่างทาง ยอดกัลยาณมิตร ต้องผ่านตั้งแต่ สิงโต (50 แรน) คาราบาวป่า (100 แรน) หมูป่า ม้าลาย และ เสือดาว (200 แรน) แต่ก็นับว่าเป็นบุญ เพราะเวลาต้องผ่านสัตว์ที่ดุร้าย เช่นสิงโต กับเสือดาว ก็จะเป็นช่วงที่สัตว์นั้น กำลังกินอิ่มพอดี สังเกตได้จากโครงกระดูกใหม่ๆ อยู่ข้างๆ
 
    เมื่อมีโอกาส ยอดกัลยาณมิตรก็ถามมาไซว่า “ทำไมมาไซต้องมาสร้างบ้านกันอยู่ในดงสัตว์ร้าย โดยเฉพาะสิงโต อย่างนี้ด้วย”
 
 
    มาไซตอบว่า “เพราะต้องใกล้แหล่งน้ำ” (แต่ผู้ที่ต้องการน้ำ มิใช่มีแค่มาไซ สิงโตก็ต้องการเช่นกัน) มาไซจึงต้องคอยระมัดระวังไม่ให้สิงโตมาล่าวัวที่ตัวเองเลี้ยง แต่คำว่า ใกล้แหล่งน้ำของมาไซ ก็คือ ใช้เวลาเดินเท้า 1วัน ในการไปขนน้ำ
 
การดำรงชีวิตของมาไซ
 
    ที่นี่ มีต้นไม้ที่เป็นหนามใหญ่ขนาดฝ่ามือ เหยียบทีก็ทะลุเท้าเลย แต่มาไซก็ต้องเดิน (กระโดด) ผ่านเส้นทางขวากหนามอย่างนี้ เพื่อการดำรงชีวิต เราแอบสังเกต ผู้ชายมาไซจะมีแผลตามเท้าและฝ่าเท้ากันทุกคน
 
    มาไซจะต้องเดินทางข้ามประเทศระยะทางกว่า 2พันกิโลเมตร เพื่อไปนำเอาลูกวัว มาเลี้ยง (มาไซไม่ต้องตีตั๋วขึ้นเครื่อง ขึ้นรถ เพราะมาไซ มีพาหนะคือ เท้า มาไซไม่ต้องทำ VISA เวลาข้ามประเทศด้วย เพราะเพื่อนมาไซ ที่อยู่ระหว่างประเทศจะคอยช่วย) แล้วก็จะต้อนลูกวัวเดินเท้ากลับมา ระหว่างทางมีอุปสรรค คือ สัตว์ร้าย ความแห้งแล้ง ดังนั้น ลูกวัวที่เหลือรอด มาไซจะเอามาเลี้ยงต่อ
 
    มาไซ มีอาชีพหลัก คือ เลี้ยงวัว มาไซกิน นมวัว เลือดวัว และเนื้อวัว และเมื่อมีมากพอ มาไซ จะเอาวัวไปขายคนเมือง และนี่เป็นครั้งเดียวในรอบ 5ปี ที่มาไซจะได้เงิน มีอาหารกินอิ่ม ในหนึ่งครอบครัว มาไซมีพี่น้องถึง 30คน เวลามาไซได้เงินมา ก็จะต้องเอาไปให้ครอบครัวทั้งหมด
 
 
    จนเมื่อ ยอดกัลยาณมิตร ไปถ่ายภาพการนั่งสมาธิของมาไซ ทั้งสองคน (ที่เห็นองค์พระ) จึงได้ตัดสินใจแจ้งข่าว Module กับสองหนุ่มมาไซไปด้วย โดยบอกสั้นๆว่า
 
“อยากให้คุณได้ Donate (บริจาค)”
มาไซถามว่า “Donate อะไร”
ยอดกัลยาณมิตร “ทำหลังคา”
มาไซถามต่อ “หลังคาของใคร”
ยอดกัลยาณมิตร “หลังคาของทุกคนในโลก”
 
    จบคำ มาไซทั้งสองคน จึงหยิบเงินของตัวเอง ยื่นให้ยอดกัลยาณมิตร คนละ 5หมื่นชิลลิ่ง รวมกันสองคนได้ 1แสนชิลลิ่ง (100ดอลล่าร์)   
 
 
    เงินจำนวนนี้ สำคัญต่อชีวิตของมาไซมากได้ครั้งเดียวในรอบ 5ปี นึกถึงมาไซ ที่อยู่ในบ้านโครงไม้แล้วมีมูลวัวมาปะแห้ง ส่งกลิ่นให้ผู้มาเยือนต้องผงะ ภายในบ้านก็ปูด้วยมูลวัวเอามาทำเป็นแผ่นๆ ปูเป็นพื้น และมีแหล่งน้ำไกลบ้านต้องเดินเท้าถึงหนึ่งวัน ไม่มีไฟฟ้า อยู่ท่ามกลางดงสิงโต และโรคภัยไข้เจ็บมากมายที่มีในป่า และกว่ามาไซจะได้เงินมาแต่ละ ชิลลิ่ง ก็ลำบาก 5ปีถึงได้เงินครั้งหนึ่ง 5ปีถึงมีอาหารกินอิ่ม
 
 
    ดังนั้นภาพนี้ ไม่ใช่แต่ทำให้ยอดกัลยาณมิตร ต้องตะลึง  เพราะก็ไม่คาดคิดว่า มาไซจะทำบุญด้วย เพราะแม้แต่คนท้องถิ่นที่นี่เอง ที่เดินเท้าเข้าไปด้วยกันยังงงๆ เพราะไม่เคยมีภาพที่ มาไซ มาให้เงินคนต่างชาติ นี่เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ชาติมาไซเลย ที่มาไซมาเป็น “ผู้ให้”
 
 
    ความปลื้มใจนี้ ทำให้ยอดกัลยาณมิตร ได้แนะนำให้มาไซ ทั้งสองรู้จักการพนมมือ อธิษฐานจิตด้วย โดยบอกว่า “คุณกำลังได้เอาเงินไปทำความดี ขอให้ผลแห่งความดี ส่งผลให้ชีวิตคุณดี เจริญรุ่งเรือง”
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
อีกครั้ง...กับ 2 มาไซ ผู้เห็นองค์พระอีกครั้ง...กับ 2 มาไซ ผู้เห็นองค์พระ

ดาวแห่งความดีที่เวียดนามดาวแห่งความดีที่เวียดนาม

ครอบครัวข้าวแกง ยอดนักสร้างบารมีครอบครัวข้าวแกง ยอดนักสร้างบารมี



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ