แม้หน้าตาจะไม่ได้โดดเด่นเตะตาแฟน ๆ แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่เคยได้ยินเพลงของพวกเขาแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น “ไฟร์เออร์”, “ลำยอง” ฯลฯ สำหรับ 3 หนุ่ม วงบูดาเบลส (Buddha Bless) ที่ประกอบไปด้วย กุ๊ยอุ๋ย-นที เอกวิจิตร์ อดีตสมาชิก วงเอวายเอ็ม (AYM) และ วงฮิพฮอพ อันเดอร์กราวด์ ที่เคยร่วมงานในอัลบั้ม
“ก้านคอคลับ” มาแล้ว เก๋าโต้ง-สุรนันต์ ชุ่มธาราธร อดีตสมาชิกวงเดียวกัน
และ โก๋เอ็ม-กิติพงษ์ คำสาตร์ หนุ่มกราฟิตี้นักสักเสียงหล่อ
นาทีนี้จัดว่าเป็นวงฮิปฮอปที่ผสมผสานแนวเพลงเรกเก้ที่มาแรงวงหนึ่งทีเดียว งานนี้ “พักไมค์” ก็ไม่อยากรอช้า แฟน ๆ คงจะอยากรู้เรื่องราวชีวิตของพวกเขาว่ากว่าจะประสบความสำเร็จจุดนี้ได้ต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้าง
ก่อนอื่นมาฟังที่มาของการรวมตัว ของทั้งสามหนุ่มกันก่อน เลย...
หนุ่มอุ๋ย เปิดใจว่า “อุ๋ยกับโต้งทำเพลงใต้ดินชื่อวงว่า AYM กันมาอยู่แล้ว พอเราคิดจะ ทำเพลงที่อยู่บนดินเลยรวมตัวกัน
ซึ่งตอนนั้นวง AYM ก็เริ่มแยกย้ายกันไปทำ อะไรของตัวเอง
สมาชิกที่เหลือกันอยู่ก็มีอุ๋ยกับเอ็มที่รู้จักกันอยู่แล้วครับ อุ๋ยเคย
ได้ยินเอ็มร้องเพลง แล้วจำได้ว่าเค้าเสียงดีมาก
ก็เลยโทรฯไปชวนมาทำเพลงด้วยกัน”
แต่กว่าจะเข้าที่รวมตัวกันเป็นวงนี้ เส้นทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ละคนต้องเหน็ดเหนื่อยมากกว่าฝันจะเป็นจริง!
“กว่าจะเป็นได้ขนาดนี้
พวกเราเหนื่อยกันมากครับ เรียกได้ว่าโชว์ฟรีกันเป็นร้อย ๆ งาน
เพราะตั้งแต่ตอนเพิ่งทำเพลงเสร็จแค่ 3 เพลง พี่โจอี้บอย
เค้าก็พาพวกเราไปโชว์กับเค้าตามงานต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการโชว์ ในระหว่างนั้นพวกเราก็ทำเพลงเพิ่มไปด้วยเรื่อย ๆ จนครบ 10 เพลง
จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนของการโปรโมตจริง
ยิ่งพอเข้ามาถึงตอนโปรโมตจริงเนี่ย โหดกว่าเยอะเลย
เพราะเราคุยกันกับพี่ที่ค่ายเอาไว้ว่า จะลองทำวิธีการโปรโมตแบบใหม่ คือ
การโชว์ติดต่อกันทุกวันไม่มีวันหยุด เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม
แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็แถมไปอีกประมาณครึ่งเดือนแน่ะ บางวันโชว์ 2-3 ที่
ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน ตลาดสด ริมถนน อนุสาวรีย์ หรือในห้างสรรพสินค้า
คือพวกเราไปมาหมดทุกที่เลย...
...ตอนแรกก็เขิน ๆ นะ
ที่จะต้องไปยืนร้องเพลงและเต้นกลางตลาด เพราะคนมามุงดูเยอะมาก
คนที่ผ่านไปผ่านมาเค้าก็จะขำกันว่ามาทำอะไรกัน แต่ก็มีคนเฮไปกับเราด้วย
ได้ผลจริง ๆ จากที่เขิน ๆ เลยกลายเป็นสนุก หลัง ๆ ก็ไม่มีอาการเขินอายใด ๆ
เกิดขึ้นอีกเลยครับ พวกเราทำอย่างนี้กันทุกวัน วันละ 2 ที่
เป็นเวลาเดือนครึ่ง เรียกได้ว่าพอจบโครงการนี้ ร่างกายทรุดโทรมอย่างมากเลย
แต่ก็หายเหนื่อยครับที่ได้กระแสตอบรับดีขนาดนี้
ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ยงานฟรีล้วน ๆ ครับ” ทั้งสามหนุ่มช่วยกันเสริม
เรียกว่าทุ่มเทแรงกาย แรงใจกันเต็มร้อยทีเดียว
ซึ่งมันก็คุ้มค่ากับสิ่งที่แลกกลับมา เพราะเพลงของพวกเขาติดหู ทั้งเด็ก ๆ และวัยรุ่นไปเรียบร้อยแล้ว
“กระแสตอบรับตอนนี้ถือว่าดีมาก
ๆ ไม่เคยคิดว่าจะมีคนรู้จักเพลงของพวกเรามากถึงขนาดนี้
เดี๋ยวนี้เวลาไปไหนด้วยกัน 3 คน ก็จะมีคนเข้ามาทัก
มาขอถ่ายรูปค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าไปแยกกันแล้วไม่ได้ใส่เสื้อประจำสี
ก็จะจำกันไม่ค่อยได้ครับ อาจจะมีอาการคุ้นหน้าบ้าง
แบบเดินผ่านไปแล้วหันกลับมามองอะไรอย่างเนี้ย เพราะไม่แน่ใจว่าใช่รึเปล่า
วันก่อนไปงานคอนเสิร์ตกับพี่โจ้ อุ๋ยแต่งตัวใส่เสื้อสีขาว ใส่หมวก ยืนเต้น
ๆ อยู่ พอเต้นนาน ๆ ชักร้อนเลยถอดหมวกออก คนข้าง ๆ
ที่ยืนเต้นอยู่ด้วยกันเค้าหันมาเห็นทรงผม ชี้ ๆ นี่ เค้าก็ตกใจว่า อ้าว
“บูดาเบลส” เหรอ ก็ตลกดีครับ”
และที่น่าเซอร์ไพร้ส์ยิ่งกว่า เมื่อเพลงของพวกเขาไปเข้าตาคณะกรรมการตัดสินรางวัล “ต้นโพธิ์ทอง” จากสภาองค์กรพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ฟังดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันสักเท่าไหร่ แต่ทั้งสามหนุ่มก็ได้รางวัลมาเก็บไว้ที่บ้านแล้ว
สำหรับเหตุผลที่เพลงเหล่านี้ได้รับรางวัล ก็เพราะเนื้อหาของเพลงที่มีผลช่วยสร้างเสริมศีลธรรม ประเด็นแรกช่วยทำให้คนมีสติสัมปชัญญะ รู้จักยั้งคิดในเพลงที่ชื่อ “ใจเย็น ๆ”
ซึ่งตรงกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาในหัวข้อ “สัมมาสติ” ประเด็นที่สอง
มุ่งให้คนเลิกดื่มสุราและยาเสพติดในเพลงที่ชื่อ “ลำยอง” และ “ยาเสพติด”
ตรงกับศีลข้อที่ 5 ในศีล 5 ตามหลักพระพุทธศาสนา คือ ห้ามดื่มสุรา และเสพสิ่งมึนเมา สุดท้ายเนื้อหาของเพลงช่วยโน้มน้าวให้คนทำความดีงามสร้างความดีให้แก่ชีวิตในเพลงที่ชื่อ “ชิงหมาเกิด” ตรงกับหลักธรรมในแง่ทำความดี
แล้วเหตุผลที่ทำให้เขาจุดประกายทำเพลงเพื่อสะท้อนสังคมในมุมนี้เป็นเพราะอะไรกันแน่ แฟนเพลงคงอยากรู้สินะ
“มันเริ่มจากตอนที่บ้านอุ๋ยไฟไหม้ครับ เมื่อประมาณปลายปี 45 แล้วก็เริ่มสนใจที่จะศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง คือ เดิมก็สนใจอยู่บ้าง แต่ก็เริ่มจริงจังขึ้น โดยเริ่มจากการไปปฏิบัติธรรมก่อน แล้วจึงค่อยบวชเรียน 1 พรรษา อุ๋ยอ่านหนังสือธรรมะเยอะมาก เมื่อมีโอกาสได้ทำเพลงกับเพื่อน ๆ จึงเสนอที่จะทำเพลงแนวนี้ คือ พวกเราคิดว่าการทำเพลงให้สนุกเนี่ย ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่การทำเพลงให้สนุกแล้วมีสาระด้วยเนี่ย มันยากกว่า เลยอยากที่จะลองทำเพลงแบบที่มีสาระและมีคนชอบด้วยขึ้นมาครับ และผมคิดว่า “ศาสนา” เป็นเรื่องรอบ ๆ ตัวเรา หากเรานำหลักการที่ถูกต้องมาสอดแทรกลงไปในเพลง ก็น่าจะให้สาระที่ดีกับคนฟังได้อีกด้วยครับ”
เห็นเป็นวัยโจ๋กล้าคิดกล้าทำแบบนี้ กลับมีหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วย “ธรรมะ” ที่ยึดหลักตามพระพุทธศาสนาสอนไว้ด้วย
ถือว่าเป็นการปฏิวัติความคิดให้ผู้ใหญ่หันมามองเพลงแนวฮิปฮอปในเชิงสร้างสรรค์
หลังจากเคยมีคนมองว่าเพลงแนวนี้ไร้สาระ เน้นที่การแต่งตัวไปวัน ๆ
“ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอขอบคุณทางสภาองค์กรฯมากครับ
ที่เล็งเห็นความดีของสิ่งที่เราทำ
รางวัลนี้ก็เหมือนเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าการที่เราเห็นคนคนนึงจากภายนอก
เค้าอาจจะแต่งตัวไม่ค่อยดี ดูไม่เรียบร้อย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความคิดหรือจิตใจเค้าจะเป็นอย่างที่ตาเห็น
การที่บางคนแต่งตัวไม่ดี ก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะเป็นคนชั่วเสมอไปครับ”
แนวคิดในการทำงานของวงบูดาเบลส น่าจะเป็นต้นแบบที่ดีของวงดนตรีรุ่นใหม่ ๆ ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่เส้นทางบันเทิงได้ไม่มากก็ น้อย...
ที่มาจากหนังสือพิมพ์