ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 52


[ 8 มี.ค. 2551 ] - [ 18273 ] LINE it!

 
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 52


        จากตอนที่แล้ว   นับแต่พระเจ้าวิเทหราชทรงรับพระนางเข้ามาสู่พระราชนิเวศน์ ท้าวเธอก็ทรงสำราญพระทัยอยู่กับพระนาง ไม่เสด็จไปในที่ใดอีกเลยเป็นเวลานานแรมเดือน กระทั่งวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชได้เสด็จประพาสพระราชอุทยาน พระนางอุทุมพรซึ่งประทับนั่งเคียงข้างท้าวเธอบนรถพระที่นั่ง ได้เหลือบไปเห็นนายปิงคุตตระ ซึ่งกำลังขะมักเขม้นกับการเกลี่ยดินให้เสมอกัน ทรงนึกถึงความอาภัพของเขาแล้ว ก็ทรงพระสรวลออกมาเบาๆ

        ท้าวเธอทรงแคลงพระทัยในการพระสรวลของพระนาง จึงตรัสถามด้วยพระสุรเสียงอันน่าพรั่นพรึง “น้องหญิง เธอหัวเราะทำไม มีอะไรน่าขัน ทำไมเธอต้องหัวเราะด้วยเล่า”

        พระนางทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็รู้ว่าท้าวเธอทรงกริ้วแล้ว ก็ทรงคลายจากอาการพระสรวลในทันที รีบกราบทูลตอบว่า “ข้าแต่ทูลกระหม่อม ชายผู้กำลังเกลี่ยดินอยู่ข้างหน้านี้แหละ คือสามีคนแรกของหม่อมฉัน ที่แกล้งเอาหนามมาล้อมโคนต้นมะเดื่อไว้ แล้วทอดทิ้งหม่อมฉันไปโดยมิไยดี”

        พระนางตรัสพลางชี้พระหัตถ์ไปทางปิงคุตตระ “หม่อมฉันนึกถึงความหลังครั้งก่อนนั้น คิดว่าเขาเป็นคนกาลกรรณีแท้ ช่างไม่มีวาสนาที่จ
ได้ชื่นชมหม่อมฉัน จึงได้หัวเราะออกมาเพคะ”

        พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำนั้นแล้ว หาได้ทรงเชื่อคำทูลของพระนางไม่  ก็ยิ่งทรงขุ่นเคืองพระราชหฤทัย ด้วยทรงดำริว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ใครที่ไหนกันเล่า มีวาสนาได้นางแก้วมาครองแล้ว กลับจะทิ้งนางไปเสียเฉยๆ อย่าว่าแต่เราเลย ไม่ว่าใครก็ยากจะเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นได้”

        พระนางรีบกราบทูลแก้ด้วยพระสุรเสียงสั่นเครือว่า “ขอเดชะ ที่หม่อมฉันกราบทูลมานี้เป็นความสัตย์จริงเพคะ ควรมิควรแล้วแต่พระองค์จะทรงพระกรุณาเถิดเพคะ”

        แม้พระนางจะตรัสยืนยันเช่นนั้น ท้าวเธอก็ยังไม่ทรงเชื่อ กลับทรงกริ้วหนักยิ่งขึ้น ถึงกับตรัสด้วยพระสุรเสียงน่าเกรงขามว่า “เธออย่ามาปิดบังเราเลย เป็นไปไม่ได้ที่ชายผู้นี้จะทอดทิ้งเธอไป เธอต้องเห็นอะไรอย่างอื่นเป็นแน่ แต่ไม่ยอมบอกเรา กลับกล่าวเท็จเพื่อกลบเกลื่อน จงรีบบอกเรามาตรงๆ มิเช่นนั้น เราจะฟันเธอให้ขาดเป็นสองท่อนเสียเดี๋ยวนี้แหละ”

        ท้าวเธอตรัสพลางเอื้อมพระหัตถ์จับพระแสงดาบ หมายจะทรงฟาดฟันพระนางให้สิ้นพระชนม์จริงๆ 

        พระนางอุทุมพรเทวีทรงตกพระทัยยิ่งนัก พระวรกายสั่นเทาด้วยทรงกลัวต่อพระราชอาญา คาดไม่ถึงว่าพระราชสวามีผู้เป็นที่รักยิ่ง จักทรงถือเอาเหตุเพียงเล็กน้อย มาเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขั้นอุกฉกรรจ์ไปได้

        พระนางทรงเล็งเห็นเพียงหนทางเดียวที่จะช่วยได้ คือการประวิงเวลาไว้ให้นานที่สุด เพื่อว่าท้าวเธอจะได้ทรงยับยั้งพระราชหฤทัยเสีย จึงทูลอ้อนวอนท้าวเธอว่า “ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้าฯ หม่อมฉันขอยืนยันในสิ่งที่ได้กราบทูลพระองค์ไปแล้วเมื่อสักครู่ เรื่องนี้จะเท็จจริงอย่างไร ขอพระองค์ได้โปรดตรัสถามราชบัณฑิตทั้งหลายก่อนเถิดเพคะ หากเรื่องที่กราบทูลไปนั้น มิได้เป็นเช่นนั้นจริง หม่อมฉันก็ยินดีรับพระราชอาญาเพคะ” 

        คำทูลอ้อนวอนของพระนางได้ผล เป็นเหตุให้พระราชาทรงยับยั้งพระหฤทัยไว้ได้ ทันใดนั้น ท้าวเธอก็ทรงวางพระแสงดาบลง พร้อมกับมีพระราชดำรัสถามท่านอาจารย์เสนกว่า  “ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าคำพูดของนางจะเชื่อถือได้หรือ ก็บุรุษผู้ไม่ปรารถนาจะอยู่ร่วมกับหญิงงาม ผู้ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติเช่นนี้ ยังจะมีอยู่ในโลกนี้ด้วยหรือ”

        ท่านเสนกะถูกท้าวเธอตรัสถามเช่นนั้น ก็กราบทูลตามพระราชอัธยาศัยว่า “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ปลงใจเชื่อเลย พระเจ้าข้า หากว่าชายใดได้หญิงงามพร้อมเช่นนี้มาครองแล้ว ไม่มีผู้ใดดอกพระเจ้าข้า ที่จะทอดทิ้งไปเสีย ข้าพระพุทธเจ้าฯ เห็นด้วยเกล้าว่าเป็นไปไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

        พระนางทรงสดับคำกราบทูลของท่านอาจารย์เสนกะแล้ว ก็ยิ่งทรงหวาดหวั่นพรั่นพรึงในพระหฤทัย จนพระพักตร์ซีดเผือดลงทันที ทรงดำริว่า เห็นทีคราวนี้เราคงไม่มีทางรอดจากพระราชอาญาเป็นแน่แท้  จึงทรงซบพระพักตร์ลงบนพระหัตถ์ แล้วทรงกันแสงสะอื้นไห้ เหมือนจะทรงยอมรับพระราชอาญาทั้งที่มิควรได้รับ

        ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า “อาจารย์เสนกจะรู้อะไร อย่าเพิ่งตัดสินอะไรด่วนนักเลย เราควรจะถามมโหสถบัณฑิตดูก่อน” 
 
        ดำริดังนี้แล้ว ก็ทรงผินพระพักตร์ไปหามโหสถบัณฑิต ตรัสถามด้วยคำถามเดียวกันว่า“พ่อมโหสถบัณฑิต เธอล่ะ เชื่อถือคำพูดของนางหรือไม่ ก็บุรุษผู้ไม่ปรารถนาหญิงงามเช่นนาง ยังจะมีอยู่บ้างไหมเล่า ไหน เธอจงบอกเรามาทีซิ”

        มโหสถฟังพระดำรัสนั้นแล้ว จึงกราบบังคมทูลทันทีว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อว่าพระนางกล่าวคำสัตย์ พระพุทธเจ้าข้า”  
 
        “ทำไมถึงคิดเช่นนั้นเล่า” ท้าวเธอรีบตรัสซัก

        “ขอเดชะ เพราะเหตุที่บุคคลในโลกนี้ล้วนแตกต่างกันไปตามกำลังแห่งบุญวาสนาของตนพระพุทธเจ้าข้า บางคนมีบุญวาสนามาก บางคนมีบุญวาสนาน้อย บางคนมีโชค บางคนอับโชค

        ...ก็บุคคลผู้อับโชคและไร้บุญวาสนาชื่อว่าเป็นคนกาลกรรณี ส่วนผู้มีโชคมีบุญวาสนาชื่อว่าเป็นผู้ทรงสิริ

        ...แผ่นดินไม่อาจรวมกับฟ้าได้ ฉันใด กาลกรรณีกับสิริย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน จะอยู่ร่วมกันไม่ได้ ฉันนั้น

        มหาสมุทรฝั่งโน้นห่างไกลจากมหาสมุทรฝั่งนี้ ฉันใด คนกาลกรรณีแม้จะได้ผู้มีสิริมาครอง ก็ไม่อาจจะรักษาไว้ได้ ย่อมพรากจากกันไปไกล ฉันนั้น

        ...แต่ไหนแต่ไรมา สิริกับกาลกรรณีย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้าตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ฉะนั้น จึงไม่แปลกใจเลยว่า บุรุษนี้ได้พระนางผู้ทรงสิริมาแล้ว แต่ก็มิอาจครอบครองพระนางได้ พระพุทธเจ้าข้า”

        สิ่งที่มโหสถกล่าวนั้น เป็นความจริงที่ไม่อาจค้านได้ แต่ว่าทำอย่างไรเล่า สิรินั้นจึงจะเกิดแก่เราบ้าง เพราะสิรินั้นเมื่อเกิดแก่ผู้ใด ย่อมทำให้ผู้นั้นมีแต่ความสุขความเจริญ และไม่มีใครลักสิริของใครไปได้ คำตอบก็คือ บุญนั่นเองที่ทำให้คนมีสิริ ทำให้คนเจริญรุ่งเรืองขึ้น ดังนั้น เราจึงควรสั่งสมบุญเรื่อยไป แล้วสิริก็จะเกิดแก่เราไปตามลำดับ ส่วนว่าพระราชา ครั้นได้สดับถ้อยคำอันงดงามของมโหสถบัณฑิตแล้ว พระองค์จะทรงดำริอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 53ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 53

ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 54ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 54

ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 55ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 55



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก