ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 51


[ 6 มี.ค. 2551 ] - [ 18271 ] LINE it!

 
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 51

        จากตอนที่แล้ว   ธิดาของอาจารย์ทิศาปาโมกข์เมื่อถูกปิงคุตตระปฏิเสธที่จะแบ่งปัน จึงคิดว่า “เราปีนขึ้นไปเก็บกินเองก็ได้”  คิดดังนี้แล้ว ก็ปีนขึ้นไปปลิดผลมะเดื่อกินเอง 
ปิงคุตตระเห็นนางปีนตามขึ้นมา ก็รีบปีนลงจากต้นมะเดื่อ แล้วไปหอบเอากิ่งไม้ที่มีหนาม มาสุมไว้รอบบริเวณโคนต้นมะเดื่อ บอกตัดขาดเยื่อใยกับนาง แล้วเขาก็รีบเดินหนีไป ปล่อยให้นางรันทดระทมใจอยู่บนคาคบของต้นมะเดื่อแต่เพียงผู้เดียว 

        วันนั้น เป็นวันที่พระเจ้าวิเทหราชเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ตกเย็นจึงเสด็จกลับคืนสู่พระนคร ขณะที่เสด็จผ่านต้นมะเดื่อนั้น ทรงทอดพระเนตรเห็นนางนั่งอยู่ลำพังผู้เดียวบนต้นมะเดื่อ  เพียงครั้งแรกที่ได้พบก็ทรงเกิดพระสิเน่หาไม่อาจเสด็จผ่านต่อไปได้

        ท้าวเธอทรงเพลินทัศนาอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นทรงกลับได้พระสติ จึงมีรับสั่งอำมาตย์ผู้ใกล้ชิดให้ไปถามเธอว่ามีคู่ครองแล้วหรือยัง ก็ทรงได้รับรายงานว่าเธอเพิ่งจะถูกสามีทอดทิ้งไป  ท้าวเธอจึงทรงไสช้างเข้าไปใกล้ๆ รับนางลงมาจากต้นมะเดื่อให้นั่งเคียงข้างพระองค์ จากนั้น จึงทรงพานางเข้าสู่พระราชนิเวศน์ แล้วทรงอภิเษกนางไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี ด้วยเหตุที่พระเจ้าวิเทหราชทรงได้นางมาจากต้นมะเดื่อ ชนทั้งหลายจึงถวายพระนามพระนางว่า “อุทุมพรเทวี”

        นับแต่พระเจ้าวิเทหราชทรงรับพระนางเข้ามาสู่พระราชนิเวศน์ พระนางได้เป็นที่โปรดปรานของท้าวเธออย่างมาก จนท้าวเธอไม่ประสงค์จะเสด็จไปในที่ใดอีกเลยเป็นเวลานานแรมเดือน  แม้การเสด็จประพาสนอกเขตพระราชฐานซึ่งเป็นราชกิจที่ทรงโปรดปรานมาแต่เดิม ก็จำต้องเว้นว่างไปโดยปริยาย
  ด้วยเหตุนี้ ถนนหนทางที่เคยเสด็จพระราชดำเนิน บัดนี้จึงกลับรกร้างว่างเปล่าไปในทันที

        กระทั่งวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชทรงพระปรารภที่จะเสด็จประพาสพระราชอุทยานเพื่อทรงสำราญพระราชหฤทัยพร้อมกับพระอัครมเหสี โดยในครั้งนี้ท้าวเธอทรงมีพระราชประสงค์จะเปลี่ยนจากขบวนช้างพระที่นั่งมาเป็นขบวนรถพระที่นั่ง

        ฉะนั้น ก่อนจะถึงวันที่พระราชาและพระอัครมเหสีจะเสด็จ ทางพระราชสำนักจึงได้เกณฑ์เอาชาวเมือง มาช่วยกันเตรียมการแผ้วถางหนทางและปัดกวาดถนนหลวงสองข้างทางให้พร้อมเสด็จ

        ในบรรดาข้าหลวงที่ถูกเกณฑ์มาแผ้วถางหนทางในครั้งนั้น ปรากฏว่ามีนายปิงคุตตระร่วมอยู่ในคณะนั้นด้วย  ก็นายปิงคุตตระนี้เองที่เคยทอดทิ้งพระนางผู้ทรงสิริไปเสีย ด้วยสำคัญว่านางเป็นหญิงกาลกรรณี  แต่ในกาลบัดนี้ กลับกลายเป็นว่า ผู้เป็นกาลกรรณีนั้น หาใช่พระนางไม่ แต่เป็นตัวของนายปิงคุตตระเอง

        เมื่อพิจารณาตามกฎแห่งกรรม จะเห็นชัดว่า สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม คือ หากสร้างบุญไม่ตลอดต่อเนื่อง ก็ย่อมมีวันตกต่ำเป็นธรรมดา     ปิงคุตตระก็เช่นเดียวกัน แม้นเขาจะสำเร็จศิลปวิทยามาจากสำนักทิศาปาโมกข์แห่งตักศิลา ซึ่งคนที่มีสติปัญญาสามารถถึงเพียงนี้ โชควาสนาควรจะส่งให้ได้เป็นถึงระดับเจ้าขุนมูลนาย มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย   แต่เพราะความเป็นผู้สิ้นไร้บุญวาสนาทั้งในอดีตและภพชาติปัจจุบัน ในที่สุดจึงกลายเป็นคนอาภัพอับโชค ถึงกับต้องถูกเกณฑ์มาถางหญ้ากวาดถนน

        ในวันเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ปรากฏว่าการตระเตรียมถนนหนทางเพื่อรับเสด็จ ก็ยังไม่แล้วเสร็จ คนที่กำลังถากหญ้าก็ถากไป คนที่กำลังถางก็ถางไป คนที่กำลังเกลี่ยดินก็เกลี่ยไป พร้อมกันนั้นก็มีเสียงตะโกนดังมาเป็นระยะๆ ว่า “พระราชาเสด็จแล้ว พระราชาเสด็จแล้ว”

        พอรู้ว่าพระราชาเสด็จมา ชาวเมืองทั้งหลายก็พากันไปเฝ้าแห่แหนดูขบวนเสด็จอย่างรื่นเริงยินดี สหายของปิงคุตตระกล่าวกับเขาว่า “ดูสิปิงคุตตระ โอ ช่างงามเสียจริง! พระราชินีใหม่ของเราทรงพระสิริโฉมถึงเพียงนี้ มิน่าเล่า ท้าวเธอถึงไม่เสด็จออกนอกเขตพระราชฐานมานานแล้ว”

        แม้นจะถูกสหายชี้ชวนให้แลดูพระอัครมเหสีของพระราชา แต่ปิงคุตตระก็มิได้สนใจ ยังคงก้มหน้าก้มตาเกลี่ยถนนอยู่นั่นเอง    ขณะนั้น พระนางอุทุมพรประทับนั่งเคียงข้างท้าวเธออยู่บนรถพระที่นั่งที่ประดับประดาอย่างอลังการสมพระเกียรติ ทรงแลดูฝูงชนที่มารอรับเสด็จอยู่สองข้างทาง
พลันสายพระเนตรก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังขะมักเขม้นกับการเกลี่ยดินให้เสมอกัน ท่าทางของเขาดูเหนื่อยล้า มีเหงื่อไหลโซมกาย ครั้นเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ ก็ทรงจำได้แม่นมั่นว่า เขาผู้นี้คือนายปิงคุตตระนั่นเอง
 
        พระนางอุทุมพรเทวีจึงทรงดำริในพระทัย  “โธ่เอ๋ย! นึกว่าจะวิเศษสักปานใดหนอ ที่แท้บุรุษนี้มาทอดทิ้งเราไป เพราะเหตุที่เขาเป็นกาลกรรณีนี่เอง บุญบันดาลให้เราก้าวขึ้นสู่ฐานะอันสูงส่งถึงเพียงนี้ ที่ไหนเลย ชายผู้นี้จักคู่ควรกับเราได้เล่า”

        พระนางทรงดำริในพระทัยเช่นนี้แล้ว ก็ทรงพระสรวลออกมาเบาๆ โดยหารู้ไม่ว่าทุกอากัปกิริยาของพระนางนั้น ตกอยู่ในสายพระเนตรของพระราชสวามีตลอดเวลา

        การหัวเราะขึ้นลอยๆ โดยไร้เหตุผลเช่นนั้น เป็นเหตุให้ท้าวเธอทรงขุ่นเคืองพระราชหฤทัยไม่น้อย เพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่า พระนางทรงครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ภายในพระหทัย  ท้าวเธอทรงคลางแคลงพระทัยยิ่งนัก ทรงจ้องเขม็งตรงไปที่พระนาง พลางตรัสถามด้วยพระสุรเสียงอันน่าพรั่นพรึง “น้องหญิง เธอหัวเราะทำไม มีอะไรน่าขันหรือ”

        พระนางอุทุมพรเทวีทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็รู้ว่าท้าวเธอทรงกริ้วตนแน่แล้ว  จึงได้รีบกราบทูลตอบว่า “ข้าแต่ทูลกระหม่อม ชายผู้กำลังเกลี่ยดินอยู่ข้างหน้าอย่างไรเล่าเพคะ ที่เป็นสามีคนแรกของหม่อมฉัน เขาผู้นี้แหละ ที่แกล้งเอาหนามมาล้อมโคนต้นมะเดื่อไว้ แล้วทอดทิ้งหม่อมฉันไปโดยมิไยดี ในวันที่พระองค์ทรงรับหม่อมฉันมา”

        พระนางตรัสพลางชี้พระหัตถ์ไปทางปิงคุตตระ ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเกลี่ยดินอยู่บริเวณด้านหน้าขบวนเสด็จ “ในวันนี้หม่อมฉันได้มาพบเขาอีกครั้ง จึงนึกถึงความหลังครั้งก่อนนั้นนึกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนำมาเปรียบกัน จึงได้แต่รำพึงในใจว่า ชายผู้นี้เป็นคนกาลกรรณีแท้ เขาช่างไม่มีบุญวาสนาที่จะได้ชื่นชมหม่อมฉัน หม่อมฉันดำริเช่นนี้ จึงได้หัวเราะออกมาเพคะ”
 
        ส่วนพระเจ้าวิเทหราชเมื่อได้สดับเรื่องที่แปลกแต่จริงเช่นนั้นก็ไม่ทรงเชื่อ กลับทรงขุ่นเคืองพระนางยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนว่าท้าวเธอจะทรงรับสั่งอย่างไรกับพระนาง โปรดติดตามตอนต่อไป


พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 52ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 52

ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 53ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 53

ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 54ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 54



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก