"บูดาเบลส" ยึดธรรมะพาชีวิตรุ่ง ปฏิวัติค่านิยมวัยโจ๋ ทำตัวมีสาระ


[ 26 ส.ค. 2549 ] - [ 18256 ] LINE it!

แม้หน้าตาจะไม่ได้โดดเด่นเตะตาแฟน ๆ แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่เคยได้ยินเพลงของพวกเขาแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น “ไฟร์เออร์”, “ลำยอง” ฯลฯ สำหรับ 3 หนุ่ม วงบูดาเบลส (Buddha Bless) ที่ประกอบไปด้วย กุ๊ยอุ๋ย-นที เอกวิจิตร์ อดีตสมาชิก วงเอวายเอ็ม (AYM) และ วงฮิพฮอพ อันเดอร์กราวด์ ที่เคยร่วมงานในอัลบั้ม “ก้านคอคลับ” มาแล้ว เก๋าโต้ง-สุรนันต์ ชุ่มธาราธร อดีตสมาชิกวงเดียวกัน และ โก๋เอ็ม-กิติพงษ์ คำสาตร์ หนุ่มกราฟิตี้นักสักเสียงหล่อ
 
นาทีนี้จัดว่าเป็นวงฮิปฮอปที่ผสมผสานแนวเพลงเรกเก้ที่มาแรงวงหนึ่งทีเดียว งานนี้ “พักไมค์” ก็ไม่อยากรอช้า แฟน ๆ คงจะอยากรู้เรื่องราวชีวิตของพวกเขาว่ากว่าจะประสบความสำเร็จจุดนี้ได้ต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้าง
 
ก่อนอื่นมาฟังที่มาของการรวมตัว ของทั้งสามหนุ่มกันก่อน เลย...
 
หนุ่มอุ๋ย เปิดใจว่า “อุ๋ยกับโต้งทำเพลงใต้ดินชื่อวงว่า AYM กันมาอยู่แล้ว พอเราคิดจะ     ทำเพลงที่อยู่บนดินเลยรวมตัวกัน ซึ่งตอนนั้นวง AYM ก็เริ่มแยกย้ายกันไปทำ  อะไรของตัวเอง สมาชิกที่เหลือกันอยู่ก็มีอุ๋ยกับเอ็มที่รู้จักกันอยู่แล้วครับ อุ๋ยเคย  ได้ยินเอ็มร้องเพลง แล้วจำได้ว่าเค้าเสียงดีมาก ก็เลยโทรฯไปชวนมาทำเพลงด้วยกัน”
 
แต่กว่าจะเข้าที่รวมตัวกันเป็นวงนี้ เส้นทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ละคนต้องเหน็ดเหนื่อยมากกว่าฝันจะเป็นจริง!
 
“กว่าจะเป็นได้ขนาดนี้ พวกเราเหนื่อยกันมากครับ เรียกได้ว่าโชว์ฟรีกันเป็นร้อย ๆ งาน เพราะตั้งแต่ตอนเพิ่งทำเพลงเสร็จแค่ 3 เพลง พี่โจอี้บอย เค้าก็พาพวกเราไปโชว์กับเค้าตามงานต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการโชว์ ในระหว่างนั้นพวกเราก็ทำเพลงเพิ่มไปด้วยเรื่อย ๆ จนครบ 10 เพลง จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนของการโปรโมตจริง ยิ่งพอเข้ามาถึงตอนโปรโมตจริงเนี่ย โหดกว่าเยอะเลย เพราะเราคุยกันกับพี่ที่ค่ายเอาไว้ว่า จะลองทำวิธีการโปรโมตแบบใหม่ คือ การโชว์ติดต่อกันทุกวันไม่มีวันหยุด เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็แถมไปอีกประมาณครึ่งเดือนแน่ะ บางวันโชว์ 2-3 ที่ ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน ตลาดสด ริมถนน อนุสาวรีย์ หรือในห้างสรรพสินค้า คือพวกเราไปมาหมดทุกที่เลย...
 
...ตอนแรกก็เขิน ๆ นะ ที่จะต้องไปยืนร้องเพลงและเต้นกลางตลาด เพราะคนมามุงดูเยอะมาก คนที่ผ่านไปผ่านมาเค้าก็จะขำกันว่ามาทำอะไรกัน แต่ก็มีคนเฮไปกับเราด้วย ได้ผลจริง ๆ จากที่เขิน ๆ เลยกลายเป็นสนุก หลัง ๆ ก็ไม่มีอาการเขินอายใด ๆ เกิดขึ้นอีกเลยครับ พวกเราทำอย่างนี้กันทุกวัน วันละ 2 ที่ เป็นเวลาเดือนครึ่ง เรียกได้ว่าพอจบโครงการนี้ ร่างกายทรุดโทรมอย่างมากเลย แต่ก็หายเหนื่อยครับที่ได้กระแสตอบรับดีขนาดนี้ ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ยงานฟรีล้วน ๆ ครับ” ทั้งสามหนุ่มช่วยกันเสริม
 
เรียกว่าทุ่มเทแรงกาย แรงใจกันเต็มร้อยทีเดียว
 
ซึ่งมันก็คุ้มค่ากับสิ่งที่แลกกลับมา เพราะเพลงของพวกเขาติดหู ทั้งเด็ก ๆ และวัยรุ่นไปเรียบร้อยแล้ว

 
“กระแสตอบรับตอนนี้ถือว่าดีมาก ๆ ไม่เคยคิดว่าจะมีคนรู้จักเพลงของพวกเรามากถึงขนาดนี้ เดี๋ยวนี้เวลาไปไหนด้วยกัน 3 คน ก็จะมีคนเข้ามาทัก มาขอถ่ายรูปค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าไปแยกกันแล้วไม่ได้ใส่เสื้อประจำสี ก็จะจำกันไม่ค่อยได้ครับ อาจจะมีอาการคุ้นหน้าบ้าง แบบเดินผ่านไปแล้วหันกลับมามองอะไรอย่างเนี้ย เพราะไม่แน่ใจว่าใช่รึเปล่า วันก่อนไปงานคอนเสิร์ตกับพี่โจ้ อุ๋ยแต่งตัวใส่เสื้อสีขาว ใส่หมวก ยืนเต้น ๆ อยู่ พอเต้นนาน ๆ ชักร้อนเลยถอดหมวกออก คนข้าง ๆ ที่ยืนเต้นอยู่ด้วยกันเค้าหันมาเห็นทรงผม ชี้ ๆ นี่ เค้าก็ตกใจว่า อ้าว “บูดาเบลส” เหรอ ก็ตลกดีครับ”
 
และที่น่าเซอร์ไพร้ส์ยิ่งกว่า เมื่อเพลงของพวกเขาไปเข้าตาคณะกรรมการตัดสินรางวัล “ต้นโพธิ์ทอง” จากสภาองค์กรพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ฟังดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันสักเท่าไหร่ แต่ทั้งสามหนุ่มก็ได้รางวัลมาเก็บไว้ที่บ้านแล้ว
 

“พวกเราเพิ่งรับรางวัลกันไปเมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทางสภาองค์กรฯได้แจ้งมาทางเอกสารว่าให้ไว้ในฐานะเป็นคณะดนตรีที่ส่งเสริม
พระพุทธศาสนาและศีลธรรมอันดีงามให้แก่สังคม โดยเพลงในอัลบั้มที่ทำให้ได้รับรางวัลก็คือเพลง “ใจเย็น ๆ”, “ลำยอง”, “ยาเสพติด” และ “ชิงหมาเกิด” พวกเราดีใจและรู้สึกเป็นเกียรติมากครับ เพราะพวกเรามีเจตนาอย่างนั้นกันตั้งแต่ตอนทำเพลงแล้ว และเมื่อมีคนเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำก็น่ายินดีมากครับ”

 
สำหรับเหตุผลที่เพลงเหล่านี้ได้รับรางวัล ก็เพราะเนื้อหาของเพลงที่มีผลช่วยสร้างเสริมศีลธรรม ประเด็นแรกช่วยทำให้คนมีสติสัมปชัญญะ รู้จักยั้งคิดในเพลงที่ชื่อ “ใจเย็น ๆ” ซึ่งตรงกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาในหัวข้อ “สัมมาสติ” ประเด็นที่สอง มุ่งให้คนเลิกดื่มสุราและยาเสพติดในเพลงที่ชื่อ “ลำยอง” และ “ยาเสพติด” ตรงกับศีลข้อที่ 5 ในศีล 5 ตามหลักพระพุทธศาสนา คือ ห้ามดื่มสุรา และเสพสิ่งมึนเมา สุดท้ายเนื้อหาของเพลงช่วยโน้มน้าวให้คนทำความดีงามสร้างความดีให้แก่ชีวิตในเพลงที่ชื่อ “ชิงหมาเกิด” ตรงกับหลักธรรมในแง่ทำความดี

แล้วเหตุผลที่ทำให้เขาจุดประกายทำเพลงเพื่อสะท้อนสังคมในมุมนี้เป็นเพราะอะไรกันแน่ แฟนเพลงคงอยากรู้สินะ
 
“มันเริ่มจากตอนที่บ้านอุ๋ยไฟไหม้ครับ เมื่อประมาณปลายปี 45 แล้วก็เริ่มสนใจที่จะศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง คือ เดิมก็สนใจอยู่บ้าง แต่ก็เริ่มจริงจังขึ้น โดยเริ่มจากการไปปฏิบัติธรรมก่อน แล้วจึงค่อยบวชเรียน 1 พรรษา อุ๋ยอ่านหนังสือธรรมะเยอะมาก เมื่อมีโอกาสได้ทำเพลงกับเพื่อน ๆ จึงเสนอที่จะทำเพลงแนวนี้ คือ
พวกเราคิดว่าการทำเพลงให้สนุกเนี่ย ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่การทำเพลงให้สนุกแล้วมีสาระด้วยเนี่ย มันยากกว่า เลยอยากที่จะลองทำเพลงแบบที่มีสาระและมีคนชอบด้วยขึ้นมาครับ และผมคิดว่า “ศาสนา” เป็นเรื่องรอบ ๆ ตัวเรา หากเรานำหลักการที่ถูกต้องมาสอดแทรกลงไปในเพลง ก็น่าจะให้สาระที่ดีกับคนฟังได้อีกด้วยครับ”
 
เห็นเป็นวัยโจ๋กล้าคิดกล้าทำแบบนี้ กลับมีหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วย “ธรรมะ” ที่ยึดหลักตามพระพุทธศาสนาสอนไว้ด้วย

 
ถือว่าเป็นการปฏิวัติความคิดให้ผู้ใหญ่หันมามองเพลงแนวฮิปฮอปในเชิงสร้างสรรค์ หลังจากเคยมีคนมองว่าเพลงแนวนี้ไร้สาระ เน้นที่การแต่งตัวไปวัน ๆ
 
“ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอขอบคุณทางสภาองค์กรฯมากครับ ที่เล็งเห็นความดีของสิ่งที่เราทำ รางวัลนี้ก็เหมือนเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าการที่เราเห็นคนคนนึงจากภายนอก เค้าอาจจะแต่งตัวไม่ค่อยดี ดูไม่เรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความคิดหรือจิตใจเค้าจะเป็นอย่างที่ตาเห็น การที่บางคนแต่งตัวไม่ดี ก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะเป็นคนชั่วเสมอไปครับ”
 
แนวคิดในการทำงานของวงบูดาเบลส น่าจะเป็นต้นแบบที่ดีของวงดนตรีรุ่นใหม่ ๆ ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่เส้นทางบันเทิงได้ไม่มากก็  น้อย...
 
ที่มาจากหนังสือพิมพ์



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
สังคมเสื่อม!!! พบวัยรุ่นอายุ14-19 คลอดลูกปีละ5หมื่นสังคมเสื่อม!!! พบวัยรุ่นอายุ14-19 คลอดลูกปีละ5หมื่น

ข่าวร้าย! ใกล้หมดเวลาค่าโทรฯ ราคาถูกข่าวร้าย! ใกล้หมดเวลาค่าโทรฯ ราคาถูก

"นกพิราบ"เป็นต้นเหตุ ไฟชอร์ต! เผา"แบงก์ออมสิน"



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

DMC NEWS